สัปดาห์นี้ “ที่นี่แนวหน้า” ขอนำเรื่องราวจากต่างประเทศมาบอกเล่ากับท่านผู้อ่าน โดยเมื่อ 14 พ.ค. 2562 ที่ผ่านมา เว็บไซต์ นสพ. The Guardian ของอังกฤษ เสนอข่าว “New Zealand’s world-first “wellbeing” budget to focus on poverty and mental health” ระบุว่า “นิวซีแลนด์จะเป็นประเทศแรกในโลกที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตของประชาชนมากกว่าตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ”
รายงานข่าวนี้อ้างคำให้สัมภาษณ์ของ แกรนท์ โรเบิร์ตสัน (Grant Robertson) รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของนิวซีแลนด์ ซึ่งกล่าวว่าแม้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) พยากรณ์ว่าเศรษฐกิจนิวซีแลนด์จะเติบโตร้อยละ 2.5 ในปี 2562 และร้อยละ 2.9 ในปี 2563 แต่ประชาชนชาวนิวซีแลนด์จำนวนมากไม่ได้ประโยชน์จากตัวเลขนี้ เห็นได้จากอัตราการฆ่าตัวตาย การกลายเป็นคนไร้บ้าน และงบประมาณช่วยเหลือด้านอาหารเพิ่มสูงขึ้น
รมต.การคลังของนิวซีแลนด์ ยังย้ำด้วยว่า “ถึงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวม (จีดีพี-GDP) ของนิวซีแลนด์จะเติบโตในระดับที่หลายประเทศอิจฉา แต่มันจะมีประโยชน์อะไรตราบใดที่ยังมีคนไร้บ้าน เด็กที่เติบโตมาอย่างยากจน และความเหลื่อมล้ำในสังคมเพิ่มขึ้น” ดังนั้นจึงเป็นที่มาของการที่รัฐบาลตัดสินใจจัดสรรงบประมาณเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยเริ่มต้นเบิกจ่ายตั้งแต่เมื่อ 30 พ.ค. 2562 ที่ผ่านมา แม้ฝ่ายค้านจะวิพากษ์วิจารณ์ว่าแนวคิดของรัฐบาลจะไม่ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวนิวซีแลนด์ เมื่อเทียบกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะก็ตาม
หันกลับมามองประเทศไทย “ในรอบ 4-5 ปีล่าสุด..มุมมองด้านเศรษฐกิจในสังคมไทยแตกต่างและขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง” ระหว่างฝ่ายที่สนับสนุน “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้ทำงานต่อโดยเปลี่ยนสถานะจากผู้นำรัฐบาลทหารตั้งแต่ปี 2557 เป็นนายกฯ ในนามตัวแทนของ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) หลังการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ที่เพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อปลายเดือนมี.ค. 2562
“ทีมคนรักลุง” ให้เหตุผลว่านโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ “สร้างประโยชน์แก่ประเทศระยะยาว” ทั้งการเร่งรัดโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะบรรดารถไฟสายต่างๆ ทั้งรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ขยายเส้นทางรถไฟทางคู่ ริเริ่มก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง รวมถึง “โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี-EEC)” ดึงนักลงทุนต่างชาติเข้ามาสร้าง 10 อุตสาหกรรมล้ำยุค ภายใต้ยุทธศาสตร์ “ไทยแลนด์ 4.0 (Thailand 4.0)” ตั้งเป้าว่าอีก 20 ปี
ให้หลัง ประเทศไทยจะกลายเป็นประเทศพัฒนาแล้วอย่างแน่นอน
อีกทั้งยังเปรียบเทียบด้วยว่า “นโยบายเศรษฐกิจของ คสช. ดีกว่านโยบายของพรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรคหลักที่สลับกันขึ้นบริหารประเทศ ซึ่งเอาแต่ทำประชานิยม” ทั้งทางตรงอย่างการใช้จ่ายงบประมาณเพื่ออุดหนุนราคาผลผลิตทางการเกษตร บางพรรคเรียกจำนำผลผลิต บางพรรคเรียกประกันราคา และทางอ้อมอย่างการใช้ช่องทางที่กฎหมายอนุญาต นำพื้นที่สาธารณะอย่างทางเท้าบ้าง ที่ดินชายป่าบ้าง มาจัดสรรให้ใช้ทำมาหากิน เช่น ขายของหรือทำเกษตร เพียงเพราะเห็นแก่คะแนนเสียงของคนระดับฐานรากที่เป็นประชากรผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งกลุ่มใหญ่ที่สุด
แต่อีกด้านหนึ่ง “ฝ่ายที่ไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์” มักวิพากษ์วิจารณ์เสมอว่า “ตัวเลขจีดีพี หรือตัวเลขการส่งออกที่เติบโตขึ้นที่รัฐบาล คสช. มักอวดอ้าง คนระดับฐานรากไม่ได้ประโยชน์อะไรด้วย” ชาวบ้านทั่วไปมองไม่เห็นว่าโครงการอีอีซีก็ดี หรือยุทธศาสตร์ไทยแลนด์ 4.0 ก็ตาม จะช่วยเพิ่มรายได้และยกระดับ
คุณภาพชีวิตของตนเองและครอบครัวได้อย่างไร เมื่อเทียบกับสารพัดนโยบายประชานิยมที่บรรดาพรรคการเมืองต่างๆ เคยให้เมื่อในอดีต
“ทีมคนเบื่อลุง” ตั้งข้อสังเกตว่า “นโยบายรัฐบาล คสช. มีแต่กลุ่มนายทุนใหญ่ที่ได้ประโยชน์” แต่กลับกีดกันคนระดับฐานรากไม่ให้ทำมาหากิน ด้วยการไปยกเลิกเขตผ่อนผันในพื้นที่สาธารณะต่างๆ ที่รัฐบาลชุดก่อนๆ อนุญาตสืบเนื่องกันมา โดยอ้างเหตุผลด้านความเป็นระเบียบแล้วไม่มีมาตรการทดแทนที่เหมาะสม ส่งผลให้คนระดับฐานรากขาดรายได้ สะท้อนจาก “ผลโพลล์” ทุกสำนัก “ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ไม่มีแม้สักครั้งเดียวที่ให้รัฐบาล คสช. สอบผ่านด้านเศรษฐกิจ” ตรงกันข้าม “ปากท้อง-ค่าครองชีพ” เป็นเรื่องที่กลุ่มตัวอย่าง “กังวลที่สุด” ในการสำรวจทุกครั้ง
หากไปดูรายงาน การสำรวจแรงงานนอกระบบ พ.ศ.2561 ที่จัดทำโดย สำนักงานสถิติแห่งชาติ จะพบว่า 1.แรงงานไทย 20 ล้านคน จากทั้งหมด 38 ล้านคนเป็นแรงงานนอกระบบ 2.แรงงานนอกระบบมีอายุค่อนข้างมาก หรือตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป 3.แรงงานนอกระบบส่วนใหญ่การศึกษาน้อย โดย 6.2 ล้านคน จบต่ำกว่าประถมศึกษา (เรียนไม่จบ ป.6) และอีก 5.7 ล้านคน จบเพียงระดับประถมศึกษา (ป.6) เท่านั้น และ 4.แรงงานนอกระบบอยู่ในภาคเกษตร (รวมป่าไม้และประมง) มากถึง 11 ล้านคน รองลงมาเป็นพนักงานบริการและจำหน่ายสินค้าอีก 4 ล้านคน
สรุปได้ว่า “แรงงานนอกระบบของไทยมาพร้อมกับอายุมากแต่การศึกษาน้อย ครั้นจะให้เปลี่ยนอาชีพหรือยกระดับไปสู่การใช้เทคโนโลยีจึงไม่ใช่เรื่องง่าย” ความคิดของคนระดับฐานรากจึงไม่ได้ดูไร้เหตุผลเสียทีเดียว ที่คาดหวังว่า “การเลือกตั้งจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล เพื่อที่คนระดับฐานรากจะได้กลับมาลืมตาอ้าปาก กินอิ่มนอนหลับอีกครั้งผ่านสารพัดนโยบายช่วยเหลือเอื้ออำนวยทั้งหลาย” ที่อย่างน้อยก็ทำให้ “เม็ดเงินกระจายหมุนเวียนในสังคมระดับฐานราก” ไม่ใช่ถูกดูดไปเข้าแต่ทุนใหญ่อย่างที่มีการตั้งข้อสังเกตกันตลอด 4-5 ปีล่าสุด
“อย่าได้ประมาทเรื่องความเหลื่อมล้ำ” เพราะแม้เศรษฐกิจระบบทุนนิยมนั้นความเหลื่อมล้ำ คนรวย-คนจนจะเป็นเรื่องปกติ “แต่การปล่อยให้มีความเหลื่อมล้ำมากเกินไป การปลุกระดมให้เกิดความรุนแรงในสังคมก็ง่ายขึ้นด้วย” ซึ่งปรากฏมาแล้วในหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทยที่มีบทเรียนมาแล้วกับวาทกรรม “ไพร่-อำมาตย์, คนกรุงเทพฯ-คนต่างจังหวัด” เมื่อหลายปีก่อน และส่อเค้าถูกจุดติดอีกครั้งในเวลานี้ไม่ว่าในชนบทหรือในเมือง
ทั้งหมดนี้ทำให้นึกถึงช่วงก่อนเลือกตั้งที่ 2 แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ในขณะนั้น “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ-กรณ์ จาติกวณิช” เสนอนโยบายว่า “ควรเปลี่ยนตัวชี้วัดการพัฒนาประเทศจาก GDP เป็น “ปิติ (Prosperity Index Thailand Initiative-PITI)” อันมีสาระสำคัญคือนโยบายต่างๆ ของภาครัฐที่ออกมาต้องตอบโจทย์เรื่องการกระจายรายได้” รวมถึงผลทางสังคมและสิ่งแวดล้อมด้วย ซึ่งน่าเสียดายที่พรรคของทั้ง 2 ท่าน ไม่ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลเพราะมีที่นั่ง สส. ในสภาเพียงอันดับ 4
ก็ไม่รู้ว่าแนวคิดนี้จะมีใครนำไปสานต่อหรือไม่?
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี