นักเศรษฐศาสตร์ ช่วงแรกเสียเปรียบสาขาอื่น เพราะไม่สนใจพฤติกรรมของมนุษย์ สนใจแต่เรื่องของมนุษย์กับการจัดสรรทรัพยากรได้ประโยชน์สูงสุดเท่านั้น
ช่วงที่สาขาเศรษฐศาสตร์ต้องไม่เน้นพฤติกรรมของมนุษย์ถือว่า ไม่ถูกต้อง เพราะคำนึงถึงเรื่องมนุษย์โดยปรับตัวด้วยราคาและรายได้เท่านั้น เป็นหลักของเศรษฐศาสตร์นานแล้ว
แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป มีนักเศรษฐศาสตร์มองความจริงมากขึ้น เช่น เคยคิดว่า ถ้าต้นทุน มากกว่ากำไร ก็ไม่ผลิตเพราะขาดทุน แต่มนุษย์อาจมีพฤติกรรมที่คาดไม่ถึง จึงมีทฤษฎีว่า เศรษฐศาสตร์ที่ไม่เน้น Rational Behavior (พฤติกรรมโดยมีเหตุผล) มากขึ้น บางครั้งพบมนุษย์บางคนมี Irrational Behavior มีพฤติกรรมไม่มีเหตุผล เช่น รู้ว่า ปีนเขา Everest เสี่ยงตาย หลายคนก็พร้อมจะทำ หรือการพนันไม่ดี โอกาสเสียเงินมนุษย์ก็จะทำ
เรื่องปรับ Mindset (ความคิด) ผมได้แนวคิดจากคุณภาวนา อังคณานุวัฒน์ ซึ่งปัจจุบันเป็นรองผู้ว่าการบริหาร กฟผ. เรียนวิชาผู้นำกับผมเมื่อ 10 ปีแล้วที่กฟผ.
คุณภาวนาเห็นว่า กฟผ.อยู่แบบเดิมไม่ได้ เพราะสร้างโรงไฟฟ้าไม่สำเร็จ เพราะชุมชนไม่ต้องการ เก่งวิศวะอย่างเดียวไม่พอ ต้องปรับ Mindset จากวิศวะมาเป็นผู้เข้าใจเรื่องชุมชน
มีหนังสือเปรียบเทียบ Mindset แบบ Fixed คงที่กับ Growth Mindset (เปลี่ยนแปลงได้) เขียนโดย Dr. Carol S. Dweck สัก 10 ปีมาแล้ว นายกฯตู่ก็แนะนำหนังสือเล่มนี้
ผมได้อ่านหนังสือเล่มนี้ จับใจความได้ 2 อย่าง ที่ผมทำอยู่แล้วคือ คนที่ปรับ Mindset จาก fixed มาเป็น growth ต้องทำ 2 อย่างหลักๆ
(1) ต้องมี 3L’s คือ
ต้องมี Learning from Pain คือ มีความล้มเหลวจึงรู้จักและปรับตัวเองซึ่งก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับทุกๆ คน เช่น ยุคฟองสบู่ ถ้าใครไม่ปรับตัว ธุรกิจก็อยู่ไม่ได้ แต่ถ้าอดทนและใช้ปรัชญารัชกาลที่ 9 ก็อยู่ได้
ปัจจุบัน เด็กรุ่นใหม่ อายุต่ำกว่า 30 มีรายได้เฉลี่ย 20,000 ไม่เคยเจอปัญหา ปัจจุบัน กู้ทุกๆ เรื่อง ไม่ว่าบัตรเครดิต บ้าน รถ แถมยังหนีหนี้กยศ. ไม่เคยถูกฟ้อง จะขอเตือนไว้ว่า ให้ประหยัด มองความมั่นคงระยะยาวดีกว่ากู้ทุกๆ อย่างเพื่อบริโภคปัจจุบัน
ผมยังจำคำพูดพ่อผม อดีตรัฐมนตรีคลัง 10 ปี เตือนลูกไว้ว่า “นกน้อยทำรังแต่พอตัว” ช่วงแรก ผมมองไม่เห็นด้วย แต่เมื่อมีวิกฤติต้มยำกุ้งจึงรู้ว่า ถ้าไม่เจอความเจ็บปวด จะไม่มีความสำเร็จ เป็นความคิดของผม อาจจะคล้ายกับ Dweck
อีกเรื่องหนึ่ง ที่ผมไม่ได้ลอกฝรั่งมาคือ วินัยการหาความรู้ตลอดชีวิต สนุกกับการหาความรู้ ไม่น่าเชื่อที่สมัยอยู่เทพศิรินทร์ผมซนมาก สนใจการเรียนน้อยมาก อยู่นิ่งไม่ได้ ชอบเล่น แต่เมื่อได้ไปแข่งกับคนเก่งๆ ในระดับต่างประเทศ ผมกลับชอบเรียน ชอบอ่าน ชอบแข่ง ไม่ได้อ่านเพื่อสอบ แต่อ่านเพราะมีความสุข นำมาใช้ในการทำงานและการสอบ ยังทำอยู่ถึงปัจจุบัน เพราะมีความสุขและสนุก ผมชอบเข้าร้านหนังสือทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งอุปนิสัยคนไทยมีเรื่องนี้น้อยไป
ผมคิดว่า 2 ข้อนี้เป็นหลักที่ไปเช็คข้อมูลเพิ่มเติมใน Google เพื่อเป็นรายละเอียดเพราะในเดือนตุลาคมนี้ ผมจะมีCamp นักเรียน 2 ครั้ง ผมจะพูดการปรับ Mindset เรื่องการศึกษาสำหรับนักเรียน แทนที่จะบอกเขาว่า 4.0 คืออะไร ไม่พอ แต่เขาต้องปรับวิธีการเรียนแบบเดิม ไม่ใช่เพื่อสอบ แต่มาเรียนเพื่อคิดหาปัญญา เพื่อทำงาน เพื่อหานวัตกรรมใหม่ เพื่อทำงานเป็นทีม แต่ลอกไม่พอ ต้องมีนวัตกรรมใหม่ในการศึกษามากขึ้น
ใน 15 ข้อที่ผมอยากจะแบ่งปันเรื่องการปรับ Fixed Mindset เป็น Growth Mindset อาจจะแยกได้ดังต่อไปนี้
1.ยอมรับตัวเองว่า ยังมีปัญหาในการดำรงชีวิตและการทำงาน
2.เมื่อถูกท้าทายจากสังคมหรือกดดันจากนายหรือเพื่อนร่วมงาน ก็เผชิญอย่างองอาจ
3.ตั้งใจฟังคำวิจารณ์และความคิดของบุคคลรอบด้าน อย่าโกรธ แต่ทำและแก้ไขปัญหาไปด้วย
4.อย่ารอแค่คำชมจากคนรอบข้าง เพราะคำชมอาจจะไม่จริงใจ
5.ควรมองเรื่องของแท้จริง (Authenticity) ให้ลึกๆว่าคืออะไร เราไม่เข้าใจของแท้ หลงอยู่ในความเชื่อผิดๆ เช่น คนบอกว่า เราสำเร็จ แต่จริงๆแล้ว ยังไม่สำเร็จ ต้องอยู่กับของแท้
6.ปลูกฝังว่า เป้าหมาย (Purpose) การทำงานคืออะไร
7.วิเคราะห์ให้ดีว่า ความสามารถที่แท้จริงของเราคืออะไร นำมาใช้ในการปรับตัว ไม่ใช่เรียนเก่งเท่านั้น แต่ใช้จุดแข็งจุดอ่อนให้ถูกจังหวะ หลีกเลี่ยงจุดอ่อน แต่ใช้จุดแข็งให้ได้ผลสูงสุด
8.ยอมรับว่า การวิจารณ์จะทำให้เจ็บปวด แต่ถ้าบริหารสำเร็จอาจได้คือรางวัล
9.การทำงานต้องดู Process กระบวนการมากกว่าแค่ Results
10.ข้อนี้ตรงกับที่ผมพูดแล้วคือ เรียนรู้จากความล้มเหลว
11.เจออุปสรรคแล้วไม่พอ เพราะฉะนั้นเอาชนะมันให้ได้เรื่องนี้ผมทำทุกๆ วัน โดยเฉพาะเป็นส่วนหนึ่งของ Chira Wayเรื่องคน
12.เพราะจะต้อง Take risk ทำงานที่เสี่ยง อาจจะทำร่วมกับทีม แต่ไม่ควรจะกลัวผิดหวัง แล้วไม่ทำสิ่งที่เป็นความกล้าหาญ
13.อันนี้ตรงกับ 2 ข้อของผมคือ ศึกษาค้นคว้าข้อมูลใหม่ใน Google เขาเน้น Reskill และ New Skill
14.ความสำเร็จอาจจะสำคัญเท่ากับทำงานให้ทุกๆ คนได้รับทราบ ก็มีส่วนร่วมและจะให้เกียรติทีมงานทุกๆคน
15.สุดท้าย เมื่อปรับทัศนคติแล้ว คนก็คือเจ้าของและจะต้องเข้มแข็ง Resilience ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
สุดท้ายในวันที่ 28 กันยายน 2562 เวลา 13.00-16.30 น.รายการวิทยุ Human Talk ออกอากาศทุกวันอาทิตย์เวลา 06.00 น.ทางคลื่นความคิด FM 96.5 MHz กำหนดจัดสัมมนากระชับความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้ฟังและคณะผู้ดำเนินรายการ พร้อมด้วยวิทยากรที่น่าสนใจ มาร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้เข้าร่วมสัมมนา ถึงความสำคัญ และแนวทางการพัฒนาทุนมนุษย์ในยุค Disruptive World พร้อมทำความเข้าใจถึงข้อดี ข้อเสีย โอกาสและความเสี่ยงของการใช้เทคโนโลยี AI กระบวนการและวิธีการบริหารจัดการเทคโนโลยีในโลกยุค Disruptive Worldอย่างมีธรรมาภิบาล การพัฒนาด้านการศึกษาเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับเยาวชนรุ่นใหม่ และการใช้กระบวนการแบบ Chira Wayเป็นเครื่องมือในการพัฒนาทุนมนุษย์เพื่อนำไปปรับใช้และสร้างคุณค่าตอบโจทย์โลกยุค Disruptive World ที่นั่งมีจำกัดสามารถสอบถามข้อมูลได้ที่ 08-9200-1471 หรือ 08-1588-0113 E-mail : chiraacademy@gmail.com ครับ
จีระ หงส์ลดารมภ์
dr.chira@hotmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี