ในที่สุดเมื่อวานนี้ สภาก็มีการอภิปราย นายกรัฐมนตรี กรณีนำครม.ถวายสัตย์ฯ ไม่ครบ หลังศาลรัฐธรรมนูญไม่รับวินิจฉัยคำร้องกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม ถวายสัตย์ปฏิญาณตนไม่ครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญ โดยนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนฯ ให้มีการอภิปรายวันเดียวคือเมื่อวานนี้ เพราะจะปิดสมัยประชุมสภาพอดี อย่างไรก็ตาม ขณะที่นักการเมืองในสภากำลังวุ่นวาย ภัยพิบัติจากธรรมชาติก็ยังถล่มหนักทั้งภาคเหนือและโดยเฉพาะอีสาน หนักสุดยังคงเป็นจังหวัดอุบลราชธานี
สำหรับภัยพิบัติจากธรรมชาติ ที่ในตอนนี้ยังมีน้ำท่วมในหลายจังหวัดทางภาคเหนือตอนล่างและภาคอีสาน ทำให้ทุกภาคส่วนต่างก็ลงพื้นที่ช่วยสถานการณ์น้ำท่วมรวมถึงพรรคการเมืองที่อาจต้องเว้นการเมืองมาช่วยประชาชนก่อน โดยทั้งซีกรัฐบาลและซีกฝ่ายค้าน ไม่ว่าจะเป็นพรรคพลังประชารัฐ ประชาธิปัตย์ เพื่อไทย และอนาคตใหม่ ต่างก็ลงพื้นที่เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยกันหมด ซึ่งปัญหาที่รัฐบาลต้องแก้นอกจากการเยียวยาผู้ประสบภัยในสถานการณ์ฉุกเฉินแล้ว อีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่หลายฝ่ายกำลังจับตามองการทำงานของรัฐบาล คือการฟื้นฟูหลังสถานการณ์คลี่คลาย ว่ารัฐบาลจะสามารถดูแลประชาชนโดยเฉพาะเกษตรกร และพื้นที่ที่น้ำท่วมได้อย่างไร เพราะแน่นอนว่าทางภาคอีสานถือเป็นพื้นที่เกษตรที่สำคัญ
ดังนั้นการชดเชยรายได้เกษตรกร และการจัดการกับพืชผลทางการเกษตรที่เสียหายควรทำอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งในตอนนี้ก็พอจะเห็นเค้าลางการแก้ปัญหาที่ดีได้บ้างแล้ว จากการที่รองนายกฯ ด้านเศรษฐกิจอย่างนายสมคิด ที่เร่งกำหนดมาตรการช่วยกลุ่มฐานรากที่มีมากกว่า 10 ล้านคน ในประเทศ เพื่อรองรับความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกที่ส่งผลกระทบเศรษฐกิจภายใน โดยข้อสรุปจะถูกเสนอในที่ประชุมภายในวันเสาร์นี้
อย่างไรก็ดี ท่ามกลางการทำงานจากหลายฝ่าย ทางพรรคอนาคตใหม่ กลับออกมาเหน็บรัฐบาลเรื่องการจัดเลี้ยงของรัฐบาล พร้อมขอให้เป็นห่วงประชาชนเรื่องน้ำท่วมก่อน เรื่องตลกคือทั้งๆ ที่พรรคคอนาคตใหม่เป็นคนออกมาจุดประเด็นเรื่องรัฐธรรมนูญ ซึ่งในประเด็นที่พรรคอนาคตใหม่พูดนั้น หลายฝ่ายก็เป็นห่วงว่าจะมีความสุ่มเสี่ยงในการมองในหลายๆ ประเด็นที่อาจจะควรพูด หรือไม่ควรพูดหรือไม่?
อีกมุมหนึ่ง การเลือกตั้งซ่อมที่จะเกิดขึ้นที่จังหวัดนครปฐม และอาจจะเกิดขึ้นที่กำแพงเพชรด้วยนั้นถือเป็นศึกหยั่งเสียงกระแสประชาชนอีกครั้งในยกแรก ระหว่างฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ที่พรรคร่วมของทั้งสองซีกนั้นต่างหลีกทางให้พี่ใหญ่ในพื้นที่ เป็นผู้ส่งคนสมัครรับเลือกตั้ง เพื่อป้องกันการตัดคะแนนกันเอง ไม่ว่าจะเป็นนครปฐม เขต 5ที่มีกระแสข่าวว่าพรรคเพื่อไทยจะหลีกทางให้พรรคอนาคตใหม่หรือไม่? พร้อมส่งนายไพรัฎฐโชติ จันทรขจร สามีนางจุมพิตาเจ้าของพื้นที่เดิมในนามพรรคอนาคตใหม่ ลงสมัครรับเลือกตั้งส่วนทางกำแพงเพชร เขต 1 ที่จะมีการเลือกตั้งซ่อมขึ้นหาก พ.ต.ท.ไวพจน์ ต้องคำพิพากษาจนถึงที่สุดด้วยโทษหรือไม่? ก็มีกระแสข่าวว่าพรรคเพื่อไทยจะส่งผู้สมัครลงแข่ง โดยเป็นการหลีกทางให้ของพรรคอนาคตใหม่? ซึ่งทางพรรคร่วมฝ่ายรัฐบาลอย่างพรรคภูมิใจไทย ก็ใช้วิธีเดียวกันนี้หลีกทางให้พรรคพลังประชารัฐ ส่งผู้สมัครลงแข่งขันชิงชัยเช่นกัน ซึ่งในจุดนี้ก็ถือเป็นการวัดใจว่ากระแสทางการเมือง ของประชาชนคนในพื้นที่จะเปลี่ยนหรือไม่? ซึ่งผลที่เกิดขึ้น ต้องมองในสองด้านคือ
1.ด้านกระแสทางการเมือง ที่ถ้าหากเปลี่ยนก็ต้องรอดูว่าใครจะได้ ซึ่งถ้าหากอิงจากกระแสเดิม ผลก็คงเป็นพรรคการเมืองเดิมที่เคยได้
2.ผลต่อบัญชีรายชื่อ ที่หากว่าไม่ใช่พรรคเดิม ที่เคยชนะในพื้นที่ได้ แล้วกลายเป็นพรรคอื่นได้แทน ก็ต้องดูว่ามีผลต่อบัญชีรายชื่ออย่างไร ซึ่งก็ต้องจับตาดูกันต่อไปว่าในเกมเก้าอี้ดนตรีนี้ สุดท้ายแล้วใครจะเป็นผู้ที่ลุกออกไป?
สำหรับความเปลี่ยนแปลง หรือการหมุนเวียนทางการเมือง สำหรับฝ่ายครม.ในรัฐบาลประยุทธ์ 2 นั้นก็มีความสุ่มเสี่ยงอยู่แค่คนเดียวคือ ร.อ.ธรรมนัส ที่กำลังถูกโจมตีหลากหลายทิศ ทั้งจากสื่อออสเตรเลียที่วนกลับมาที่ไทย และจากการโจมตีของฝ่ายค้าน ถึงประเด็นยาเสพติด ซึ่งประเด็นดังกล่าวจะถูกพิจารณาอย่างไร ก็คงขึ้นกับนายกฯ เพราะถ้าว่ากันตามจริง จากบทกฎหมายของไทย ตัวของ ร.อ.ธรรมนัส นั้นก็ไม่ผิด เพราะถือว่าไม่เคยถูกลงโทษจากกรณีความผิดตามคำพิพากษาของศาล และไม่เคยถูกลงโทษทางวินัย ด้วยผลของพ.ร.บ.ล้างมลทินฯ ตั้งแต่ปี 2550 ทำให้ ร.อ.ธรรมนัส นับว่าเป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติถูกต้อง ครบถ้วนสำหรับการลงสมัครรับเลือกตั้งและการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี
ซึ่งหลังจากนี้ การตัดสินใจจึงขึ้นอยู่กับนายกฯ ว่าจะพิจารณาอย่างไร แต่ถ้านับถึงตัวบทบาทการบริหารนั้น ก็นับว่ายังไม่มีประเด็นความผิดหรือความเสียหายจากการบริหารงานกระทรวงเลย เพราะรัฐบาลชุดนี้ก็เพิ่งจะเข้ามาบริหาร อีกทั้งประเด็นดังกล่าวล้วนเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องในอดีต ก่อนที่ ร.อ.ธรรมนัส จะเริ่มต้นเล่นการเมืองกับพรรคไทยรักไทย และพรรคเพื่อไทยเสียด้วยซ้ำ ซึ่งด้วยเหตุนี้ จึงเกิดคำถามจากหลายฝ่ายว่า เหตุใด คดีดังกล่าวถึงกลับมาหลอกหลอน ร.อ.ธรรมนัส อีกครั้งในสมัยรัฐบาลประยุทธ์ 2 นี้? และมีนัยทางการเมืองใดแฝงอยู่หรือไม่?
ในขณะที่ความระส่ำอึมครึมของการพรรคร่วมฝ่ายค้านก็ยังดูมีท่าทีว่าจะยังไม่จบง่ายๆ หลังมีหลายประเด็นที่เกี่ยวเนื่องมาตลอดช่วงเดือนที่ผ่านมา รวมถึงล่าสุด เรื่องการเลือกตั้งท้องถิ่นที่เหมือนกับว่าจะลงตัวแล้ว ด้วยการแบ่งผู้สมัครฯ ลงในแต่พื้นที่ เพื่อไม่ให้มีการแข่งขันกัน แต่สุดท้ายแล้วในหลายๆ พื้นที่ก็ไม่สามารถที่จะแบ่งกันได้จริงโดยเฉพาะในพื้นที่ กทม. จนมีข่าวว่านายชัชชาติอาจจะต้องลงเป็นผู้สมัครอิสระ? เพื่อเลี่ยงการแข่งขันและเผชิญหน้าในพื้นที่ กทม. แม้นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ จะประกาศผ่านสื่อว่ายังไม่ได้พูดคุยกับนายชัชชาติในประเด็นดังกล่าว แต่ก็นับว่าเรื่องทั้งหมดทั้งมวลนั้นในอดีตไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพราะในอดีตจะมีเพียงขั้วประชาธิปัตย์และขั้วเพื่อไทยเป็นหลัก โดยเฉพาะในพื้นที่เมืองหลวง แต่ในตอนนี้พรรคประชาธิปัตย์กลับกลายมาเป็นขั้วรัฐบาล ร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ ในขณะที่เพื่อไทยก็รวมเป็นขั้วฝ่ายค้าน ร่วมกับพรรคอนาคตใหม่
ดังนั้นแล้วหากพรรคอนาคตใหม่ส่งผู้สมัครฯ ลงกทม.ด้วยจริง ก็สุ่มเสี่ยงว่าจะกลายเป็นการตัดคะแนนกันเองทั้งสองฝ่ายหรือไม่? ทั้งนี้หากนายชัชชาติลงในนามผู้สมัครอิสระจริงตามกระแสข่าว ก็ต้องหันกลับไปถามพรรคเพื่อไทยอีกว่า จะยังคงส่งผู้สมัครลงอีกหรือไม่? เพราะไม่เช่นนั้นจะยิ่งเป็นการเพิ่มปมขัดแย้งมากขึ้นอีกใช่หรือไม่? และจะยิ่งทำให้สอดคล้องกับกระแสข่าวที่ว่า นายชัชชาติเตรียมตั้งพรรคใหม่ร่วมกับนายกรณ์ สส.บัญชีรายชื่อ จากพรรคประชาธิปัตย์ ที่ทั้งคู่ต่างก็เป็นผู้ผิดหวังจากบทบาทในพรรคการเมืองของตัวเองในช่วงที่ผ่านมา แม้ว่าจะมีการออกมาปฏิเสธจากทั้งคู่แล้วก็ตาม และไม่ว่าจะเป็นการเดินหมากพลาดของพรรคเพื่อไทย ทำให้นายชัชชาติได้เป็นเพียงแคนดิเดตนายกฯ แต่ไม่ได้เข้าสภาฯ และไม่ได้เป็นแม้แต่ สส. บัญชีรายชื่อของพรรค เช่นเดียวกับนายกรณ์ ที่หลังจากแพ้การเลือกตั้งหัวหน้าพรรคคนใหม่ เมื่อเดือนพฤษภาคม ก็ไม่ได้มีตำแหน่งสำคัญใดในพรรคอีก และคนมีความสามารถอย่างนายกรณ์กลับหลุดโควตารัฐมนตรีของพรรคไปอย่างค้านสายตาแฟนๆ ประชาธิปัตย์ ตามด้วยการหลุดจากทีมเศรษฐกิจของพรรค ด้วยเหตุนี้จากสถานการณ์ที่ทั้งสองเผชิญอยู่นี้ ก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำความไม่ชัดเจนในอนาคตกับพรรคการเมืองของตัวเอง ดังนั้นแล้วการขยับตัวในช่วงนี้ของทั้งสองคน จึงเป็นที่จับตามองอย่างยิ่ง
ปิดสมัยประชุมสภา เคาะระฆังหมดยกที่หนึ่งที่ดูเหมือนว่า พล.อ.ประยุทธ์จะสามาถประคองสถานการณ์ไปได้อย่างสบายๆ ในขณะที่ซีกฝ่ายค้านออกหมัดเยอะแต่ดูเหมือนไม่เข้าเป้า คงต้องรอติดตามในสมัยประชุมหน้า ว่าจะเป็นอย่างไร ช่วงนี้ทุกฝ่ายก็ขอให้ไปช่วยประชาชนในพื้นที่จากภัยน้ำท่วมกันอย่างเต็มที่ก่อน
“…ไม่ว่าความมืดยาวนานปานใด จะช้าเร็วแสงสว่างอันเรืองรองต้องกรายมา…”
โกวเล้ง จากเรื่องดาวตก ผีเสื้อ กระบี่
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี