สัปดาห์นี้ “ที่นี่แนวหน้า” ขอทบทวนความเห็นประเด็น “สารเคมีเกษตร 3 ชนิด” อันประกอบด้วย“พาราควอต (Paraquat)-ไกลโฟเซต (Glyphosate)-คลอร์ไพริฟอส (Chlorpyrifos)” หลังจากเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2562 คณะทำงานร่วม 4 ฝ่าย “มีมติ 9 ต่อ 0 ห้ามใช้เด็ดขาด” และจะส่งผลการหารือให้กับ คณะกรรมการวัตถุอันตราย ที่มีอำนาจชี้ขาดอย่างเป็นทางการเพื่อประกอบการตัดสินใจ โดยคาดว่าจะมีการประชุม คกก.วัตถุอันตราย ในเร็วๆ นี้
ประเด็นสารเคมีเกษตรทั้ง 3 ชนิดนี้ เป็นวิวาทะในสังคมไทยมาตลอด 1-2 ปี ล่าสุด ระหว่างฝ่ายที่เห็นว่า “ใช้ได้ภายใต้การควบคุม” นำโดยกลุ่มเกษตรกร นักวิชาการด้านการเกษตรและกลุ่มอุตสาหกรรมต่อเนื่องกับการเกษตร เช่น ในเวทีเสวนา “สารเคมีกำจัดศัตรูพืช...อุปสรรคหรือตัวช่วยไทยแลนด์ 4.0?” เมื่อเดือน ธ.ค. 2560 อาทิ เปรม ณ สงขลา บรรณาธิการวารสารเคหการเกษตร ซึ่งเป็นผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรรมทั้งแบบเกษตรปลอดภัย (GAP) และเกษตรอินทรีย์มาเกือบ 30 ปี เล่าย้อนประวัติศาสตร์ไปไม่ไกลมากเพียงร้อยกว่าปีก่อน
ในครั้งนั้น “ภาวะอดอยาก-ข้าวยากหมากแพง” เคยเป็นปัญหาระดับโลก กระทั่งในช่วงทศวรรษที่ 1960(ปี 2503-2512) นอร์แมน บอร์ล็อก (Norman Borlaug)ชาวอเมริกัน ค้นพบวิธีพัฒนาพันธุ์พืชลูกผสม เช่น ข้าวสาลี ซึ่งให้ผลผลิตที่มากขึ้นกว่าการทำเกษตรในอดีต จนถูกยกย่องในฐานะ “บิดาแห่งการปฏิวัติเขียว (Green Revolution)”
เพราะได้ช่วยให้มนุษยชาติไม่ต้องอดตายอย่างที่ผ่านมา “แต่การเพิ่มผลผลิตให้พอเลี้ยงคนจำนวนมหาศาล..สิ่งแลกเปลี่ยนก็คือการเปิดยุคสมัยของเกษตรเคมี” เริ่มจากปุ๋ยเคมีเป็นอย่างแรก
จรรยา มณีโชติ นายกสมาคมวิทยาการวัชพืชแห่งประเทศไทย และผู้เชี่ยวชาญด้านวัชพืช สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร กล่าวถึงข้อสังเกตกรณีพบสารเคมีตกค้างในภาคเกษตรของไทยอย่างมากว่า มาจากการขาดความรู้ของเกษตรกร เพราะจากประสบการณ์ที่เคยไปเป็นวิทยากร เช่น ไปบรรยายการใช้สารเคมีกับนาข้าวอย่างถูกวิธี ก็ไปเจอคนปลูกชะอมมานั่งฟังด้วย แต่ฟังแบบไม่สนใจ และเมื่อสอบถามก็ทราบว่าถูกส่งมา
เรื่องนี้น่าเสียดายแทนชาวนาที่ควรจะได้มาฟังเพราะสำคัญกับอาชีพของตนเอง รวมถึงร้านค้าต่างๆ ที่แม้เจ้าของร้านจะเคยผ่านการอบรมความรู้เกี่ยวกับสารเคมีเกษตรไปแล้ว แต่เวลาขายจริงจะใช้วิธีจ้างพนักงานซึ่งพนักงานหลายคนไม่เคยผ่านการอบรม นอกจากนี้ยังเปรียบเทียบกับ ญี่ปุ่น ที่แม้ยังใช้สารเคมีทางการเกษตร แต่ปริมาณสารตกค้างน้อยกว่าในไทย เพราะมีมาตรการควบคุมและตรวจสอบการใช้ที่เข้มงวดมาก
รวมถึง ศ.ดร.รังสิต สุวรรณมรรคา ผู้เชี่ยวชาญด้านวัชพืช ที่ปรึกษาสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่กล่าวเมื่อเดือนเม.ย. 2561 ว่า “พาราควอต”มีคุณสมบัติเฉพาะตัวที่ให้ผลดีกว่าสารชนิดอื่นๆ ทั้งในด้านการออกฤทธิ์ 1.เห็นผลในเวลา 2-3 ชั่วโมง หลังฉีดพ่น ออกฤทธิ์เฉพาะส่วนสีเขียวที่ได้รับสารเท่านั้น เช่น หากฉีดโดนใบ ก็จะทำให้ใบไหม้เท่านั้น ไม่ดูดซึมเข้ารากหรือต้นพืช 2.คงทนต่อการชะล้างด้วยน้ำฝน ฉีดได้แม้ว่าฝนกำลังจะตก จึงเหมาะกับพื้นที่ฝนตกชุก เช่นภาคใต้ของไทย
และ 3.เป็นสารเคมีประจุบวก 2 ขั้ว ที่จะยึดกับดินซึ่งเป็นประจุลบอย่างเหนียวแน่น ไม่หลุดออกมาปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม การสกัดพาราควอตจากดินต้องทำในห้องปฏิบัติการ โดยต้มด้วยกรดเข้มข้นนาน 5 ชั่วโมง พร้อมกับย้ำว่ายังไม่มีสารอื่นใช้แทนได้ รวมถึงการใช้เครื่องจักรทดแทน เกษตรกรจะมีสักกี่รายที่สามารถซื้อหามาใช้งานได้ รวมถึงการใช้พืชคลุมดินก็มีต้นทุนสูงเช่นกัน
ส่วนฝ่ายที่มีจุดยืนให้แบนสารเคมีทั้ง 3 ชนิด อาทิ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้ทรงคุณวุฒิประจำคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ย้อนไปเมื่อเดือน พ.ค. 2561 มีการจัดเวทีวิชาการ “ข้อเท็จจริงทางวิชาการในการคุมสารเคมีอันตรายพาราควอต (Paraquat) ไกลโฟเซต(Glyphosate) และคลอร์ไพริฟอส (Chlorpyrifos)” ซึ่งคุณหมอธีระวัฒน์ ได้กล่าวในงานนี้ว่า ใน สหรัฐอเมริกามีรายงานการค้นพบผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน (Parkinson) จำนวนมากในพื้นที่ทำการเกษตร
โดยเริ่มศึกษาตั้งแต่ปี 2517 ด้วยการนำเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ใช้พาราควอตมาตรวจสอบรหัสพันธุกรรม และพบว่าหลายตัวมีความผิดปกติที่เกี่ยวพันพาราควอด รวมถึงสารเคมีอื่นๆ ที่ใช้ในการเกษตร ซึ่ง “พาราควอดสามารถเข้าทางเส้นเลือดที่จมูก ซึ่งเส้นเลือดที่จมูกเชื่อมกับสมองที่หน้าผาก จากที่หายใจละอองฝอยๆ เข้าไปทางปาก เข้าไปทางผิวหนังอ่อนเช่นง่ามขาง่ามก้น หรือบริเวณที่เป็นแผล แม้แต่แผลเล็กๆ ที่ผิวหนัง” นอกจากจะเกิดแผลที่ผิวหนังแล้ว มันยังซึมเข้าเลือดไปทำลายปอด ทำให้ปอดอักเสบ ปอดมีเยื่อพังผืด และเสียชีวิตในที่สุด
เช่นเดียวกับ ศ.ดร.พรพิมล กองทิพย์ อาจารย์ภาควิชาอาชีวอนามัยและความปลอดภัย คณะสาธารณสุขศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึงผลการศึกษา “ครอบครัวเกษตรกร” กับการปนเปื้อนสารเคมีในเลือดพบว่า“หญิงตั้งครรภ์ที่อยู่ในแปลงเกษตรแม้ไม่ได้เป็นผู้ฉีดพ่นเองแต่ก็ได้รับสารเคมีด้วย” เช่น เคยไปขอเก็บตัวอย่างน้ำนม ปรากฏว่า 51 ตัวอย่าง พบคลอร์ไพริฟอส21 ตัวอย่าง
ซึ่งเมื่อเด็กเกิดมารับประทานน้ำนม พบคลอร์ไพริฟอสเกินเอดีไอ (Acceptable Daily Intake : ADI) จำนวนที่บริโภคได้ต่อวัน) ไปร้อยละ 4.8 อีไทออน (Ethion) เกินไปร้อยละ 76.2 ส่วนไกลโฟเซตพบว่าส่งผ่านมารดาไปถึงทารกได้ผลตรวจซีรั่มมารดาพบไกลโฟเซตร้อยละ 54 ในสายสะดือทารกร้อยละ 49 และหากเป็นเกษตรกร การตรวจพบไกลโฟเซตจะสูงกว่าผู้ที่ไม่ได้เป็นเกษตรกรถึงร้อยละ 11.9
ในงานเสวนาดังกล่าว รศ.ดร.พวงรัตน์ ขจิตวิชยานุกูล ผู้อำนวยการสถานวิจัยเพื่อความเป็นเลิศทางวิชาการด้านวิจัยและนวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยนเรศวร ให้ข้อคิดว่า “เกษตรอินทรีย์ที่ประสบความสำเร็จมีมากมายแต่ไม่ค่อยถูกส่งเสริม” และที่หลายคนเห็นว่าเกษตรอินทรีย์ต้นทุนสูง จริงๆ แล้วอาจเป็นเพราะเกษตรกรไทยนิยมใช้สารเคมีเกินกว่าปริมาณที่กำหนดให้ใช้ไปหลายเท่าตัว นอกจากนี้ยังมีเทคนิคอื่นๆ เช่น การคลุมวัชพืข
ปัจจุบันหากนับเฉพาะประเทศพัฒนาแล้ว จะมี 2 แนวทาง คือ “ห้ามเด็ดขาด” เป็นมาตรการในกลุ่มสหภาพยุโรป (EU) เกาหลีใต้ ไต้หวัน กับ “ใช้แบบควบคุม” เป็นแนวทางในสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย ทั้งนี้หากไทยจะเลือกแนวทางห้ามเด็ดขาด ก็จะมีเรื่องที่ต้องว่ากันต่อเช่น “เกษตรอินทรีย์สามารถปลูกในเชิงอุตสาหกรรมหรือเปล่า” เพื่อให้สอดคล้องกับปริมาณความต้องการอาหารของผู้บริโภค “จะกระทบต่อราคาอาหารหรือไม่” เพราะต้นทุนวัตถุดิบจากภาคเกษตรอาจเพิ่มขึ้น..เหล่านี้ต้องคิดเผื่อไว้ด้วยเพื่อบรรเทาปัญหาใหม่ที่อาจเกิดขึ้น!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี