(ต่อเนื่องจากเมื่อวานนี้)
ที่มาที่ไป กรณีโฮปเวลล์ ก่อนจะมาเป็นค่าโง่ 25,000 ล้านบาท ในแฟนเพจ ชมรมนักกฎหมายก่อสร้าง ได้รวบรวมข้อมูลไว้อย่างน่าสนใจ
ระบุถึงประเด็นสาระสำคัญในการวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุด ดังนี้
1. ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัย มีประเด็น ดังนี้
1.1 โฮปเวลล์ยื่นข้อพิพาทเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาที่อาจยื่นข้อเรียกร้องต่ออนุญาโตตุลาการ หรือไม่ ?
ศาลวินิจฉัยเป็นแนวทางว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โฮปเวลล์ได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญาเมื่อวันที่ 30 ม.ค.2541 จึงถือว่าโฮปเวลล์รู้ว่าข้อพิพาทเกิดขึ้นและเป็นวันที่โฮปเวลล์อาจยื่นข้อเสนอต่ออนุญาโตตุลาการได้ ซึ่งการเสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการนั้น กฎหมายไม่ได้กำหนดระยะเวลาหรืออายุความในการเสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการไว้ จะมีก็แต่เพียง มาตรา 9 พ.ร.บ. อนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2530 ที่กำหนดให้คู่พิพาทอาจตกลงกันกำหนดระยะเวลาหรืออายุความให้สั้นกว่าอายุความฟ้องร้องคดีต่อศาลก็ได้ และให้สิทธิคู่พิพาทขอขยายเวลาออกไปเท่าที่ไม่เกินไปกว่าอายุความการฟ้องร้องคดีต่อศาลได้ ดังนั้น ระยะเวลาในการเสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการจึงมีหลักว่า “ข้อพิพาทใดที่อาจเสนอเป็นคดีต่อศาลได้ภายในอายุความการฟ้องคดี ข้อพิพาทนั้นก็สามารถเสนอต่ออนุญาโตตุลาการได้ภายในกำหนดระยะเวลาเช่นเดียวกัน” เมื่อคดีนี้ สัญญาระหว่างคู่พิพาทไม่ได้กำหนดระยะเวลาการเสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการไว้โดยเฉพาะ ดังนั้นการเสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการจึงกระทำได้ภายในกำหนดอายุความฟ้องร้องต่อศาล กล่าวคือภายใน 5 ปี นับแต่วันที่รู้หรือควรรู้เหตุแห่งการฟ้องคดี แต่ไม่เกิน 10 ปีนับแต่วันที่มีเหตุแห่งการฟ้องคดี
ดังนั้น เมื่อโฮปเวลล์ยื่นคำเสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการภายใน 5 ปี นับแต่วันที่มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสัญญา ข้อพิพาทนี้จึงเป็นข้อพิพาทที่เสนอต่ออนุญาโตตุลาการโดยชอบแล้ว
1.2 ประเด็นเนื้อหาแห่งคดี มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า การยอมรับหรือบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ จะเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือไม่?
สำหรับข้อพิพาทที่โฮปเวลล์ยื่น ศาลวินิจฉัยเป็นแนวทางว่า
(1) โฮปเวลล์เสนอให้ระงับข้อพิพาทโดยวิธีอนุญาโตตุลาการได้หรือไม่ว่า ตามสัญญาสัมปทานมีข้อตกลงเกี่ยวกับการระงับข้อพิพาทไว้ว่า เมื่อมีข้อพิพาทเกิดขึ้น คู่สัญญาต้องพยายามประนีประนอมระงับข้อพิพาทนั้นก่อนถ้าหากภายใน 60 วัน หรือในช่วงเวลาที่ขยายออกใดๆ ตามที่ตกลงกันคู่สัญญาไม่สามารถประนีประนอมได้ ให้นำข้อพิพาทนั้นเสนอให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาด เมื่อข้อเท็จจริง โฮปเวลล์ได้มีหนังสือขอให้ กระทรวงและการรถไฟฯ ประนีประนอมให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน แต่กระทรวงและการรถไฟฯก็เพิกเฉยไม่พยายามเจรจา อนุญาโตตุลาการจึงมีคำขี้ขาดว่า ที่กระทรวง และการรถไฟฯ อ้างข้อกฎหมายว่าการใช้สิทธิของโฮปเวลล์ไม่ถูกต้องตาม ปพพ. ม. 55 ข้ออ้างดังกล่าวเป็นกรณีที่คู่พิพาทจะใช้สิทธิต่อศาลเมื่อถูกโต้แย้งสิทธิ แต่ตามกรณีนี้เป็นเรื่องที่โฮปเวลล์ใช้สิทธิตามสัญญาที่ตกลงกัน การใช้สิทธิของโฮปเวลล์จึงไม่ถูกจำกัดโดยบทกฎหมายดังกล่าว
ศาลจึงวินิจฉัยว่าจากข้อเท็จจริงที่อนุญาโตตุลาการได้วินิจฉัยไปตามเงื่อนไขข้อกำหนดของสัญญา โฮปเวลล์จึงมีสิทธิเสนอข้อพิพาทตามสัญญาสัมปทานให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาดได้ คำชี้ขาดในส่วนนี้จึงไม่ฝ่าฝืนต่อบทกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีแต่อย่างใด
(2) สิทธิเสนอให้ระงับข้อพิพาทโดนวิธีอนุญาโตตุลาการของโฮปเวลล์พ้นกำหนดเวลาตามกฎหมายหรือไม่
อนุญาโตตุลาการวินิจฉัยว่า ข้อตกลงระงับข้อพิพาทตามสัญญาเป็นสัญญาอนุญาโตตุลาการตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545 ม.11 มีผลผูกพันระหว่างคู่พิพาทจึงเป็นสัญญาแพ่งชนิดหนึ่ง สัญญาดังกล่าวไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะ ดังนั้น สิทธิเรียกร้องตามสัญญาสัมปทานจึงมีอายุความ 10 ปี ตาม ปพพ. ม.193/30 ข้อพิพาทที่ว่า โฮปเวลล์เสนอต่ออนุญาโตตุลาการยังไม่ครบ 10 ปี จึงยังคงใช้สิทธิเรียกร้องต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการได้ ศาลปกครองเห็นว่า ไม่อาจนำระยะเวลาตาม ปพพ. ม. 193/30 มาใช้ได้ เพราะเป็นการใช้สิทธิเรียกร้องตามกฎหมายแต่ละฉบับ แต่เมื่อคำชี้ขาดให้ผลตรงกับที่ศาลปกครองสูงสุดได้วินิจฉัยไว้แล้วในประเด็นแรก
ดังนั้น คำชี้ขาดในประเด็นนี้จึงไม่เป็นคำชี้ขาดที่ฝ่าฝืนต่อบทกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีแต่อย่างใด
(3) สัญญาสัมปทานเลิกกันโดนปริยายหรือโดยข้อกฎหมายหรือไม่ กระทรวงและการรถไฟฯ กับ โฮปเวลล์จะกลับคืนสู่ฐานะเดิมตาม ปพพ. ม. 391 หรือไม่ เพียงใด?
อนุญาโตตุลาการชี้ขาดว่า การบอกเลิกสัญญาของกระทรวง และการรถไฟฯ จะต้องเป็นไปตามขั้นตอนที่คู่สัญญาตกลงกันไว้ในสัญญา โดยต้องบอกเลิกให้โฮปเวลล์แก้ไข หากโฮปเวลล์ไม่เห็นด้วยก็ต้องนำข้อพิพาทนั้นเสนอต่ออนุญาโตตุลาการ แต่ข้อเท็จจริง กระทรวงและการรถไฟฯ บอกเลิกสัญญากับโฮปเวลล์โดยไม่ได้ดำเนินการตามที่สัญญากำหนด จึงไม่มีผลให้สัมปทานเลิกกัน แต่ข้อเท็จจริงต่อมาปรากฏว่า เมื่อกระทรวงและการรถไฟฯมีหนังสือยืนยันเจตนาบอกเลิกสัญญาหลายครั้ง และห้ามให้ผู้คัดค้านเข้าไปเกี่ยวข้องกับพื้นที่โครงการ และให้ขนย้ายเครื่องมือเครื่องจักร และอุปกรณ์ต่างๆออกไปจากพื้นที่ภายใน 15 วัน โฮปเวลล์ก็ยินยอมทำตาม จากพฤติการณ์ดังกล่าว อนุญาโตตุลาการเห็นว่า กระทรวงและการรถไฟฯมีเจตนาเลิกสัญญาอันถือเป็นคำเสนอเลิกสัญญากับโฮปเวลล์ และการที่โฮปเวลล์ยินยอมปฏิบัติตามเป็นการแสดงเจตนาสนองการบอกเลิกสัญญา ดังนั้น สัญญาดังกล่าวย่อมเลิกกันโดยปริยาย
ศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า สัญญาทางปกครองนั้น รัฐในฐานะผู้รับผิดชอบการจัดทำบริการสาธารณะย่อมมีอำนาจในการตัดสินใจเพียงฝ่ายเดียวให้สัญญาเป็นอันเลิกกัน เมื่อมีเหตุเกี่ยวกับประโยชน์ส่วนรวมหรือบริการสาธารณะ โดยมีผลให้สัญญาเลิกกันได้โดยไม่ต้องเสนอเรื่องต่อศาลเพื่อตัดสินให้สัญญาเป็นอันเลิกกัน ทั้งนี้ อำนาจการตัดสินใจบอกเลิกสัญญาฝ่ายเดียว มีผลเฉพาะให้สัญญาเป็นอันเลิกกันเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่า การเลิกสัญญานั้นชอบด้วยกฎหมาย หรือฝ่ายปกครองไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ ซึ่งความรับผิดชอบของคู่สัญญามีอยู่เพียงใด ก็ต้องพิจารณาต่อไปตามข้อเท็จจริง ซึ่งคดีนี้ สัญญาพิพาทมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน ฉะนั้น การแจ้งบออกเลิกสัญญาโดยฝ่ายเดียว จึงยังไม่มีผลทางกฎหมายให้สัญญาเลิกกันในทันที แต่ต่อมาเมื่อกระทรวงมีหนังสือยืนยันการเลิกสัญญาและโฮปเวลล์ก็ยินยอมออกจากพื้นที่และไม่ดำเนินการใดๆในพื้นที่โครงการ ก็เป็นการแสดงออกซึ่งการตกลงให้สัญญาเป็นอันเลิกกัน สัญญาจึงเป็นอันเลิกกัน คำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการที่เห็นว่าสัญญาเป็นอันเลิกกัน จึงไม่ได้ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน
ส่วนการกลับคืนสู่ฐานะเดิม อนุญาโตตุลาการได้วินิจฉัยว่า เมื่อโฮปเวลล์ได้ชำระค่าตอบแทนตามสัญญาสัมปทานให้แก่กระทรวงและการรถไฟฯแล้ว และได้มอบหนังสือค้ำประกันธนาคารเป็นหลักประกัน และได้ดำเนินการก่อสร้างรวมทั้งปฏิบัติตามสัญญา เสียค่าใช้จ่ายไปจำนวนหนึ่งนั้น เมื่อสัญญาเลิกกัน สิ่งก่อสร้างที่โฮปเวลล์ดำเนินการมานั้น ถือเป็นการงานที่ได้ทำให้กระทรวงและการรถไฟฯ ดังนั้น โฮปเวลล์จึงมีสิทธิได้รับการชดใช้คืนด้วยการใช้เงินตามค่าของงานที่ได้ก่อสร้าง แต่เมื่อกระทรวง ฯและการรถไฟฯ โต้แย้งว่า สิ่งก่อสร้างนั้น กระทรวงและการรถไฟฯไม่สามารถใช้งานได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะไม่ประสงค์จะทำโครงการต่อ ประกอบกับขณะนี้โครงการก็เก่ามากแล้ว คณะอนุญาโตตุลาการจึงกำหนดลดจำนวนเงินค่าก่อสร้างให้กระทรวงและการรถไฟฯชดใช้คืนแก่โฮปเวลล์ สุดท้ายแล้ว คณะอนุญาโตตุลาการวินิจฉัยให้ กระทรวง และการรถไฟฯ ชดใช้เงินตามเหตุผลข้างต้นให้แก่โฮปเวลล์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันชี้ขาดจนกว่าจะชำระเสร็จ
(4) ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยในแนวทางที่ว่า เมื่อสัญญาเลิกกันแล้ว คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายกลับสู่ฐานะเดิมเทียบเคียง ปพพ. ม. 391 พิจารณาจากข้อเท็จจริงที่กระทรวงและการรถไฟฯอ้างเป็นคำร้องให้เพิกถอนคำชี้ขาด เช่นว่า
ประเด็นรับมอบพื้นที่และบ่ายเบี่ยงการรับมอบพื้นที่ ของโฮปเวลล์ นั้น ตามสัญญากำหนดให้กระทรวงและการรถไฟฯเป็นผู้ขับไล่ผู้บุกรุก หากผู้บุกรุกออกไปไม่หมด โฮปเวลล์จะดำเนินการเอง การที่โฮปเวลล์ไม่ยอมรับมอบพื้นที่ คณะอนุญาโตฯ ชี้ว่าไม่ใช่ความผิดหรือความไม่พร้อมของโฮปเวลล์
ประเด็นแบบในการก่อสร้าง คณะอนุญาโตตุลาการพิจารณาตามสัญญาแล้วการส่งมอบแบบบางส่วนสามารถทำได้ ไม่ใช่กรณีที่โฮปเวลล์ไม่พร้อมที่ปฏิบัติตามสัญญาเพราะโครงการไม่มีแบบก่อสร้างก่อน
ประเด็นการออกแบบรางรถไฟ กระทรวงและการรถไฟฯ อ้างว่าโฮปเวลล์ออกแบบรางรถไฟไม่ครบ 3 ราง คณะอนุญาโตตุลาการชี้ขาดว่า ตามเอกสารแนบท้ายสัญญาไม่ได้มีรายละเอียดระบุให้มีราง 3 ราง และเห็นว่า โฮปเวลล์ได้ออกแบบก่อสร้างเส้นทางสัมปทานถูกต้องตามสัญญาและหลักวิศวกรรมแล้ว
ประเด็นกำหนดระยะเวลาแล้วเสร็จของงานก่อสร้างตามสัญญา โฮปเวลล์อ้างว่า ระยะเวลาก่อสร้างต้องขยายออกไปเท่ากับระยะเวลาล่าช้าที่เกิดเหตุต่างๆ กระทรวงและการรถไฟฯเห็นว่า ความล่าช้าเกิดจากโฮปเวลล์เอง คณะอนุญาโตตุลาการชี้ขาดว่า การที่กระทรวงและการรถไฟฯ ไม่ปฏิบัติตามสัญญาให้ถูกต้องในเรื่องต่างๆ ทำให้โฮปเวลล์ไม่สามารถดำเนินการออกแบบและก่อสร้างได้ตามแผนเป็นความผิดของกระทรวงและการรถไฟฯ รวมทั้งเกิดจากโฮปเวลล์ไม่สามารถเข้าครอบครองพื้นที่ได้ ระยะเวลาจึงควรขยายออกไปเท่ากับความล่าช้าที่เกิดขึ้น โฮปเวลล์ไม่ได้ผิดสัญญา ฯลฯ
เมื่อศาลปกครองสูงสุดพิจารณาเหตุเพื่อขอให้เพิกถอนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการแล้วเห็นได้ว่า ล้วนแต่เป็นการโต้แย้งดุลพินิจการพิจารณาข้อเท็จจริงและการปรับใช้กฎหมายและข้อสัญญาของอนุญาโตตุลาการ โดยคำวินิจฉัยของอนุญาโตตุลาการประเด็นดังกล่าว เป็นการวินิจฉัยว่า คู่สัญญาฝ่ายใดปฏิบัติตามสัญญาถูกต้องแล้วหรือไม่ อย่างไรและคู่สัญญาแต่ละฝ่ายมีความรับผิดต่อกันหรือไม่อย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องระหว่างคู่สัญญาเท่านั้น ไม่ได้มีลักษณะเป็นเรื่องที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนแต่อย่างใด กรณีจึงไม่ปรากฎเหตุที่กฏหมายให้อำนาจศาลในการเพิกถอนคำชี้ขาดได้
ศาลปกครองสูงสุดจึงพิพากษากลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้น เป็นให้ยกคำร้องของกระทรวงและการรถไฟฯ และให้บังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ
วันพรุ่งนี้ จะมาว่ากันถึงทางออก เพื่อปกป้องผลประโยชน์และความเป็นธรรมต่อส่วนรวม
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี