วันศุกร์ ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2568
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มีการจัดประชุมวิชาการด้านชายแดนศึกษาและพัฒนาระหว่างประเทศ ครั้งที่ 2 ที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย ซึ่ง ศ.ดร.ยศ สันตสมบัติ อาจารย์ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้กล่าวปาฐกถา “อาเซียนใต้ชะเงื้อมทุนนิยมจีน” ในการประชุมวิชาการด้านชายแดนศึกษาและพัฒนาระหว่างประเทศ ครั้งที่ 2ที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย เล่าเรื่องการแผ่ขยายของทุนจีนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นเรื่องน่าสนใจ จึงขอนำมาเล่าต่อกับท่านผู้อ่านในสัปดาห์นี้
อาจารย์ยศ เล่าว่า 20 ปีมานี้ มองเห็นทุนจีนเข้าไปในลาว เมียนมา กัมพูชา เวียดนาม (CLMV) จำนวนมาก ซึ่งตั้งแต่จีนเปิดประเทศตั้งแต่ปี 2521 เศรษฐกิจก็เติบโตอย่างรวดเร็ว “ปัจจุบันขนาดเศรษฐกิจจีนใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก และหากไม่มีอะไรพลิกผันก็น่าจะแซงสหรัฐอเมริกาขึ้นเป็นอันดับ 1 ในอนาคตอันใกล้” จะเห็นว่าจีนขยายการลงทุนไปทั่วทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แอฟริกา ลาตินอเมริกา แม้แต่ตะวันออกกลางที่ว่ากันว่าไปยากจีนก็ไปได้
“ในเชียงใหม่ สมัยก่อนเราก็นึกว่านักท่องเที่ยวเยอะไปๆ มาๆ นักท่องเที่ยวพวกนี้เราก็เจอหน้าเป็นประจำข้ามปี ถ้าเราไปตามศูนย์การค้าในเชียงใหม่ ผมไม่แน่ใจว่าเชียงรายมีหรือเปล่าเพราะไม่เคยไปศูนย์การค้าที่เชียงราย แต่ที่เชียงใหม่ผมคิดว่ามีคนจีนอาศัยอยู่ไม่ต่ำกว่าแสนคนฉะนั้นจีนคือความเป็นจริงของชีวิตเราในเวลานี้” นักวิชาการด้านสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาผู้สนใจเรื่องจีน ระบุ
อาจารย์ยศ เล่าต่อไปว่า อาเซียนหรือประชาคมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เกิดขึ้นในปี 2510 ซึ่งตรงกับยุค “สงครามเย็น (Cold War)” โลกถูกแบ่งเป็น 2 ขั้ว ระหว่างฝ่ายเสรีนิยมประชาธิปไตยนำโดยสหรัฐฯ และฝ่ายสังคมนิยมคอมมิวนิสต์นำโดยสหภาพโซเวียต (รัสเซีย) และจีน “สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ อันเป็น 5 ชาติผู้ก่อตั้งอาเซียน ล้วนกลัวภัยคอมมิวนิสต์” การเกิดขึ้นของอาเซียนจึงสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ปิดล้อมคอมมิวนิสต์ของสหรัฐฯ ด้วย เห็นได้ว่ามีฐานทัพสหรัฐฯ ในภูมิภาคนี้ ช่วงสงครามเกาหลีและสงครามเวียดนาม
“30 ปีแรกของอาเซียน (2510-2540) อาเซียนเป็นองค์กรที่ต่อต้านจีนอย่างชัดเจน” แต่หลังปี 2540 หลังวิกฤติเศรษฐกิจ สหรัฐฯ และญี่ปุ่นไม่ได้ช่วยอะไรภูมิภาคนี้ ตรงข้ามกับจีนที่มีท่าทีดีขึ้น “จีนสร้างภาพลักษณ์ให้อาเซียนเห็นว่าคอมมิวนิสต์ไม่น่ากลัว..และเรารักกันได้” ความกังวลที่อาเซียนมีต่อจีนจึงลดลง “ปลายทศวรรษ1990s (หลังปี 2540 เป็นต้นมา) จีนเริ่มมีบทบาทเชิงสร้างสรรค์มากขึ้น” ในขณะที่สหรัฐฯ หันไปทำสงครามต่อต้านการก่อการร้าย ไม่ได้สนใจอาเซียนอีก จีนกับอาเซียนจึงเริ่มสนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆ
“หลังการทำสนธิสัญญาการค้าเสรีจีน-อาเซียน มูลค่าการค้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สภาวะการพึ่งพิงจีนก็มากขึ้น”โดยเฉพาะประเทศกลุ่ม CLMV “ในฐานะที่สหรัฐฯ เคยใช้อาเซียนปิดล้อมจีน จีนจึงให้ความสำคัญกับอาเซียนเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ไม่ว่าในทางเศรษฐกิจหรือการทหาร” จีนพยายามสลายการที่อาเซียนมองจีนในแง่ความมั่นคง ด้วยการเข้ามาแบบเน้นเรื่องเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน
อย่างไรก็ตาม อาจารย์ยศย้ำว่า “ทุนนิยมแบบจีนไม่เหมือนทุนนิยมปกติทั่วไป” กล่าวคือ จีนสถาปนารัฐคอมมิวนิสต์ และปัจจุบันก็ยังอ้างเช่นนั้น “ก่อนปี 2521ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าทุนนิยมในจีนแผ่นดินใหญ่ ในขณะที่ชาวจีนโพ้นทะเลได้เข้าไปสร้างระบบทุนนิยมในอาเซียน”ซึ่งก็ยังแตกต่างกันอีก เช่น ทุนจีนในไทยไม่เหมือนกับทุนจีนในมาเลเซีย ลาว เมียนมา ฯลฯ “แต่เมื่อรัฐบาลจีนเริ่มสร้างทุนนิยมขึ้นมา ทุนนิยมนั้นถูกกำกับโดยรัฐ” เป็นทุนรัฐนำ ทุนนิยมอำพราง มีความซับซ้อน
“เอาแค่ในเชียงราย เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าบริษัทนี้ใครเป็นเจ้าของ ไม่มีทางรู้ได้เลยว่ามันเชื่อมโยงกับรัฐอย่างไร ในความเป็นจริงถ้าเราสืบได้ เราอาจจะพบว่าบริษัทนี้ลึกๆ แล้วตั้งโดยรัฐวิสาหกิจจีน แต่ในแง่นี้รัฐก็มีหลายระดับในความสัมพันธ์ของทุนนิยมกับรัฐในจีน มีทั้งรัฐบาลกลาง หน่วยงานของรัฐบาล และรัฐบาลระดับมณฑล ระดับท้องถิ่น แล้วจีนพยายามสนับสนุนให้รัฐบาลระดับมณฑลแข่งขันกันตลอดเวลา และจีนเมื่อแข่งขันภายใต้ระบบทุนนิยม แข่งกันยิ่งกว่าตะวันตก” อาจารย์ยศกล่าวถึงความซับซ้อนของทุนนิยมแบบจีน
สำหรับในภูมิภาคอุษาคเนย์ (อาเซียน) ผู้เล่นหลัก2 ราย ในระดับมณฑล-เมือง ที่รัฐบาลจีนสนับสนุน คือ“คุนหมิง-กวางสี” แข่งกันว่าใครจะครองการลงทุนมากกว่ากัน “ยังไม่ต้องนับภาคเอกชนทั้งจากแผ่นดินใหญ่ฮ่องกง มาเก๊า” ซึ่งก็มีรูปแบบที่แตกต่างกันไป อาจารย์ยศกล่าวว่า “เมื่อทุนจีนเข้ามา สิ่งแรกที่พบคือเจ้าสัวลูกจีนที่กุมบังเหียนทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ” หลังจากนั้นก็อาจมีทั้งการแข่งขัน ประนีประนอม หรือลงทุนร่วมกัน
“ทุนจีนมีลักษณะยืดหยุ่น พร้อมปรับตัวเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็ว” แม้สหรัฐฯ จะทำสงครามการค้า(Trade War) ก็ไม่แน่ว่าจะเอาชนะได้ “จีนเป็นประเทศเดียวในโลกที่ผู้นำทุกระดับไปไหนก็หิ้วกระเป๋าไปด้วย..หมายถึงเอาของไปขาย” และไม่แต่เฉพาะผู้นำ “แม้กระทั่งกรรมกรจีนก็ยังมีความเป็นพ่อค้าในสายเลือด เช่นไปทำงานสร้างถนนในลาว เสร็จงานแล้วก็เปิดร้านขายโทรศัพท์มือถืออยู่ที่นั่น” และรัฐบาลจีนพร้อมช่วยเหลือผู้ประกอบการจีนเสมอ
อาทิ “ชาวจีนอยากเปิดกิจการในเชียงใหม่ ระดมทุนจากญาติพี่น้องแล้วก็ยังไม่พอ ส่วนที่ขาดสามารถขอกู้ในอัตราดอกเบี้ยราคาถูกกับรัฐบาลจีนได้ผ่านสมาคมชาวจีน ซึ่งเป็นเรื่องที่คนภายนอกไม่ค่อยรู้” มีศูนย์ช่วยเหลือชาวจีนเกิดขึ้นในประเทศต่างๆทำหน้าที่ช่วยเหลือชาวจีนที่ต้องการประกอบธุรกิจในประเทศนั้นๆ ซึ่งในทางกลับกัน “คนไทยที่อยากไปทำธุรกิจในต่างแดนจะไม่มีหน่วยงานใดช่วยเหลือขนาดนี้แน่นอน” จึงไม่ต้องแปลกใจที่จะเห็นสินค้าจีน-ทุนจีนไหล่บ่าทะลักเข้ามาเป็นจำนวนมาก
“ผู้ประกอบการจีนรุ่นใหม่ไม่ใช่ประเภทหอบเสื่อผืนหมอนใบไปตายเอาดาบหน้าแบบชาวจีนโพ้นทะเลดั้งเดิม แต่เป็นคนมีการศึกษาสูง” วุฒิฯโดยเฉลี่ยคือปริญญาตรี ใช้แอพพลิเคชั่นมือถือเป็น ค้าขายทางอินเตอร์เนตเป็น “และมีข้อมูลในมือซึ่งส่วนหนึ่งรัฐบาลจีนเป็นผู้สนับสนุน” อาจารย์ยศ จึงสรุปว่า “เราไม่มีทางสู้กับผู้ประกอบการจีนข้ามชาติรุ่นใหม่นี้ได้เลย” เพราะเดิมทีนิสัยคนจีนก็ขึ้นชื่อเรื่องความขยันและมีหัวทางการค้าขายอยู่แล้ว
ยิ่งได้ภาครัฐเป็นกำลังสนับสนุนก็เหมือน “พยัคฆ์ติดปีก” ใครเล่าจะหาญกล้าต่อกร?

ผ่ากลยุทธ์'ค่ายสีน้ำเงิน' ไม่เร้าอารมณ์! เน้นทำได้ทำจริง
ปลัดนนท์ ยื่นใบลาออก ลงสมัครชิง สส.นนทบุรี พรรคภูมิใจไทย ลั่นเปลี่ยนเวลาราชการเป็นเวลาราษฎร
นักวิชาการ มธ. วิเคราะห์กระแสเลือกตั้ง ชี้ผลโพล'คนกรุงเกือบครึ่งยังลังเล' พบได้ไม่บ่อย
ไม่น่าเชื่อ พนง ถึงกับร้องไห้หนักมาก เมื่อเห็นสิ่งที่ลูกค้าทำ ชมคลิป
(คลิป) แพทองธาร หน้าเจื่อน! ตอบคำถามสื่อ ยศชนัน คะแนนดีขึ้น!

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี