ภายหลังรับหน้าที่การเป็นนายกฯ ได้ไม่กี่เดือน พล.อ.ประยุทธ์ ก็ดูจะมีเรื่องให้ปวดหัวเพิ่ม นอกจากสถานการณ์เศรษฐกิจช้ำ และสถานการณ์ความไม่แน่นอนของเสียง สส. ในสภาฯ ก็ยังมีเรื่องการถวายสัตย์ฯ ที่มีทีท่าว่าจะไม่จบง่ายๆ เสียแล้ว? และมีทีท่าว่าจะแปรเปลี่ยนเป็นกรณีศึกษาทางการเมืองอีกด้วย หลังฝ่ายค้านใช้กระบวนการทางการเมือง นำมาตรา 152 ของรัฐธรรมนูญมาแก้ปัญหา ด้วยการขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ ซึ่งมาตรา 152 นี้ แม้จะเป็นเรื่องที่มีอยู่แล้วในวุฒิสภา แต่สำหรับสภาผู้แทนราษฎรนั้นเพิ่งจะถูกบรรจุลงรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 จึงถือเป็นเรื่องใหม่ในสภาฯ ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าต้นตอที่ทำให้ปัญหาลุกลามมาถึงจุดนี้ มาจาก 2 สาเหตุหลักๆ คือ
1.ถูกวิจารณ์ว่าเป็นความผิดพลาดส่วนบุคคลของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่มีการถวายสัตย์ฯไม่ครบหรือไม่
2.การเล่นประเด็นว่าพล.อ.ประยุทธ์ ที่ไม่มาชี้แจงให้คำตอบในสภาฯหรือไม่
ซึ่งไม่ว่าบทสรุปจะออกมาเป็นอย่างไร ก็น่าสนใจว่าในเกมนี้ที่ฝ่ายค้านเลือกเล่นประเด็นการถวายสัตย์ฯ กลับไม่มีหัวเรือใหญ่ของทั้งสองพรรค ทั้งคุณหญิงสุดารัตน์ และนายธนาธร ที่ไม่ได้อยู่คุมเกมนี้เองในสภาฯ ดังนั้นหากผลไม่ได้ออกมาอย่างที่หวัง นอกจากจะทำให้ฝ่ายค้านจะไม่ได้แต้มแล้ว จะกลายเป็นการตีกลับมาสู่พรรคตัวเองด้วยหรือไม่?
ส่วนสถานการณ์ที่ฝ่ายรัฐบาล แพ้โหวตข้อบังคับการประชุมสภาฯ ด้วยเสียง สส. ที่หายไปของฝ่ายรัฐบาลถึง 30 เสียง ทำให้เป็นการแพ้โหวตของฝ่ายรัฐบาลถึง 2 รอบในรอบ 2 สัปดาห์ ซึ่งหลายฝ่ายก็มองว่าต่อไปจะกลายเป็นปัญหาหนักอกขึ้นเรื่อยๆ ตราบใดที่เสียงยังปริ่มน้ำ ผนวกกับท่าทีของบรรดาพรรคจิ๋ว ที่นับวันจะยิ่งกลายเป็นกาวร้อนที่ยังไม่แห้งเสียที ซึ่งกรณีนี้อาจจะยังไม่ส่งผลมากนักเพราะเป็นการแพ้ในเรื่องของข้อบังคับการประชุม ที่มีผลบังคับใช้กับทั้งฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้าน ยังไม่มีผลอะไรมาก แต่ถ้าหากถึงคราวต้องยกมือโหวตผ่านกฎหมายฉบับสำคัญๆ หรือร่างนโยบายต่างๆ ก็น่ารอดูว่าเสียงที่ว่าปริ่มน้ำนั้น สุดท้ายจะกลายเป็นสิ่งที่ทำให้รัฐบาลจมน้ำไปด้วยหรือไม่?
สำหรับปัญหาระเบียบวินัย ในการรักษาเสียงของฝ่ายตัวเองนั้น ก็มีทีท่าว่าซีกรัฐบาลไม่ได้เป็นฝ่ายเดียวที่เจอกับปัญหาดังกล่าว หลังในซีกฝ่ายค้าน พรรคเศรษฐกิจใหม่ของนายสุภดิช เตรียมแถลงข่าวถึงกระแสที่ว่า จะมี สส. พรรคเศรษฐกิจใหม่บางส่วนพลิกขั้วไปเข้ากับฝ่ายรัฐบาลในวันนี้? ซึ่งก็มีแนวโน้มว่าอาจจะเป็นจริง? หลังพรรคเศรษฐกิจใหม่ ออกอาการ ไม่เข้าร่วมประชุม 7 พรรคฝ่ายค้าน ด้วยเหตุผลที่ว่าติดประชุมของพรรคตัวเอง ซึ่งสุดท้ายไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร? แน่นอนว่าย่อมเกิดผลเสียกับซีกพรรคฝ่ายค้านด้วยกันเอง ที่ในขณะนี้เหล่าพรรคฝ่ายค้านกำลังเคี่ยว เปิดเกมรุกหนัก ร่วมกันเดินสายรณรงค์ต่างๆ จึงทำให้ทุกเสียงของฝ่ายค้านในขณะนี้มีความสำคัญ ดังนั้นการขาดกำลังไป แม้จะเป็นส่วนเล็กน้อย แต่หากเกิดขึ้นแล้วอาจส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อไปหรือไม่?
ในเวลาเดียวกันกับที่ฝ่ายค้านเดินสายรณรงค์ ฝ่ายรัฐบาลเองก็เดินหน้าด้านโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อ หลังอนุมัติวงเงินกว่า 3.16 แสนล้าน กระตุ้นเศรษฐกิจด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือเกษตรกร การดูแลค่าครองชีพ การช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และการกระตุ้นการท่องเที่ยว แต่อย่างไรก็ตาม ทางด้านคุณหญิงสุดารัตน์ จากพรรคเพื่อไทยเอง ก็มีมุมมองอีกด้านหนึ่งซึ่งมองว่ามาตรการเศรษฐกิจของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ นั้น ไม่ตรงจุดและไม่มีประสิทธิภาพ แต่ทว่าก็เหมือนลมลอยผ่านหู เพราะขณะนี้ประชาชนเองก็กำลังรอคอยการช่วยเหลือจากภาครัฐ
ดังนั้นแล้วเวลานี้ใครคือผู้ถืออำนาจรัฐ ย่อมเป็นที่พึ่งของประชาชน ไม่เว้นแม้แต่ในสายตาคนของพรรคเพื่อไทยของคุณหญิงสุดารัตน์เอง อย่างนายครูมานิตย์ และนายตี๋ใหญ่ สส.จังหวัดสุรินทร์ ที่แสดงท่าทีกับนายกฯ ในการลงพื้นที่เมื่อจันทร์ที่ผ่านมาว่า ต้องการให้นายกฯ อยู่ครบวาระ และหากได้งบประมาณตามที่ขอ ในการแก้ไขปัญหาของประชาชนในพื้นที่ ก็พร้อมยกมือสนับสนุนนายกฯ ต่อไป ซึ่งท่าทีดังกล่าวก็สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่ ที่เลือก สส. เพราะต้องการให้ตัวของ สส. เป็นผู้แทนของตัวเองในการนำปัญหาความเดือดร้อน และความต้องการของประชาชนเสนอรัฐบาลใช่หรือไม่?
อย่างไรก็ตาม อีกประเด็นที่น่าติดตาม คือการเข้ามาของ พล.อ.ประวิตร ในฐานะประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งนอกจากจะถูกเป็นคู่เทียบมวยกับคุณหญิงสุดารัตน์ จากพรรคเพื่อไทยแล้ว ก็กำลังจะท้าทายกลุ่มอำนาจเก่าในพรรคพลังประชารัฐ และยังถูกท้าทายด้วยเรื่องการจัดการปัญหาในพรรค ตลอดจนถึงกลุ่มขั้วอำนาจอื่นๆ ในพรรคอีก ไม่ต่างกับคุณหญิงสุดารัตน์ ที่ยังเผชิญกับวิกฤตินี้อยู่ในพรรคเพื่อไทย กล่าวคือ ในพรรคเพื่อไทยปัจจุบันนี้ ยังคงมีความไม่ชัดเจน เรื่องขั้วอำนาจที่แท้จริงที่ถูกรับรองโดยนายทักษิณ เพราะแม้คุณหญิงสุดารัตน์จะมีตำแหน่งเป็นประธานยุทธศาสตร์ แต่ในพรรคเพื่อไทยก็ยังมีหัวหน้าพรรค อีก 1 คน และคุณหญิงสุดารัตน์เอง ก็ไม่ได้ดำรงตำแหน่ง สส. ซึ่งในสถานะที่พรรคเพื่อไทยเป็นฝ่ายค้านอยู่ตอนนี้ เกมการเมืองที่เล่นได้ มีเพียงอย่างเดียว คือเกมการเมืองในสภาฯ ในฐานะฝ่ายค้าน ที่คุณหญิงสุดารัตน์ไม่ใช่ทั้ง สส. และผู้นำฝ่ายค้าน นานวันเข้า ยิ่งอาจหลุดจากการกุมอำนาจ สส. ในสภาฯ ขึ้นทุกวัน
ดังนั้นแล้วการเคลื่อนไหวในแต่ละครั้งในช่วงหลัง จึงเป็นเพียงสีสัน แต่มิอาจบ่งบอกได้ถึงอำนาจบารมีและการจัดการได้เหมือนในอดีต ยกตัวอย่าง กรณี สส.อีสานส่วนหนึ่ง ออกมาแสดงท่าทีสนับสนุน พล.อ. ประยุทธ์ ตามที่ได้กล่าวไว้แล้ว และยังไม่รวมถึงอาจจะมี สส. อื่นๆ ที่อาจจะแอบไปคุยลับหลังอีกหรือไม่? เพราะวันนี้ต้องยอมรับว่ากระแสเพื่อไทยไม่เหมือนเดิม แม้แต่ในฟากเดียวกัน พรรคอนาคตใหม่ก็ดูมีชื่อชั้นมากกว่า ยิ่งในช่วงเวลาที่พรรคพลังประชารัฐ และภูมิใจไทย กำลังรุกคืบอีสาน ผลักดันโครงการแก้จน โครงการน้ำ โครงการกัญชาเพื่อการแพทย์ สามารถต่อท่อถึงประชาชนได้ดีกว่า หากรอช้าอาจตกขบวน จึงเป็นเหตุให้ สส. เพื่อไทย ฝ่ายอีสาน อาจกำลังคิดหนักอยู่ในขณะนี้ เพราะแม้อาจไม่ไปเข้ากับพรรคพลังประชารัฐ ก็อาจมีพรรคภูมิใจไทยที่เป็นอีกตัวเลือก
หันกลับมาที่ซีกประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ ในวันก่อนที่ พล.อ.ประวิตรเข้ามา พรรคใหญ่อย่างพรรคพลังประชารัฐ อยู่ในสถานภาพ สหกรุ๊ป คือเป็นการรวมตัวกันของมุ้งการเมือง ที่พร้อมจะแตกหักได้ทุกเมื่อ ตั้งแต่ช่วงจัด ครม. แล้ว จนถึงมีข่าวว่า พล.อ. ประยุทธ์ จะลงมาคุมเกมเอง โดยในกลุ่มก๊วนการเมืองของพรรคพลังประชารัฐยังมีหลายสาย ประกอบกับกระแสข่าวสั่นคลอน ของเก้าอี้หัวหน้าพรรค ของนายอุตตม และนายสนธิรัตน์ ที่ถูกลูกพรรคต่างกลุ่มในพรรค ขย่มเป็นระลอก เรื่องความเป็นธรรมในการจัดการปัญหาภายใน จนล่าสุดกรณี สส. กทม. เยือนภูเก็ต แทนที่ลูกพรรคจะออกมาปกป้อง สส. ในพรรคด้วยกัน กลับยิ่งเปิดแผลความขัดแย้งภายในสู่ภายนอก เพราะเมื่อย้อนไป บรรดา สส. เหล่านี้ ก็เคยโต้แย้งหัวหน้าพรรค เมื่อรอบจัด ครม. จึงไม่แปลกที่ฝั่งซีกหัวหน้าพรรค จะไม่ได้จัดการอะไรกับเรื่องนี้มากนัก พล.อ.ประวิตร ซึ่งอาจจะมีการวางแผนมาก่อนหน้านี้แล้ว ก็อาจมีการเลือกเข้ามารับตำแหน่งประธานยุทธศาสตร์พรรค ในช่วงเวลาที่เหมาะสมคือในช่วงนี้
นัยหนึ่งเพื่อสยบความขัดแย้งภายในของกลุ่มต่างๆ ไม่ให้บานปลายกว่านี้ และเมื่อได้ที จึงออกคำสั่งให้รัฐมนตรีทิ้งตำแหน่ง สส. และกำชับห้ามตรวจสภาฯ ตลอดจนรับปากที่จะจัดสรรตำแหน่งให้กับทุกกลุ่ม รวมถึงกลุ่มคนสอบตก เพื่อป้องกันคลื่นใต้น้ำ และเสริมอำนาจในการปกครองพรรคของตัวเองใช่หรือไม่?
นัยที่สอง คือการลดบทบาทของตัวเองใน ครม. มาเติมขุมกำลังในพรรคการเมือง ซึ่งการเข้ามาของ พล.อ.ประวิตร อาจไม่ได้ช่วยให้สถานะของหัวหน้าพรรค และเลขาธิการพรรคมั่นคงขึ้น แต่อาจช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับพรรคพลังประชารัฐ เพื่อสู้กับพรรคการเมืองอื่น ทั้งในระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล ตลอดจนถึงการเดินเกมต่อสู้กับฝ่ายค้าน และดึงฝ่ายค้านบางส่วนเข้ามาร่วม จึงน่าจะพอมองเห็น คู่เทียบในฐานะประธานยุทธศาสตร์พรรค ของพรรคพลังประชารัฐและเพื่อไทย ได้อย่างชัดเจน
“…ความเงียบคือการยอมรับโดยดุษณี…”
โกวเล้ง จากเรื่องวีรบุรุษสำราญ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี