ในแฟนเพจพรรคอนาคตใหม่ ได้รายงานกิจกรรมการเมืองของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่, นางสาวพรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรค และดร.วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร ที่ปรึกษานโยบายเศรษฐกิจ ระหว่างเดินทางไปยังกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม เปิดเผยว่า ได้พบปะกับนักการเมืองและข้าราชการของสหภาพยุโรป หารือเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองไทยหลังเลือกตั้ง
“....ธนาธรและคณะได้พบกับนายอลิน สมิธ สมาชิกรัฐสภายุโรป และหนึ่งในคณะกรรมาธิการด้านการต่างประเทศของรัฐสภายุโรป หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่กับสมิธได้พูดคุยกันถึงผลการเลือกตั้งในไทยและรายงานความผิดปกติเกี่ยวกับการจัดการเลือกตั้ง โดยสมาชิกรัฐสภายุโรปยืนยันว่าสหภาพยุโรปจะนำเรื่องความชอบธรรมและเสถียรภาพของรัฐบาลไทยหลังเลือกตั้ง รวมถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชน มาพิจารณาก่อนที่จะเดินหน้าเจรจาเขตการค้าเสรี หรือ FTA ระหว่างอียูกับไทย....
...ธนาธรและทีมอนาคตใหม่ยังได้พบกับลอทเทอร์ ลิชท์ ผู้อำนวยการฮิวแมนไรท์วอทช์ ประจำยุโรป... ลิทช์ยังกล่าวถึงสถานการณ์การเมืองในไทยหลังเลือกตั้งว่า สิ่งสำคัญที่รัฐสภายุโรปต้องตระหนักก็คือ สิ่งที่เกิดขึ้นในไทยไม่ใช่การกลับคืนสู่ประชาธิปไตย และไม่สามารถยอมรับได้ ประชาธิปไตยจะมีความหมายได้อย่างไรถ้าสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน รวมถึงสิทธิในการแสดงออกทางการเมืองและสิทธิในการชุมนุม ไม่ได้รับการปกป้อง…”
1. น่าแปลกใจว่า หัวหน้าพรรคการเมืองไทย ซึ่งเป็น สส.ที่ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่ แต่ยังเดินสายให้ข้อมูลแก่สมาชิกรัฐสภายุโรป เฉพาะในด้านที่เป็นลบแก่ประเทศไทย
และยังพบได้พบกับอำนวยการฮิวแมนไรท์วอทช์ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ให้ข้อมูลโจมตีประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยข้อมูลที่คลาดเคลื่อนไปจากข้อเท็จจริงหลายประการ
ตกลงว่า นายธนาธรเดินสายไปช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศไทย เพื่อให้นานาชาติยอมรับและสานสัมพันธ์อันดีกับ “ประเทศไทย” หรือเพียงเพื่อให้ข้อมูลด้านลบเพื่อจะให้ต่างชาติช่วยกันถล่มประเทศไทย ถล่มรัฐบาลไทย ไม่เร่งฟื้นฟูความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างกันเพียงเพราะรัฐบาลไทยในปัจจุบันยังเป็นรัฐบาลขั้วการเมืองตรงข้ามกับนายธนาธรและพวก?
2. ที่ผ่านมา ฮิวแมนไรท์วอทช์ องค์กรที่นายธนาธรไปเอออวยด้วยนั้น ได้รับและรายงานข้อมูลสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในไทยคลาดเคลื่อนไปขนาดไหน? ที่มีการสรุปสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชน ประจำปี 2562 และมีข้อมูลให้ร้ายประเทศไทยอย่างไม่เป็นธรรมจุดไหนบ้าง
สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ องค์กรตามรัฐธรรมนูญของประเทศไทยเรา (ซึ่งทำหน้าที่ตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนและได้วิพากษ์วิจารณ์ฝ่ายรัฐบาลในหลายเรื่อง) ได้มีคำชี้แจง อาทิ
ฮิวแมนไรท์วอทช์ อ้างว่า รัฐชะลอการยกเลิกมาตรการจำกัดเสรีภาพในการแสดงออก ชุมนุมอย่าง ทั้งที่มีประกาศให้เลือกตั้งทั่วไปแล้ว
ข้อเท็จจริง : ก่อนการเลือกตั้ง มีคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 22/2561 ออกมายกเลิกคำสั่ง คสช. หลายฉบับ รวมถึงความผิดฐานมั่วสุม ชุมนุมเกิน 5 คนด้วย
ฮิวแมนไรท์วอทช์ อ้างว่า นักเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตย อย่างน้อย 130 คน ถูกดำเนินคดี ฐานชุมนุมผิดอย่างกฎหมาย
ข้อเท็จจริง : ศาลได้จำหน่ายคดีไปแล้ว เนื่องจากคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 22/2561 ยกเลิกความผิด ฐานชุมนุมเกิน 5 คน และกิจกรรมที่ดำเนินการชุมนุมอย่างสงบ เช่น “We walk .... เดินมิตรภาพ” ก็ดำเนินการได้
ฮิวแมนไรท์วอทช์ อ้างว่า มีการจับกุมตัวผู้ลี้ภัย แรงงานข้ามชาติ ไว้ในห้องกักของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) และแยกเด็กกว่า 50 คน ออกจากพ่อกับแม่
ข้อเท็จจริง : เรื่องแยกเด็กนั้น เป็นไปตามบันทึกความเข้าใจ เรื่อง การกำหนดมาตรการและแนวทางแทนการกักตัวเด็กไว้ในสถานกักตัว เพื่อรอการส่งกลับ ที่ลงนามเมื่อ 21 ม.ค. 2562 เพื่อไม่ให้มีการกักตัวเด็กอายุต่ำกว่า 18 ไว้ในสถานกักตัวฯ
ฮิวแมนไรท์วอทช์ อ้างว่า สมาคมการประมงแห่งประเทศไทยรณรงค์ต่อต้านการให้สัตยาบันและดำเนินการตามอนุสัญญาแรงงานระหว่างประเทศ
ข้อเท็จจริง : ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันดังกล่าวแล้ว ส่งผลให้ไทยมีพันธกรณีต้องดำเนินการต่างๆ เพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิแรงงานภาคประมง แถมต่อมาได้ออก พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานภาคประมง พ.ศ. 2562 ส่งผลให้ EU ยอมปลดธงเหลืองภาคการประมงของไทย แสดงให้เห็นถึงการยอมรับในการแก้ปัญหาการทำประมง และแรงงานผิดกฎหมายของไทย ฯลฯ
3. เท่าที่ปรากฏข้อมูลจากพรรคอนาคตใหม่ ไม่ปรากฏว่านายธนาธรชี้ชวนให้ต่างชาติมองเห็นสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศชาติ เพื่อประโยชน์ส่วนรวมบ้างเลย คงมีแต่จะชักชวนให้มุ่งไปในทางเพ่งโทษเอากับประเทศไทย
ตรงกันข้าม หน่วยงานที่ติดตามการดำเนินงานของรัฐบาล คสช. และได้เคยวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง แหลมคม มีข้อมูลเชิงลึกในการหักล้างแนวทางบางเรื่องของ คสช. อย่าง “สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI)” ได้แถลงข่าว “ประเมินผลงาน ปฏิรูป 5 ปี รัฐบาลประยุทธ์ (1): ติดตามความคืบหน้าแก้ปัญหาประเทศ”
ทีดีอาร์ไอยังชี้ให้เห็นทั้งเรื่องที่รัฐบาล คสช.ไม่ควรทำ เรื่องที่ทำยังไม่สำเร็จ และเรื่องที่ทำสำเร็จและควรสานต่อในรัฐบาลต่อไป ยกตัวอย่าง
ผลการดำเนินการที่ปรากฏเป็นรูปธรรม ได้แก่
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน และท่าเรือมาบตาพุด ระยะที่ 3 ช่วงที่ 1 ซึ่งน่าจะสามารถเซ็นสัญญาในเร็วๆ นี้ ขณะที่ โครงการสนามบินอู่ตะเภาและท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 ยังคงอยู่ในขั้นตอนการพิจารณา
การดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยสามารถทำให้เกิดเม็ดเงินลงทุนได้พอสมควร กล่าวคือในช่วงปี 2558-2561 มีมูลค่าการลงทุนของโครงการที่ได้รับอนุมัติการลงทุนรวม 1.014 ล้านล้านบาทในพื้นที่ EEC และ 1.110 ล้านล้านบาทในอุตสาหกรรมเป้าหมาย
การกำหนดมาตรการดึงดูดแรงงานทักษะสูงจากต่างชาติเป็นครั้งแรก โดยเฉพาะมาตรการ “สมาร์ทวีซ่า” และการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในอัตราร้อยละ 17 จากแรงงานทักษะสูงที่มีคุณสมบัติตามที่กำหนด ซึ่งอาจช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานทักษะสูงบางส่วนได้ในระยะเวลาสั้น
การดึงดูดให้มหาวิทยาลัยระดับโลกเข้ามาตั้งในประเทศไทย โดยเฉพาะ CMKL University ซึ่งเป็นสถาบันร่วมระหว่างมหาวิทยาลัยคาร์เนกีเมลลอน กับสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และการเปิดให้บางคณะของมหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน (NTU) เข้ามาเปิดสอนในประเทศไทย นอกจากนี้ รัฐบาลยังร่วมมือกับญี่ปุ่นในการพัฒนาวิศวกรคุณภาพสูงภายใต้หลักสูตร “โคเซ็น” ซึ่งทั้งหมดนี้ เป็นจุดเริ่มที่สำคัญในการผลิตแรงงานทักษะสูง ที่จำเป็นต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย
การผลักดัน พ.ร.บ. การบริหารงานและการให้บริการภาครัฐผ่านระบบดิจิทัล พ.ศ. 2562 ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการบูรณาการข้อมูลของภาครัฐ ในการให้บริการประชาชน และการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐต่อประชาชน
การลดภาระให้แก่ประชาชนที่ติดต่อกับภาครัฐในหลายด้าน เช่น การเลิกใช้สำเนาทะเบียนบ้านและบัตรประชาชน เมื่อติดต่อกับหน่วยราชการ, การเลิกกรอกแบบฟอร์ม ตม. 6 ในกรณีที่คนไทยเดินทางเข้าหรือออกประเทศ, การเลิกการแจ้งความ กรณีที่ประชาชนทำบัตรประชาชน หรือใบขับขี่หาย
การจัดประมูลคลื่นความถี่สำหรับบริการ 4G ซึ่งประสบความสำเร็จพอสมควร โดยมีการแข่งขันกันมากในระหว่างผู้ประกอบการ อย่างไรก็ตาม ภายหลัง ความสำเร็จนี้ต้องมัวหมองไปเมื่อรัฐบาลใช้คำสั่ง ม.44 ในการ “อุ้ม” ผู้ประกอบการที่ประมูลคลื่นความถี่ได้
การขายข้าวจากโครงการจำนำข้าวทุกเม็ดที่มีอยู่จริงในสต๊อครัฐบาลจำนวน 17.76 ล้านตันได้ในเวลาไม่ถึง 4 ปี ซึ่งถือว่าเร็วกว่าในอดีต (ยกเว้นส่วนที่ติดคดีประมาณ 3.45 แสนตัน) โดยใช้วิธีประมูลอย่างโปร่งใส ซึ่งช่วยลดภาระการขาดทุน และลดแรงกดดันราคาข้าวไทยให้อยู่ในระดับต่ำ ทำให้ชาวนาได้ประโยชน์และการค้าข้าวกลับสู่ภาวะปกติ และไทยสามารถทวงคืนส่วนแบ่งตลาดข้าวหอมในฮ่องกงที่สูญเสียให้แก่เวียดนามในช่วงนโยบายจำนำข้าวทุกเมล็ด ฯลฯ
ทั้งหมดนี้ คือ ข้อมูลจากทีดีอาร์ไอ หน่วยงานที่ติดตามตรวจสอบนโยบายสาธารณะด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลมาอย่างเข้มข้น โดยต่อเนื่อง
ทั้งหมดนี้ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ไม่เคยใส่ใจจะกล่าวถึง หรือมุ่งแต่จะให้ร้ายประเทศไทย
วันพรุ่งนี้ มาว่ากันต่อ
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี