ชื่อเรื่องที่จะพูดในวันนี้มาจากพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร.9 ที่ทรงให้ไว้กับประชาชนคนไทยสมัยหนึ่งที่มีความแตกแยกกันอย่างหนักจากการบริหารบ้านเมือง ของนักการเมืองที่มีอำนาจในการบริหารประเทศ แต่วิธีบริหารเต็มไปด้วยการเล่นพรรคเล่นพวก หาประโยชน์ใส่ตน ใช้อำนาจในทางทุจริตคดโกง ผู้คนส่วนใหญ่เดือดร้อนในการทำมาหากิน แต่ผู้คนที่สนับสนุนตนมีกินมีใช้จากโครงการประชานิยมต่างๆ
มีการต่อต้านของผู้คนเกิดขึ้นมากมายในสมัยนั้น ทั้งการต่อต้านระหว่างประชาชนกับประชาชนด้วยกันเองที่อยู่คนละฝ่าย และต่อต้านผู้มีอำนาจในการบริหารประเทศในขณะนั้น จนเป็นที่มาของพระบรมราโชวาท “รู้รักสามัคคี” ดังกล่าว
บ้านเมืองของเราในขณะนี้ก็กำลังตกอยู่ในสภาพนี้
ความไม่สมานสามัคคีจะนำไปสู่ความรุนแรงได้ทุกเมื่อ
นักปกครองหรือผู้นำในการบริหารประเทศที่ใช้อำนาจในการบริหารไม่ถูกต้อง ทำทุกอย่างแบบตามใจชอบ จะนำมาซึ่งการเผชิญหน้าที่รุนแรงได้เหมือนอดีตที่ผ่านมา
กล่าวได้ว่า บ้านเมืองของเราในยามนี้ กำลังตกอยู่ในสภาพของความขัดแย้ง ทั้งระหว่างผู้คนทั่วไปที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ และความขัดแย้งกับผู้บริหารบ้านเมืองที่ใช้แต่อำนาจให้ทุกคนต้องปฏิบัติตน ความสามัคคีระหว่างกันจางหายลงไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะระหว่างประชาชนส่วนใหญ่กับผู้บริหารบ้านเมืองในขณะนี้
ความสามัคคีปรองดองซึ่งกันและกันดูห่างไกล
จะใช้อำนาจสั่งการให้สามัคคีปรองดองกันก็ไม่อาจจะเกิดขึ้นได้ตามคำสั่ง จะอวดโอ้อำนาจคับบ้านคับเมือง ข่มขู่คุกคามท่าไหนเพื่อให้สามัคคีกัน ก็ไม่เกิดขึ้นได้ตามคำสั่ง
จะเกิดขึ้นได้จริงๆนั้นก็ต้อง “รู้รักสามัคคี”
คือต้องรู้จัก “วิธีการเยียวยา” ที่มีอยู่หลายอย่าง
ที่สำคัญก็คือวิธีการหลักๆดังต่อไปนี้
1. วิธีเพาะปลูกความสามัคคี เอาใจเขามาใส่ใจเรา ให้ความเป็นธรรมเสมอกัน ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ปกป้องแต่พวกตน
2. วิธีเยียวยารอยร้าว ด้วยการรู้จักประโยชน์ส่วนรวม
3. รู้จักระงับไกล่เกลี่ย ใครผิดใครถูกต้องรู้จักแยกแยะ
ทั้ง 3 ประการเป็นแนวทางในการสร้างความสามัคคีปรองดอง ไม่ใช่ดีแต่ชอบบ่น หรือด่าว่าผู้คนอย่างคนไม่มีสัมมาวาจา ใครไม่มีสัมมาวาจา ผู้นั้นมีแต่ความเสื่อม
จะอยู่ให้ห่างไกลความเสื่อมได้ก็ต่อเมื่อรู้จักสิ่งเหล่านี้
1. พูดเรื่องจริง ไม่ใช่พูดอย่างเสกสรรปั้นแต่ง ไม่บิดเบือนจากความจริง ถ้าบกพร่องก็ยอมรับว่าบกพร่อง เช่นเรื่องที่กำลังเซ็งแซ่อยู่ในขณะนี้เกี่ยวกับแหวน-นาฬิกา
2. พูดแล้วก่อให้เกิดประโยชน์ เป็นผลดีทั้งแก่คนพูดและคนฟัง ถึงแม้คำนั้นจะจริงและเป็นคำสุภาพ แต่ถ้าพูดแล้วไม่เกิดประโยชน์อะไร แต่กลับให้โทษก็ไม่ควรพูด
3. พูดด้วยคำสุภาพ ไม่เป็นคำหยาบ คำด่า เช่น ไอ้ห่า ซึ่งฟังแล้วระคายหู แม้แค่นึกก็ระคายใจ
4. พูดด้วยจิตเมตตา อยากให้คนฟังมีความสุข
5. พูดถูกกาลเทศะ แม้ใช้คำพูดที่ดี เป็นคำจริง เป็นคำสุภาพ และพูดด้วยจิตเมตตาก็ตาม แต่ถ้าไม่ถูกกาลเทศะ จะก่อให้เกิดผลเสียได้
การพูดถูกเวลา (กาล) คือรู้ว่าเวลาไหนควรพูดเวลาไหนยังไม่ควรพูด ควรพูดนานเท่าใด ต้องคาดถึงผลที่จะเกิดขึ้นด้วย เช่นไปรบกวนเวลาดูทีวีของเขา
การพูดถูกกาลเทศะหรือสถานที่ คือรู้ว่าอยู่ในสถานที่เช่นไร เหตุการณ์แวดล้อมเป็นอย่างไร จึงควรพูด
ทั้ง 5 ประการจะไม่มีความเสื่อมมาถึงตน
และที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือ ต้องรู้จักนิ่งให้เป็นด้วย รู้จักว่าสิ่งไหนควรพูดหรือไม่ควรพูด ไม่ใช่เอะอะไปทุกเรื่อง
ยิ่งต้องเป็นคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบสูงในการบริหารปกครองบ้านเมืองด้วยแล้ว ยิ่งต้องระวังให้มากที่สุด เพราะการพูดจาแสดงออกของคนพูดจะบอกให้รู้ว่าเป็นคนดีหรือเป็นคนไม่ดี และจะถูกมองไปถึงกำพืดของคนผู้นั้นด้วยว่า มาจากกำพืดที่ดีหรือไม่ดี
คนดีนั้นเป็นคนที่ยึดหลักแห่งการเป็นคนดี 7 อย่าง คือ
1. เป็นผู้รู้จักเหตุ คือรู้ว่าความจริงแท้เป็นอย่างไร จะทำอะไร พูดอะไร คิดอะไร ถูกต้องกับหลักการและกฎเกณฑ์อันชอบธรรมหรือไม่
2. เป็นผู้รู้จักผล คือรู้ว่าก่อเหตุไว้อย่างนั้น ผลลัพธ์จึงออกมาอย่างนี้ อย่าไปโทษคนอื่น
3. เป็นผู้รู้จักตน คือรู้ว่าสถานะแห่งตนอยู่ตรงไหน กำลังเป็นผู้บริหารปกครองบ้านเมืองเพื่อให้พ้นวิกฤติใช่ไหม ไม่ใช่พอมีตำแหน่งหน้าที่ใหญ่โตแล้วลืมตัว ใช้อำนาจตามใจชอบ หรืออยากมีอำนาจต่อไปเรื่อยๆด้วยวิธีการกระทำต่างๆ
4. เป็นผู้รู้จักประมาณ คือรู้ว่าความพอดีอยู่ตรงไหน
5. เป็นผู้รู้จักกาล คือรู้ว่าตอนนี้บ้านเมืองยังขึ้นจากหล่มไม่ได้ ควรจะต้องรีบแก้รีบทำเรื่องอะไรที่สำคัญตามลำดับก่อนหลังให้แล้วเสร็จ
6. เป็นผู้รู้จักชุมชน คือรู้ว่าชุมชนทุกข์ยากยิ่งขึ้นหรือเปล่า
7. เป็นผู้รู้จักเลือกคบคน คือรู้ว่าใครดีหรือไม่ดีที่ควรคบ
ทั้ง 7 ประการดังกล่าวถึงไม่มีในตัวผู้นำ บ้านเมืองก็เอวัง
น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี