เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มีการจัดประชุมวิชาการด้านชายแดนศึกษาและพัฒนาระหว่างประเทศ ครั้งที่ 2 ที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย ซึ่ง ศ.ดร.ยศ สันตสมบัติ อาจารย์ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้กล่าวปาฐกถา “อาเซียนใต้ชะเงื้อมทุนนิยมจีน” ในการประชุมวิชาการด้านชายแดนศึกษาและพัฒนาระหว่างประเทศ ครั้งที่ 2ที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย เล่าเรื่องการแผ่ขยายของทุนจีนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นเรื่องน่าสนใจ จึงขอนำมาเล่าต่อกับท่านผู้อ่านในสัปดาห์นี้
อาจารย์ยศ เล่าว่า 20 ปีมานี้ มองเห็นทุนจีนเข้าไปในลาว เมียนมา กัมพูชา เวียดนาม (CLMV) จำนวนมาก ซึ่งตั้งแต่จีนเปิดประเทศตั้งแต่ปี 2521 เศรษฐกิจก็เติบโตอย่างรวดเร็ว “ปัจจุบันขนาดเศรษฐกิจจีนใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก และหากไม่มีอะไรพลิกผันก็น่าจะแซงสหรัฐอเมริกาขึ้นเป็นอันดับ 1 ในอนาคตอันใกล้” จะเห็นว่าจีนขยายการลงทุนไปทั่วทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แอฟริกา ลาตินอเมริกา แม้แต่ตะวันออกกลางที่ว่ากันว่าไปยากจีนก็ไปได้
“ในเชียงใหม่ สมัยก่อนเราก็นึกว่านักท่องเที่ยวเยอะไปๆ มาๆ นักท่องเที่ยวพวกนี้เราก็เจอหน้าเป็นประจำข้ามปี ถ้าเราไปตามศูนย์การค้าในเชียงใหม่ ผมไม่แน่ใจว่าเชียงรายมีหรือเปล่าเพราะไม่เคยไปศูนย์การค้าที่เชียงราย แต่ที่เชียงใหม่ผมคิดว่ามีคนจีนอาศัยอยู่ไม่ต่ำกว่าแสนคนฉะนั้นจีนคือความเป็นจริงของชีวิตเราในเวลานี้” นักวิชาการด้านสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาผู้สนใจเรื่องจีน ระบุ
อาจารย์ยศ เล่าต่อไปว่า อาเซียนหรือประชาคมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เกิดขึ้นในปี 2510 ซึ่งตรงกับยุค “สงครามเย็น (Cold War)” โลกถูกแบ่งเป็น 2 ขั้ว ระหว่างฝ่ายเสรีนิยมประชาธิปไตยนำโดยสหรัฐฯ และฝ่ายสังคมนิยมคอมมิวนิสต์นำโดยสหภาพโซเวียต (รัสเซีย) และจีน “สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ อันเป็น 5 ชาติผู้ก่อตั้งอาเซียน ล้วนกลัวภัยคอมมิวนิสต์” การเกิดขึ้นของอาเซียนจึงสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ปิดล้อมคอมมิวนิสต์ของสหรัฐฯ ด้วย เห็นได้ว่ามีฐานทัพสหรัฐฯ ในภูมิภาคนี้ ช่วงสงครามเกาหลีและสงครามเวียดนาม
“30 ปีแรกของอาเซียน (2510-2540) อาเซียนเป็นองค์กรที่ต่อต้านจีนอย่างชัดเจน” แต่หลังปี 2540 หลังวิกฤติเศรษฐกิจ สหรัฐฯ และญี่ปุ่นไม่ได้ช่วยอะไรภูมิภาคนี้ ตรงข้ามกับจีนที่มีท่าทีดีขึ้น “จีนสร้างภาพลักษณ์ให้อาเซียนเห็นว่าคอมมิวนิสต์ไม่น่ากลัว..และเรารักกันได้” ความกังวลที่อาเซียนมีต่อจีนจึงลดลง “ปลายทศวรรษ1990s (หลังปี 2540 เป็นต้นมา) จีนเริ่มมีบทบาทเชิงสร้างสรรค์มากขึ้น” ในขณะที่สหรัฐฯ หันไปทำสงครามต่อต้านการก่อการร้าย ไม่ได้สนใจอาเซียนอีก จีนกับอาเซียนจึงเริ่มสนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆ
“หลังการทำสนธิสัญญาการค้าเสรีจีน-อาเซียน มูลค่าการค้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สภาวะการพึ่งพิงจีนก็มากขึ้น”โดยเฉพาะประเทศกลุ่ม CLMV “ในฐานะที่สหรัฐฯ เคยใช้อาเซียนปิดล้อมจีน จีนจึงให้ความสำคัญกับอาเซียนเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ไม่ว่าในทางเศรษฐกิจหรือการทหาร” จีนพยายามสลายการที่อาเซียนมองจีนในแง่ความมั่นคง ด้วยการเข้ามาแบบเน้นเรื่องเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน
อย่างไรก็ตาม อาจารย์ยศย้ำว่า “ทุนนิยมแบบจีนไม่เหมือนทุนนิยมปกติทั่วไป” กล่าวคือ จีนสถาปนารัฐคอมมิวนิสต์ และปัจจุบันก็ยังอ้างเช่นนั้น “ก่อนปี 2521ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าทุนนิยมในจีนแผ่นดินใหญ่ ในขณะที่ชาวจีนโพ้นทะเลได้เข้าไปสร้างระบบทุนนิยมในอาเซียน”ซึ่งก็ยังแตกต่างกันอีก เช่น ทุนจีนในไทยไม่เหมือนกับทุนจีนในมาเลเซีย ลาว เมียนมา ฯลฯ “แต่เมื่อรัฐบาลจีนเริ่มสร้างทุนนิยมขึ้นมา ทุนนิยมนั้นถูกกำกับโดยรัฐ” เป็นทุนรัฐนำ ทุนนิยมอำพราง มีความซับซ้อน
“เอาแค่ในเชียงราย เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าบริษัทนี้ใครเป็นเจ้าของ ไม่มีทางรู้ได้เลยว่ามันเชื่อมโยงกับรัฐอย่างไร ในความเป็นจริงถ้าเราสืบได้ เราอาจจะพบว่าบริษัทนี้ลึกๆ แล้วตั้งโดยรัฐวิสาหกิจจีน แต่ในแง่นี้รัฐก็มีหลายระดับในความสัมพันธ์ของทุนนิยมกับรัฐในจีน มีทั้งรัฐบาลกลาง หน่วยงานของรัฐบาล และรัฐบาลระดับมณฑล ระดับท้องถิ่น แล้วจีนพยายามสนับสนุนให้รัฐบาลระดับมณฑลแข่งขันกันตลอดเวลา และจีนเมื่อแข่งขันภายใต้ระบบทุนนิยม แข่งกันยิ่งกว่าตะวันตก” อาจารย์ยศกล่าวถึงความซับซ้อนของทุนนิยมแบบจีน
สำหรับในภูมิภาคอุษาคเนย์ (อาเซียน) ผู้เล่นหลัก2 ราย ในระดับมณฑล-เมือง ที่รัฐบาลจีนสนับสนุน คือ“คุนหมิง-กวางสี” แข่งกันว่าใครจะครองการลงทุนมากกว่ากัน “ยังไม่ต้องนับภาคเอกชนทั้งจากแผ่นดินใหญ่ฮ่องกง มาเก๊า” ซึ่งก็มีรูปแบบที่แตกต่างกันไป อาจารย์ยศกล่าวว่า “เมื่อทุนจีนเข้ามา สิ่งแรกที่พบคือเจ้าสัวลูกจีนที่กุมบังเหียนทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ” หลังจากนั้นก็อาจมีทั้งการแข่งขัน ประนีประนอม หรือลงทุนร่วมกัน
“ทุนจีนมีลักษณะยืดหยุ่น พร้อมปรับตัวเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็ว” แม้สหรัฐฯ จะทำสงครามการค้า(Trade War) ก็ไม่แน่ว่าจะเอาชนะได้ “จีนเป็นประเทศเดียวในโลกที่ผู้นำทุกระดับไปไหนก็หิ้วกระเป๋าไปด้วย..หมายถึงเอาของไปขาย” และไม่แต่เฉพาะผู้นำ “แม้กระทั่งกรรมกรจีนก็ยังมีความเป็นพ่อค้าในสายเลือด เช่นไปทำงานสร้างถนนในลาว เสร็จงานแล้วก็เปิดร้านขายโทรศัพท์มือถืออยู่ที่นั่น” และรัฐบาลจีนพร้อมช่วยเหลือผู้ประกอบการจีนเสมอ
อาทิ “ชาวจีนอยากเปิดกิจการในเชียงใหม่ ระดมทุนจากญาติพี่น้องแล้วก็ยังไม่พอ ส่วนที่ขาดสามารถขอกู้ในอัตราดอกเบี้ยราคาถูกกับรัฐบาลจีนได้ผ่านสมาคมชาวจีน ซึ่งเป็นเรื่องที่คนภายนอกไม่ค่อยรู้” มีศูนย์ช่วยเหลือชาวจีนเกิดขึ้นในประเทศต่างๆทำหน้าที่ช่วยเหลือชาวจีนที่ต้องการประกอบธุรกิจในประเทศนั้นๆ ซึ่งในทางกลับกัน “คนไทยที่อยากไปทำธุรกิจในต่างแดนจะไม่มีหน่วยงานใดช่วยเหลือขนาดนี้แน่นอน” จึงไม่ต้องแปลกใจที่จะเห็นสินค้าจีน-ทุนจีนไหล่บ่าทะลักเข้ามาเป็นจำนวนมาก
“ผู้ประกอบการจีนรุ่นใหม่ไม่ใช่ประเภทหอบเสื่อผืนหมอนใบไปตายเอาดาบหน้าแบบชาวจีนโพ้นทะเลดั้งเดิม แต่เป็นคนมีการศึกษาสูง” วุฒิฯโดยเฉลี่ยคือปริญญาตรี ใช้แอพพลิเคชั่นมือถือเป็น ค้าขายทางอินเตอร์เนตเป็น “และมีข้อมูลในมือซึ่งส่วนหนึ่งรัฐบาลจีนเป็นผู้สนับสนุน” อาจารย์ยศ จึงสรุปว่า “เราไม่มีทางสู้กับผู้ประกอบการจีนข้ามชาติรุ่นใหม่นี้ได้เลย” เพราะเดิมทีนิสัยคนจีนก็ขึ้นชื่อเรื่องความขยันและมีหัวทางการค้าขายอยู่แล้ว
ยิ่งได้ภาครัฐเป็นกำลังสนับสนุนก็เหมือน “พยัคฆ์ติดปีก” ใครเล่าจะหาญกล้าต่อกร?
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี