วันนี้เป็นวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 เป็นวันอาสาฬหบูชา เป็นหนึ่งในวันสำคัญในพระพุทธศาสนา เป็นวันที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงพระธรรมเป็นครั้งแรก พระธรรมอันทรงแสดงนั้นชื่อว่าธัมมจักกัปปวัตตนสูตร คือการยังธัมมจักให้เป็นไปในโลก ผลจากการแสดงธรรมนั้นทำให้พี่ใหญ่ของปัญจวัคคีย์ คือท่านโกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรม
คือเห็นความจริงตามที่เป็นอยู่จริงๆ ว่าสิ่งทั้งหลายเมื่อมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดาก็ย่อมมีความดับไปเป็นธรรมดา
เมื่อเห็นความจริงเช่นนั้นแล้วจึงขอรับอุปสมบท พระผู้มีพระภาคเจ้าประทานอุปสมบทให้ด้วยพระองค์เอง ด้วยการตรัสว่า เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด พระอัญญาโกณฑัญญะจึงสำเร็จความเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนารูปแรก พระสงฆ์อุบัติขึ้นเป็นครั้งแรกในวันนั้น
ดังนั้นแม้วันอาสาฬหบูชาจะเป็นวันแสดงปฐมเทศนา ซึ่งถือกันว่าเป็นวันของพระธรรม แต่ก็ยังถือได้ว่าเป็นวันพระรัตนตรัยด้วย เพราะพระรัตนตรัยครบองค์สามในวันนั้น คือเมื่อพระพุทธเจ้าอุบัติแล้วในโลก ทรงแสดงพระธรรมแล้ว บังเกิดพระสงฆ์รูปแรกขึ้นในโลก ทำให้พระรัตนตรัยครบองค์สาม
ความสำคัญของวันอาสาฬหบูชามีมากและมากกว่าวันเข้าพรรษาจนเทียบกันไม่ได้ เพราะวันเข้าพรรษานั้นไม่ได้มีความหมายอะไรเลย นักบวชในอินเดียก่อนโพธิกาลและในโพธิกาลเขาก็หยุดจำพรรษากันในหน้าฝนทั้งนั้น ดังนั้น เมื่อพระสงฆ์มีมากขึ้นก็มีผู้ไปทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่าไม่สมควรให้พระสงฆ์เดินทางในระหว่างฤดูฝน ข้าวกล้าและพืชพันธุ์ทางการเกษตรของชาวบ้านเสียหาย สมควรให้ภิกษุสงฆ์จำพรรษาเช่นเดียวกับนักบวชอื่น
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงบัญญัติพระวินัยให้พระสงฆ์จำพรรษาตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ในเวลาที่พระจันทร์โคจรเสวยอุตราสารท นักขัตฤกษ์ ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนว่าวันเข้าพรรษานั้นมิได้มีความสำคัญอะไร แต่ยุคสมัยหนึ่งคนไทยก็มาถือกันผิดๆ ว่าเป็นวันสำคัญ และต่อมาเมื่อการศึกษาเรียนรู้กว้างขวางขึ้น จึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้ววันสำคัญที่สุดก็คือวันอาสาฬหบูชานี้
การแสดงปฐมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าแก่ปัญจวัคคีย์นั้น พระองค์ทรงตระเตรียมระบบการแสดงธรรมอย่างน้อย 1 วัน 1 คืน คือนับตั้งแต่วันเสด็จถึงป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี ในวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 8 และทรงแสดงปฐมเทศนาในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8
การแสดงปฐมเทศนาครั้งนั้นประกอบด้วยเนื้อหาสามตอน คือ
ตอนที่หนึ่ง ทรงตรัสสอนปัญจวัคคีย์เพื่อทำลายความยึดมั่นถือมั่นของปัญจวัคคีย์ที่หมกมุ่นอยู่กับความเชื่อที่ผิดว่าต้องทรมานตนให้ได้ยากลำบากจึงจะถึงซึ่งความหลุดพ้นได้ว่าเป็นหนทางที่ผิด ไม่ใช่หนทางแห่งการตรัสรู้และทรงชี้ให้เห็นว่าทางสายกลางหรือมัชฌิมาปฏิปทาคือหนทางแห่งความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์ เป็นหนทางไปสู่พระนิพพาน
ตอนที่สอง ทรงตรัสสอนความจริงอันยิ่งสี่ประการ หรืออริยสัจสี่ คือทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ซึ่งทรงสรุปว่า
ขันธ์ห้านี้เป็นทุกข์ ความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้า หรืออุปาทานขันธ์ คือเหตุแห่งทุกข์ การดับสนิทซึ่งความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้าคือความดับทุกข์หรือนิพพาน และ มัชฌิมาปฏิปทา คือหนทางแห่งการทำลายหรือดับความยึดมั่นถือมั่นนั้น
ดังนั้นแม้การแสดงเรื่อง อริยสัจจะ มีเนื้อความมากมายยาวเหยียด แต่เนื้อหาจริงๆ หรือหัวใจจริงๆ ก็คือสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสรุปไว้นั้นซึ่งชัดแจ้ง เข้าใจง่าย และเห็นความจริงได้ง่าย
แต่ทว่าที่นำมาสอนกันนั้นสอนกันเพียง 1 ใน 3 ของเนื้อหาแห่ง อริยสัจสี่ เท่านั้น ซึ่งเป็นแค่ความรู้ทางปริยัติ เป็นแค่ผิวเปลือก ไม่สามารถถึงซึ่งความดับทุกข์ได้เลย
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยืนยันในการแสดงปฐมเทศนานั้นว่า ตราบใดแลที่เรายังไม่รู้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งในอริยสัจสี่ ที่มีรอบสาม อาการสิบสองแล้ว ตราบนั้นเราไม่ปฏิญาณตนว่าได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว เมื่อใดแลที่เราได้รู้ด้วยปัญญาอันยิ่งในอริยสัจสี่ที่มีรอบสาม อาการสิบสองแล้ว เมื่อนั้นเราจึงจะปฏิญาณตนว่าได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
และทรงประกาศว่าบัดนี้แลเราได้รู้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งในอริยสัจสี่ที่มีรอบสาม อาการสิบสองแล้ว เราจึงปฏิญาณตนว่าได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว
อริยสัจสี่รอบแรกคือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เป็นเรื่องที่ต้องกำหนดรู้ หรือนัยหนึ่งก็คือต้องรู้ในทางปริยัติ
อริยสัจสี่รอบที่สองคือ ทุกข์นั้นเป็นสิ่งที่ต้องละ สมุทัยจะต้องดับเสีย นิโรธจะต้องทำให้ถึงที่สุด และมรรคเป็นเรื่องที่ต้องเจริญให้มาก
อริยสัจสี่รอบที่สามคือ พระพุทธองค์ได้ทรงละทุกข์เด็ดขาดสิ้นเชิงแล้ว ทรงดับสมุทัยสนิทแล้ว ทรงดับทุกข์ถึงที่สุดแล้ว จะไม่กลับฟื้นคืนมาใหม่ได้อีกดุจดังตาลยอดด้วน และทรงเจริญมรรคถึงที่สุดแล้ว
นี่คืออริยสัจสี่ที่มีรอบสาม อาการสิบสอง คือบริบูรณ์ด้วยปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ จึงเป็นเรื่องที่ชาวพุทธพึงศึกษาทำความเข้าใจโดยนัยแห่งปฐมเทศนานี้
ตอนที่สาม ทรงตรัสสอนเน้นในเรื่องวิธีการแห่งการดับทุกข์ หรือมรรควิธีแห่งการดับทุกข์ คือมรรคอันมีองค์แปด โดยเครื่องมือสำคัญที่ทรงประทานไว้ให้คือสัมมาสติและสัมมาสมาธิ ซึ่งจะเป็นบาทฐานแห่งสัมมาปัญญา คือความดับทุกข์สิ้นเชิง
ขออาราธนาพระสงฆ์ทั้งหลายและพุทธศาสนิกชนทั้งหลายได้น้อมรำลึกถึงความสำคัญของวันอาสาฬหบูชาโดยนัยอันพรรณนามานี้เทอญ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี