ประเทศสยามตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2489 จนถึงประเทศไทยในวันที่ 13 ตุลาคม 2559 มีพระเจ้าแผ่นดินทรงปกครองประเทศนี้ ทรงมีพระนามว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชจนกระทั่งถึงวันที่ 5 พฤษภาคม 2493 ได้มีพระราชพิธีบรมราชาภิเษกตามแบบโบราณราชประเพณี ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ แล้วเฉลิมพระปรมาภิไธย ตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามมินทราธิราช บรมนาถบพิตร ทรงมีพระปฐมบรมราชโองการว่า เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม
คนไทยขานพระนามพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้ด้วยความรักและเทิดทูนว่า ในหลวง รัชกาลที่ 9 แต่ขานพระนามเพียงสั้นๆ ว่า ในหลวง
ตลอดเวลา 7 ทศวรรษที่ในหลวงทรงราชย์ ทรงอยู่ใกล้ชิดทรงร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพสกนิกรของพระองค์ตลอดเวลา พระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปทุกพื้นที่ของพระราชอาณาจักรไทยเพื่อทรงบำบัดทุกข์ให้พสกนิกร
พระองค์ทรงเป็นศูนย์รวมใจของอาณาประชาราษฎร์ และทรงเป็นหลักชัยของแผ่นดินไทย และทรงเป็นพลังของแผ่นดินไทย และคนไทย ด้วยเหตุนี้ คนไทยจึงยกย่องพระองค์ว่า ทรงเป็นดุจพ่อของแผ่นดินไทย
นับตั้งแต่พระองค์ขึ้นทรงราชย์ตั้งแต่วันแรก พระองค์ทรงอุทิศพระวรกายเพื่อแก้ปัญหาความทุกข์ยากต่างๆ นานาของอาณาประชาราษฎร์ ดังปรากฏชัดจากโครงการพระราชดำริทั้งหมด4 พันกว่าโครงการ (4,741 โครงการ ตั้งแต่ พ.ศ. 2495-2560) แบ่งเป็นโครงการพระราชดำริเกี่ยวกับน้ำ (3,336 โครงการ) สวัสดิการสังคมและการศึกษา (402 โครงการ) ส่งเสริมอาชีพชาวบ้าน (346 โครงการ) โครงการพัฒนาแบบบูรณาการและอื่นๆ(257 โครงการ) สิ่งแวดล้อม (188 โครงการ) พัฒนาการเกษตร (139 โครงการ) คมนาคมและการสื่อสาร (84 โครงการ) และโครงการสาธารณสุข (58 โครงการ)
ทั่วพระราชอาณาจักรไทยมีโครงการพระราชดำริกระจายอยู่ทั่วประเทศ สามารถแบ่งตามภาคได้ดังนี้ ภาคเหนือ 1,838 โครงการ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1,206 โครงการ ภาคใต้ 940 โครงการ ภาคกลาง 879 โครงการ และไม่ระบุภาค 28 โครงการ
ดังจะพบว่าในระยะต้นของการเสด็จขึ้นทรงราชย์ ทรงมีพระราชดำริในด้านการแพทย์ รวมถึงงานสังคมสงเคราะห์เป็นส่วนใหญ่ในอันดับแรก เพราะว่าในช่วงนั้นกิจการด้านการแพทย์และสาธารณสุขของประเทศยังไม่เจริญก้าวหน้า โดยเฉพาะในเขตชนบทที่ห่างไกลและทุรกันดาร ดังจะพบว่าพระราชกรณียกิจในช่วง พ.ศ. 2493-2505เน้นการช่วยเหลือบรรเทาปัญหาเฉพาะหน้า โดยยังไม่มีโครงการพระราชดำริที่เต็มรูปแบบเหมือนเช่นในระยะต่อมา เช่น ในปี 2493ปัญหาใหญ่ของประเทศในช่วงนั้นคือวัณโรค ทำให้ในแต่ละปีคนไทยต้องเสียชีวิตด้วยโรคนี้หลายร้อยคน
ในหลวง รัชกาลที่ 9 มีพระราชปรารภกับหลวงพยุงเวชศาสตร์อธิบดีกรมสาธารณสุข เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2493 ความว่า “คุณหลวงวัณโรค สมัยนี้มียารักษากันได้เด็ดขาดหรือยัง ยาอะไรขาด ถ้าต้องการฉันจะหาให้อีก ฉันอยากเห็นกิจการแพทย์ของเมืองไทยเจริญมากๆ”
ต่อมาปี พ.ศ. 2496 ในหลวง รัชกาลที่ 9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระราชทรัพย์จำนวน 5 แสนบาทเพื่อก่อสร้างอาคาร มหิดลวงศานุสรณ์ ในบริเวณสถานเสาวภา เพื่อใช้ประโยชน์ในกิจการด้านวิทยาศาสตร์ และผลิตวัคซีน บี ซี จี เพื่อป้องกันวัณโรค
เมื่อคราวเกิดอหิวาตกโรคแพร่ระบาดอย่างรุนแรงในประเทศไทยซึ่งโรคนี้ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับน้ำเกลือเป็นจำนวนมาก แต่ทว่าในขณะนั้น ประเทศไทยยังไม่สามารถผลิตน้ำเกลือที่มีคุณภาพทางการแพทย์ได้อย่างมีมาตรฐานสากล น้ำเกลือที่ได้มาตรฐานมีราคาแพงมาก ดังนั้นการให้น้ำเกลือกับผู้ป่วยจึงเป็นเรื่องใหญ่ เพราะต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงมาก สาเหตุสำคัญที่น้ำเกลือแพง เพราะต้องสั่งมาจากต่างประเทศ ส่วนน้ำเกลือที่ผลิตในประเทศไทยในขณะนั้นยังขาดคุณภาพที่ได้มาตรฐานสากล จนมีคำกล่าวกว่า “ใส่ (น้ำเกลือ)ให้ใครไป ก็ช็อก (ตาย)” พระองค์จึงพระราชทานพระราชดำริให้ศึกษาวิจัยเพื่อสนับสนุนการค้นหาวิธีสร้างเครื่องกลั่นน้ำเกลือในประเทศ จนทำให้ประเทศไทยสามารถผลิตน้ำเกลือมีคุณภาพมาตรฐานทัดเทียมกับต่างประเทศ จนเป็นที่ยอมรับในสากลจนถึงปัจจุบัน (อ้างอิงจาก สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.)
นี่เป็นเพียงตัวอย่างโดยสังเขปจากโครงการพระราชดำริของในหลวง รัชกาลที่ 9 ที่ผู้เขียนยกมาเพื่อประกอบบทความ เพื่อให้เห็นตัวอย่างชัดเจน ทั้งนี้ผู้เขียนมั่นใจว่าคุณผู้อ่านส่วนใหญ่น่าจะมีความรู้ในเรื่องโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริของในหลวง รัชกาลที่ 9 เป็นอย่างดีอยู่แล้ว แต่สำหรับผู้อ่านที่ต้องการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริของในหลวง รัชกาลที่ 9 สามารถค้นคว้าได้ตามห้องสมุดประชาชน ห้องสมุดโรงเรียน ห้องสมุดมหาวิทยาลัย และจากเว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.)
คนไทยผู้ไม่ละเลยความเป็นจริงย่อมรู้อย่างชัดเจนว่าในหลวง รัชกาลที่ 9 ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นต่อแผ่นดินไทย และต่อคนไทยอย่างหาที่สุดมิได้ และย่อมรู้ดีเช่นกันว่า ในหลวง รัชกาลที่ 9 ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ไม่เคยอยู่ห่างไกลจากพสกนิกรของพระองค์
ในยามที่บ้านเมืองไทยตกอยู่ในสภาวะของการเผชิญหน้ากันเอาเป็นเอาตาย ระหว่างนักการเมืองสองฝ่าย ยกตัวอย่างเช่นเหตุการณ์ในช่วงพฤษภาทมิฬ ที่บ้านเมืองกำลังตกอยู่ในสภาพระส่ำระสายอย่างหนัก ในหลวง รัชกาลที่ 9 พระราชทานพระราชดำรัส ซึ่งชาวไทยในขณะนั้นเข้าใจตรงกันว่าเป็นเสมือนน้ำทิพย์จากฟากฟ้าที่โปรยลงมาเพื่อดับไฟกลางเมือง
พระราชดำรัสเมื่อวันพุธที่ 20 พฤษภาคม 2534 มีใจความตอนหนึ่งว่า
“ปัญหาของวันนี้ ไม่ใช่ปัญหาของการบัญญัติ หรือแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทุกวันนี้คือความปลอดภัย ขวัญดีของประชาชน ซึ่งเดี๋ยวนี้ประชาชนทั่วไปทุกแห่งทุกหน มีความหวาดระแวงว่าจะเกิดอันตราย มีความหวาดระแวงว่าประเทศชาติจะล่มจม โดยที่จะแก้ไขลำบาก ตามข่าวที่ได้ทราบมาจากต่างประเทศ เพราะเหตุว่าในขณะนี้ ทั้งลูกชาย ทั้งลูกสาวก็อยู่ต่างประเทศ ทั้งสองก็ทราบดีแล้วก็ได้พยายามที่จะแจ้งให้กับคนที่อยู่ในประเทศเหล่านั้นว่า ประเทศไทยนี้ยังแก้ไขสถานการณ์ได้ แต่รู้สึกว่าจะเป็นความคิดที่เป็นความคิดแบบหวังสูงไปหน่อย ถ้าหากว่าเราไม่ทำให้สถานการณ์อย่าง 3 วันที่ผ่านมานี้สิ้นสุดไปได้ ฉะนั้นก็ขอให้โดยเฉพาะสองท่านคือ พลเอกสุจินดา และพลตรีจำลอง ช่วยกันคิด คือหันหน้าเข้าหากัน ไม่ใช่เผชิญหน้ากัน เพราะว่าเป็นประเทศของเรา ไม่ใช่ประเทศของหนึ่งคนสองคน เป็นประเทศของทุกคน เข้าหากัน ไม่เผชิญหน้ากัน แก้ไขปัญหา เพราะปัญหามีอยู่ ที่เวลาเกิดจะใช้คำว่า บ้าเลือด เวลาคนมีการปฏิบัติรุนแรง มันลืมตัว ลงท้ายเขาไม่รู้ว่าตีกันเพราะอะไร แล้วก็จะแก้ปัญหาอะไร เพียงแต่ว่าจะต้องเอาชนะ แล้วก็ใครจะชนะ ไม่มีทางอันตรายทั้งนั้น มีแต่แพ้ คือต่างคนต่างแพ้ ผู้ที่เผชิญหน้าก็แพ้ แล้วที่แพ้ที่สุดก็คือประเทศชาติ ประชาชนจะเป็นประชาชนทั้งประเทศ ไม่ใช่ประชาชนเฉพาะในกรุงเทพมหานคร ถ้าสมมุติว่าเฉพาะในกรุงเทพมหานครเสียหายไป ประเทศก็เสียหายไปทั้งหมด แล้วก็จะมีประโยชน์อะไรที่จะทะนงตัวว่าชนะ เวลาอยู่บนกองซากปรักหักพัง”
นี่คือคำของพ่อแห่งแผ่นดินไทย ที่พระราชทานเพื่อดับไฟกลางเมืองให้มอดดับสิ้นลงไป
วันนี้ถึงแม้พระองค์ท่านเสด็จสวรรคตแล้ว แต่พสกนิกรชาวไทยก็ยังคงจดจำและยังคงระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้ตลอดไปจนกว่าจะหาชีวิตไม่
คนไทยจำนวนมากมายมหาศาลบอกตรงกันเป็นเสียงเดียวกันว่า นับเป็นบุญของชีวิตอย่างเหลือเกินที่ได้เกิดมาอยู่ใต้พระบรมโพธิสมภารแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 และจะขอจดจำพระมหากรุณาธิคุณนี้ไว้ตราบจนชั่วชีวิต
และจะจดจำไปตลอดชีวิตว่า แผ่นดินไทยในยุคหนึ่งสมัยหนึ่งนั้น คนไทยเคยมีพระเจ้าอยู่หัวผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ทรงเป็นพลังของแผ่นดิน ทรงเป็นพระเจ้าอยู่หัวที่ประทับใกล้ชิดระดับเดียวกับพสกนิกรตลอดเวลา และทรงประทับอยู่กลางใจพสกนิกรตลอดไป ตราบชั่วฟ้าดินสลาย พระองค์ทรงมีพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี