ใครที่ยังเข้าใจว่าอาเซียนยังคงตกอยู่ใต้อาณัติของตะวันตกเหมือนที่เคยเป็นมาร่วมครึ่งศตวรรษแล้ว ต้องถือว่าความเข้าใจนั้นกำลังห่างไกลออกจากความเป็นจริงของอาเซียนมากขึ้นทุกที เพราะขณะนี้สถานการณ์ของอาเซียนเปลี่ยนแปลงไปแล้ว
และจะส่งผลต่อการดำเนินนโยบายการต่างประเทศของประเทศไทยอย่างลึกซึ้งด้วย หากยังติดยึดอยู่กับความเชื่อแบบเดิม ในที่สุดก็จะเกิดความแปลกแยกกับภาคีอื่นของอาเซียน กระทั่งอาจกลายเป็นตัวประหลาดในสายตาของภาคีสมาชิกอาเซียนด้วย
ในอดีตนั้นใช่ เพราะอาเซียนนั้นพัฒนามาจากองค์กรสนธิสัญญาป้องกันร่วมกันแห่งเอเชียอาคเนย์หรือนาโต ครั้นสหรัฐพ่ายสงครามเวียดนามอย่างเด็ดขาดไปแล้ว องค์การนั้นก็สิ้นสลายไป และได้มีการก่อตั้งอาเซียนขึ้นมาเพื่อความร่วมมือของ 5 ประเทศในเอเชียอาคเนย์และต่อมาก็ได้ขยายออกเป็น 10 ประเทศ
ได้แก่ ไทย พม่า ลาว กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ บรูไน ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย
แต่ถึงกระนั้นด้วยความคุ้นเคยและมิตรไมตรีอันสนิทแน่นแฟ้นกับสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น บรรดาสมาชิกอาเซียนจึงมีความโน้มเอียงที่มีความใกล้ชิดสนิทสนมกับสหรัฐและญี่ปุ่นมากกว่าประเทศอื่นๆ ในโลกนี้
ครั้นสหรัฐตั้งตัวได้หลังสงครามเวียดนามสิ้นสุดลงก็ยังคงดำรงบทบาทและความร่วมมือกับสมาชิกอาเซียนต่อไป แม้ไม่ถึงกับระดับเมื่อครั้งก่อนสงครามเวียดนาม แต่ก็ต้องนับว่ายังคงดำรงบทบาทมากกว่าชาติอื่นใด
แต่ทว่าหลังจากมีการก่อตั้งองค์การความร่วมมือแห่งเซี่ยงไฮ้ขึ้นแล้ว ขั้วอำนาจของโลกแทนที่จะมีขั้วเดียวก็กลายเป็นสองขั้ว และการแข่งขันกันระหว่างสองขั้วอำนาจนั้นก็ส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของประเทศต่างๆ
โดยเฉพาะคือการดำเนินยุทธศาสตร์ที่ตรงกันข้ามกัน คือในขณะที่นาโตที่นำโดยสหรัฐ ดำเนินยุทธศาสตร์ในลักษณะความขัดแย้งและสงคราม แต่องค์การความร่วมมือแห่งเซี่ยงไฮ้ กลับดำเนินยุทธศาสตร์สันติภาพและการพัฒนา ทำให้การปะทะกันระหว่างสองยุทธศาสตร์นี้ส่งผลกระทบไปทั่วโลก
ที่สำคัญที่สุดคือการดำเนินยุทธศาสตร์ความขัดแย้งและสงครามนั้นได้เกิดปรากฏการณ์กลุ่มก่อการร้ายขึ้นในโลก และก่อเหตุร้ายขึ้นในหลายประเทศ รวมทั้งการแบ่งแยกดินแดนตั้งเป็นรัฐใหม่ ดังเช่นที่เกิดขึ้นในติมอร์ตะวันออก และที่จะเกิดขึ้นที่อาเจะห์ของอินโดนีเซีย หรือที่กำลังจะเกิดการแยกตัวของรัฐยะไข่ของพม่า หรือสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย แม้กระทั่งความพยายามแยกดินแดนเกาะมินดาเนาออกจากฟิลิปปินส์ เหล่านี้ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อประเทศอาเซียนด้วย
ในช่วงที่เกิดสงครามอิรักและซีเรียขึ้น โดยพันธมิตรรัสเซีย จีน อิหร่าน ได้เข้าช่วยเหลืออิรักและซีเรียจากการยึดครองของพวกไอซิส ที่มีประเทศตะวันตกหนุนหลัง ก็ได้เกิดสิ่งที่เรียกว่ายุทธการปลาหมึกยักษ์ขึ้น หรือนัยหนึ่งก็คือแผนการตั้งรัฐอิสลามไอซิสขึ้นในประเทศอาเซียนหลายประเทศ จึงทำให้เกิดการตื่นตัวครั้งใหญ่เพื่อรักษาดินแดนและประเทศชาติของตนให้พ้นจากอันตรายร้ายแรงนั้น
พม่า ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ประสบเหตุเภทภัยก่อนเพื่อน และความจริงก็เป็นเหตุการณ์ที่ไม่ต่างอันใดกับสถานการณ์ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย เป็นแต่ว่าในสามประเทศนั้นมีความรุนแรงมากกว่า จึงเกิดการดิ้นรนเพื่อรักษาตัวรอดกันโดยทั่วไป
ในบัดนี้ลาว กัมพูชา พม่า และมาเลเซีย ได้ตระหนักถึงภัยและอยู่ในวิสัยที่พร้อมจะเผชิญหน้ากับความกดดันต่างๆ ดังนั้นจึงหันหลังให้กับสหรัฐและญี่ปุ่น หันไปเป็นพันธมิตรกับจีนและรัสเซียอย่างเต็มรูปแบบ กลายเป็น 4 ประเทศหลักของอาเซียนที่มีจุดยืนเรื่องนี้ชัดเจนที่สุด
สำหรับฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียแม้ได้เผชิญเหตุแบ่งแยกดินแดนและความพยายามแย่งยึดดินแดนมาแล้ว แต่ยังคงมีความสัมพันธ์ทางการทหารอย่างลึกซึ้งกับสหรัฐ ดังนั้นแม้จุดยืนที่แท้จริงจะหันไปจับมือกับจีนและรัสเซียอย่างแน่นแฟ้น แต่ก็ยังคงสงวนท่าทีไม่เปิดหน้ายืนคนละฝักฝ่ายกับสหรัฐอย่างโจ่งแจ้งนัก นี่ก็เป็นสภาพพิเศษของสองประเทศนี้ที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
ล่าสุดมาเลเซียได้ประกาศร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนกับจีนในทุกมิติ ในขณะที่มีข่าวว่ากัมพูชาก็ได้อนุญาตให้จีนจัดตั้งฐานทัพขึ้นที่กัมพูชา ซึ่งแน่นอนว่าย่อมเชื่อมโยงกับพื้นที่ยุทธศาสตร์เกาะเทียมในทะเลจีนใต้ และเชื่อมโยงกับการจับจ้องมองช่องแคบมะละกา ซุนดา และลอมบอก ซึ่งแน่นอนว่าย่อมส่งผลกระทบต่อสหรัฐอย่างยิ่ง
สำหรับเวียดนามนั้นเคยทำศึกสงครามกับสหรัฐและจีนมา เป็นความรู้สึกที่ฝังใจ ในขณะที่เวียดนามไว้วางใจรัสเซียตลอดมา ดังนั้นจุดยืนของเวียดนามจึงไม่เหมือนกับประเทศอาเซียนทั่วไป คือไม่อาจเป็นฝักฝ่ายกับประเทศใดอย่างชัดแจ้งเกินไป
ส่วนบรูไนนั้นเป็นประเทศเล็ก พยายามแยกตัวออกจากปัญหาความขัดแย้ง ก็คงเหลือไทยกับสิงคโปร์ที่มีความสนิทสนมแน่นแฟ้นกับสหรัฐและญี่ปุ่นมากเป็นพิเศษ
โดยเฉพาะไทยนั้นในช่วงต้นของการยึดอำนาจ 22 พฤษภาคม 2557 ที่ถูกสหรัฐกดดันอย่างหนักก็หันไปจับไม้จับมือกับจีน รัสเซีย และอิหร่านมากขึ้น หลังจากนั้นเพียงสองปีสหรัฐได้เปลี่ยนท่าทีหันมาจับไม้จับมือกันใหม่ ทำให้ประเทศไทยต้องละทิ้งโครงการทั้งหลายที่ร่วมมือกับจีน รัสเซีย อินเดีย และอิหร่านในยามยากไปหมดสิ้น จึงเป็นผลทำให้รถไฟไทย-จีน เฟสแรก 3.5 กิโลเมตร ยังไม่คืบหน้าไปไหน แม้กระทั่งการปฏิบัติตามปฏิญญาซันย่าก็ละเลยเพิกเฉยไปหมดแล้ว จึงเกิดความเย็นชาขึ้นระหว่างไทย-จีน แม้ว่าจะมีการพูดจาประสาการตลาดกันอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีผลปฏิบัติใดๆ ที่เป็นจริงเป็นจัง
ดังนั้นหลังจัดตั้งรัฐบาลใหม่แล้ว ประเทศไทยจะไปทางไหน จึงเป็นเรื่องที่ท้าทายคนไทยทั้งประเทศอีกครั้งหนึ่ง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี