นับตั้งแต่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้เข้าสู่อำนาจในการบริหารสหรัฐอเมริกา ก็ทราบเป็นอย่างดีว่าสถานการณ์ของสหรัฐกำลังตกอยู่ในภาวะล้มละลายทั้งระดับประเทศและระดับประชาชน ไม่อาจแก้ไขได้ด้วยวิธีปกติตามวิธีการของนักวิชาการได้เลย
ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศแนวทางยุทธศาสตร์ The great America หรืออเมริกาต้องมาก่อน ในสถานการณ์เช่นนั้นได้สะท้อนให้เห็นความมุ่งมั่นในการกอบกู้ฟื้นฟูให้สหรัฐได้กลับคืนสู่ความเป็นมหาอำนาจ ทั้งทางการทหารและทางเศรษฐกิจที่แท้จริงอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งถ้าหากทำไม่สำเร็จสหรัฐก็อาจต้องถอยหลังเข้าสู่ยุคปิดประเทศดังยุคสมัยมอนโร
ดังนั้นกระบวนท่าลีลาทั้งหลายในการบริหารของประธานาธิบดีทรัมป์ จึงมีลักษณะเหนือคาดเหนือคิดของคนจำนวนมาก โดยเฉพาะเหนือความคาดคิดของนักวิชาการเต้าหู้ยี้ทั้งหลาย ที่สำคัญคือประธานาธิบดีทรัมป์ เป็นผู้ที่มีความเฉลียวฉลาดและปรีชาสามารถสูงมาก เป็นผู้นำประเทศที่ไม่อาจดูแคลนได้เลย ใครก็ตามที่ตีราคาฝีไม้ลายมือของประธานาธิบดีทรัมป์ผิดพลาด ก็จะไม่มีวันเข้าใจและคาดหมายสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นได้เลย
ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ใช้ประสบการณ์ของชีวิตตนเองที่ผ่านเหตุการณ์ล้มละลายมาแล้วถึงสองครั้ง และรักษาตัวรอดได้จนกระทั่งสร้างความมั่งคั่ง
อยู่ในระดับแนวหน้าของสหรัฐได้ก็เพราะกลยุทธ์พิเศษ หรือที่เรียกกันแบบลูกหนี้มืออาชีพว่าใช้วิธีการ Hair Cut
นั่นคือวิธีการที่จะลดหนี้หรือตัดหนี้ให้เหลือน้อยที่สุดที่จะเป็นภาระในการชำระหนี้ต่อไป เพราะสถานการณ์ของสหรัฐก่อนที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะเข้ามามีอำนาจนั้นต้องถือว่าตกต่ำถึงขีดสุด
ในทางแสนยานุภาพ ต้องมีการตัดงบประมาณกลาโหมลงถึงสองครั้งเป็นจำนวนเงินมหาศาล คือครั้งละ 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จนเป็นที่คาดหมายว่าถ้าหากมีการตัดงบประมาณทางการทหารครั้งที่สามอีกราว 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ก็จะทำให้แสนยานุภาพของสหรัฐทั้งที่เป็นฐานทัพทางบก 800 แห่ง และกองเรืออีก 10 กอง ในทุกน่านน้ำมหาสมุทรจะต้องเดี้ยงจนสูญสิ้นศักยะสงคราม
ดังนั้นประธานาธิบดีทรัมป์จึงต้องดิ้นรนเพื่อไม่ให้ตัดงบประมาณทางการทหารครั้งที่สาม แต่ในขณะเดียวกัน การจะฟื้นฟูกองทัพและศักยะสงครามให้อยู่ในแถวหน้าสุดเหมือนอดีตนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายดายนัก เพราะด้านหนึ่งมีอาวุธยุทโธปกรณ์จำนวนมากที่ล้าสมัย ในขณะที่อาวุธยุทโธปกรณ์ทันสมัยก็ไม่มีเงินไปใช้จ่ายในการสร้างขึ้น
ดังนั้นกลยุทธ์หลักของประธานาธิบดีทรัมป์ก็คือ การบังคับให้มิตรประเทศทั้งหลายช่วยกันซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ทั้งเก่าทั้งใหม่ให้ได้มากที่สุด ซึ่งเคยมีผู้ประมาณการว่าจะต้องจำหน่ายออกไปให้ได้มูลค่าถึง 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ จึงจะสามารถทำให้สหรัฐมีกำลังความสามารถในการพัฒนากองทัพต่อไป
ครึ่งสมัยของประธานาธิบดีทรัมป์ได้ขายอาวุธยุทโธปกรณ์ให้แก่มิตรประเทศทั้งหลายตามมากตามน้อยไปแล้วกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐแต่ยังห่างไกลจากเป้าหมายอีกมาก ดีไม่ดีก็ต้องทำต่อในสมัยที่สองของการเป็นประธานาธิบดี
เพื่อภารกิจดังกล่าว บรรดามิตรประเทศไม่ว่าใหญ่เล็กก็ถูกกะเกณฑ์ให้ซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ตามกลยุทธ์ดังกล่าว แม้ขนาดสิงคโปร์ประเทศเล็กๆ ก็ถูกกะเกณฑ์ให้ซื้อเครื่องบินรบทันสมัยที่สุดคือ F35A ในราคาที่แพงลิบลิ่ว ทั้งๆ ที่พื้นที่ของสิงคโปร์นั้นใช้เวลาบินเพียงเสี้ยวนาทีเท่านั้น
คงเหลือแต่ประเทศไทยของเราที่มีรัฐบาลจากการรัฐประหาร ต้องห้ามตามกฎหมายของสหรัฐในการขายข้าวของต่างๆ ดังนั้น ประเทศไทยจึงรอดตัวไปชั่วคราว และเหตุนี้ทันทีที่มีข่าวการเลือกตั้งขึ้นในประเทศไทย ฝ่ายบริหารของสหรัฐจึงได้แสดงความชื่นชมและยินดีอย่างออกนอกหน้า
แล้วก็แถลงท่าทีตั้งความหวังว่าหลังจากเลือกตั้งแล้วเชื่อว่ารัฐบาลไทยจะได้ทำความตกลงซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์จากสหรัฐต่อไป ซึ่งเป็นโจทย์ข้อใหญ่ของรัฐบาลชุดใหม่หลังเลือกตั้ง เพราะจะต้องทำความตกลงถึงยอดวงเงินที่จะต้องซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์เหล่านั้น
ที่ว่าเป็นปัญหาใหญ่ก็เพราะว่าถ้าซื้อน้อยก็จะไม่ครบตามเกณฑ์ที่สหรัฐต้องการ อาจจะถูกมาตรการกดดัน หรือแซงก์ชั่นได้ ดังเช่นการที่ตั้งท่าปรามกันไว้แล้วในการห้ามใช้เทคโนโลยี 5G ของหัวเว่ย
ในทางตรงกันข้าม ถ้าหากรัฐบาลไทยต้องจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ตามที่สหรัฐต้องการ ในยามที่สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศรุงรังไปด้วยหนี้สิน ก็จะเป็นการเพิ่มภาระให้กับประเทศ มิหนำซ้ำอาจจะถูกประชาชนก่นด่าว่าจนไม่เป็นอันบริหารราชการแผ่นดินก็ได้
ดังนั้นรัฐบาลที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่หลังเลือกตั้งจึงต้องเตรียมจัดการกับเรื่องนี้ให้ดีที่สุด ในทางที่จะธำรงรักษาไว้ซึ่งไมตรีอันดีกับสหรัฐในขณะเดียวกันก็ต้องหลีกเลี่ยงภัยพิบัติทางการเงินให้กับประเทศให้ได้ด้วย
และเพื่อจะหาเงินมาใช้จ่ายในการบริหารราชการแผ่นดินก็ต้องเรียกเก็บภาษีเพิ่มขึ้น แต่ชาวอเมริกันอยู่ในยุคภาษีอานมานานแล้ว ทั้งมีหนี้สินจำนวนมากที่มีการประมาณว่าประชาชนต้องใช้หนี้ถึง 120 ปี จึงจะหมด จึงยากที่จะจัดเก็บภาษีโดยตรงได้อีก
ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเปิดสงครามทางการค้ากับจีนและอีกหลายประเทศ รวมทั้งการแซงก์ชั่นประเทศที่ผลิตน้ำมัน เพื่อสหรัฐจะได้เป็นเจ้าใหญ่ในการส่งออกน้ำมันต่อไปเหมือนเดิม
สำหรับประเทศที่ตกเป็นเป้าหมายในการทำสงครามการค้าก็คือจีน ดังนั้นบรรดาสินค้าที่จีนส่งออกไปยังสหรัฐซึ่งมีจำนวนมหาศาลจึงถูกเรียกภาษีเพิ่มและขึ้นสูงถึงระดับ 25% ทุกรายการสินค้าแล้ว
ทว่าสินค้าที่จีนส่งไปยังสหรัฐเกือบทั้งหมดเป็นสินค้าจำพวกอุปโภคบริโภคที่จำเป็นสำหรับชาวอเมริกันและมีราคาถูกกว่าสินค้าประเทศอื่น ซึ่งถูกตีตลาดแตกยับเยินไปหมดแล้ว และเป็นวิสัยของพ่อค้าทั่วโลกที่ไม่มีใครยอมขาดทุนหรือเฉือนเนื้อตัวเอง ดังนั้น ทุกจำนวนภาษีที่สหรัฐเรียกเก็บเพิ่มจึงถูกบวกเป็นราคาสินค้าที่ขายให้กับชาวอเมริกันทั้งหมด
จีนถูกเรียกเก็บภาษีสินค้าส่งออกไปยังสหรัฐมากเท่าใด ชาวอเมริกันก็ต้องแบกรับภาระภาษีมากขึ้นเท่านั้น จึงก่อให้เกิดผลสองอย่างขึ้นนั่นคือ
อย่างแรก ห้าเดือนของการทำสงครามทางการค้ากับจีนปรากฏว่าสหรัฐได้ขาดดุลการค้าให้แก่จีนเพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก โดยสินค้าที่ส่งจากจีนไปยังสหรัฐไม่ได้ลดลง กลับเพิ่มขึ้นในอัตราส่วนปกติ ในขณะที่สินค้าที่สหรัฐส่งไปจีนนั้น 80% เป็นสินค้าไฮเทค ซึ่งจีนสามารถจัดหาจากที่อื่นได้ และมีสินค้าปลีกย่อยแค่ 20% เท่านั้น ดังนั้น จีนจึงรับมือกับสงครามการค้านี้อย่างแยบยลและแนบเนียน จนแทบจับความได้เปรียบเสียเปรียบกันไม่ได้
อย่างที่สอง ชาวอเมริกันที่เดือดร้อนก็เริ่มไม่พอใจรัฐบาล แต่เนื่องจากระบบข่าวสารของสหรัฐนั้นชาวอเมริกันรับฟังแต่สื่อกระแสหลัก ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมในการบริหารจัดการทิศทางของสื่อ จึงทำให้การลุกฮือขึ้นยังไม่เป็นไปโดยกว้างขวางเท่าใดนัก
อีกทางหนึ่ง เพื่อจะเพิ่มรายได้ของประเทศจากการส่งออกน้ำมัน สหรัฐก็ต้องสกัดหรือหยุดการส่งออกของประเทศคู่แข่ง ที่สำคัญคืออิหร่านและเวเนซุเอลา จึงเป็นเหตุให้เกิดการแซงก์ชั่นสองประเทศนี้อย่างรุนแรงถึงขนาดเตรียมใช้มาตรการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลด้วยแสนยานุภาพ
แต่ทว่าเวเนซุเอลานั้นเรียนรู้ประสบการณ์ที่หลายประเทศเคยเผชิญกับมาตรการของสหรัฐมาแล้ว ดังนั้นจึงได้เชิญรัสเซีย จีน อิหร่านและคิวบา เข้าไปช่วยเหลือทั้งด้านการทหารและเศรษฐกิจ จึงทำให้สหรัฐยังไม่สามารถยึดเวเนซุเอลาได้ตามความต้องการ
ส่วนทางอิหร่านนั้นเป็นมหาอำนาจทางแสนยานุภาพในตะวันออกกลางมาช้านานแล้ว และตลอดระยะเวลานับแต่ปฏิวัติอิสลามก็เผชิญกับการแซงก์ชั่นมาโดยตลอด ดังนั้นอิหร่านจึงเตรียมการรับมืออย่างแนบเนียนและแยบยลถึงที่สุดเช่นเดียวกัน
ชาวโลกเห็นแต่การก่อสถานการณ์ความขัดแย้งของสหรัฐในภูมิภาคต่างๆ แต่ปรากฏว่าไม่เกิดเป็นสงครามขึ้น
นั่นเพราะเป็นแค่การใช้กลอุบายของเตียวหุย เมื่อครั้งที่เล่าปี่แตกทัพที่สะพานเตียงปัน แล้วโจโฉเคลื่อนทัพหน้าสิบหมื่นไล่มาทัน เตียวหุยและทหารไม่มากตั้งรับอยู่ที่เชิงสะพาน เตียวหุยสั่งให้ทหารตัดกิ่งไม้ผูกหางม้าวิ่งวนไปวนมาในราวป่า ทำให้เกิดฝุ่นคละคลุ้ง และลวงโจโฉว่ามีทหารซุกซ่อนอยู่ จึงทำให้โจโฉไม่กล้าไล่ตามตี
อุบายของเตียวหุยนี้กลับถูกประธานาธิบดีทรัมป์นำมาใช้ในยุคนี้แล้ว!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี