การประชุมสุดยอดอาเซียนของอาเซียนโดยตรงและระหว่างอาเซียนกับประเทศอื่นหลายชุดในห้วงเวลาที่ประเทศไทยเป็นประธานอาเซียนและเป็นผู้จัดการประชุมอาเซียนได้เสร็จสิ้นลงแล้ว และจากนี้ไปก็จะเป็นหน้าที่ของประธานอาเซียนใหม่ที่จะดำเนินงานต่อไปตามวาระและตามปกติการหมุนเวียนในการทำงานของอาเซียน
เป็นการเสร็จการประชุมและหมดวาระแบบงงๆ กันทั่วไป เพราะประชาชนส่วนใหญ่แทบจะไม่มีใครรู้ว่าเขาประชุมกันด้วยเรื่องอะไรและได้ผลอะไรขึ้นมา ทั้งๆ ที่กว่าจะเป็นประธานและเป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมอาเซียนแต่ละครั้งนั้นก็ต้องว่างเว้นเป็นเวลานานปี ซึ่งปกติก็ควรที่จะได้เตรียมการและทำการทั้งหลายให้บังเกิดประโยชน์สูงสุดทั้งต่อประเทศเจ้าภาพและต่ออาเซียน รวมทั้งภูมิภาคโดยรวมด้วย
แต่เอาเถิดเมื่อการประชุมและวาระการเป็นประธานอาเซียนหมุนเวียนเปลี่ยนไปสู่ประเทศอื่นแล้วก็เป็นการสมควรที่จะได้ประเมินและสรุปเรื่องนี้สักครั้งหนึ่ง ซึ่งที่เห็นว่าสำคัญจะมีดังต่อไปนี้
ประการแรก ไม่ปรากฏว่ามีการออกแถลงการณ์ร่วมที่ทุกประเทศที่เกี่ยวข้องเห็นพ้องต้องกันและออกเป็นมติเป็นแถลงการณ์ร่วม ซึ่งถึงวันนี้ก็ยังไม่ปรากฏข่าวนี้เลย ดังนั้นในภาพรวมจึงไม่ปรากฏผลสำเร็จที่เป็นมติโดยรวมของอาเซียนหรือมติร่วมกันระหว่างอาเซียนกับประเทศที่เกี่ยวข้อง
เหตุการณ์แบบนี้ก็เคยเกิดขึ้นเมื่อครั้งที่กัมพูชาเป็นประธานและเป็นเจ้าภาพ ซึ่งไม่สามารถหาข้อยุติหรือข้อตกลงร่วมกันได้เลยแม้แต่เรื่องเดียว และหลังจากนั้นเมื่อประเทศลาวเป็นประธานและเป็นเจ้าภาพกลับสามารถประสานจนได้ข้อยุติ สามารถออกมติออกแถลงการณ์ร่วมเป็นผลงานประจักษ์ชัดเจนเป็นเรื่องเป็นราว
ประการที่สอง โดยปกติประเทศทั้งหลายที่เป็นประธานหรือเป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมอาเซียน จะใช้โอกาสและวาระสำคัญนี้ในการประชาสัมพันธ์ ในการสร้างภาพลักษณ์ โดยเฉพาะในการส่งเสริมการค้าและวัฒนธรรม และการพัฒนาครั้งใหญ่
ดังเช่นจีนได้สร้างศูนย์ประชุมขนาดใหญ่ในการประชุมสำคัญที่หางโจว ซึ่งเป็นการโปรโมทการพัฒนาระบบสารสนเทศของจีนครั้งใหญ่ที่สุด ทำให้เมืองหางโจวมีฐานะเท่ากับหรือเหนือกว่าซิลิคอนแวลลีย์ ของสหรัฐ และกลายเป็นแหล่งลงทุนและศูนย์กลางไอทีของโลกไปแล้ว ซึ่งประเทศอื่นๆ เขาก็ทำแบบเดียวกัน
แต่สำหรับประเทศไทยกลับปล่อยให้โอกาสนี้ผ่านพ้นไปอย่างน่าเสียดาย ทำให้โอกาสในการพัฒนาภูมิภาคหรือการส่งเสริมการท่องเที่ยวในภูมิภาครวมทั้งการลงทุนในภูมิภาคหมดไป ทั้งๆ ที่ถ้าหากได้สร้างศูนย์ประชุมนานาชาติขนาดใหญ่ที่ประเทศไทยขาดแคลนขึ้นในต่างจังหวัดให้เป็นศูนย์ประชุมและเป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ของประเทศก็จะสร้างความเจริญให้พื้นที่นั้นให้เป็นผลพลอยได้ตามมา
แต่ที่ไหนได้มาจัดการประชุมกันในกรุงเทพฯ ซึ่งอิ่มตัวเต็มทีแล้ว และผู้ที่ได้รับประโยชน์ในเรื่องสถานที่ประชุมก็ไม่พ้นไปจากกิจการของเจ้าสัวหน้าเดิมๆ เท่านั้น
ประการที่สาม โอกาสและวาระการประชุมนั้นเป็นวาระและโอกาสที่จะประกาศเกียรติภูมิและความยิ่งใหญ่ของประเทศชาติออกสู่ชาวโลก และเป็นโอกาสที่จะได้นำเสนอวิสัยทัศน์หรือแผนงานที่เป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษย์ที่เป็นรูปธรรมให้ประจักษ์ ซึ่งทุกประเทศเขาก็ทำกันทั้งนั้น โดยเฉพาะการทำให้ประชาชนทั้งประเทศได้ตื่นขึ้นเข้าร่วมกิจกรรมนี้ในฐานะที่เป็นเจ้าภาพด้วย
แต่มาครั้งนี้ประเทศไทยก็ได้ทอดทิ้งโอกาสนี้เสียจนหมดสิ้น เพราะมิได้มีการประชาสัมพันธ์หรือสร้างภาพลักษณ์ที่ดีงามต่อสายตาชาวโลกเลย แม้กระทั่งการประชาสัมพันธ์งานอุ่นไอรักก็ดี หรือการพระราชพิธีเสด็จเลียบพระนครทางชลมารคซึ่งหาชมที่ไหนไม่ได้ในโลก ควรจะเป็นโอกาสในการฟื้นการท่องเที่ยวของทั้งประเทศที่ซบเซามานาน โอกาสนั้นก็ผ่านไป
เป็นโอกาสที่จะเสริมสร้างความสามัคคีกลมเกลียวภายในชาติให้ประจักษ์ต่อหน้านานาชาติแต่โอกาสนั้นก็ผ่านไป เพราะมัวแต่ทำ IO หรือปฏิบัติการจิตวิทยาทำลายความสามัคคีกันในบ้านเมืองอย่างเอาเป็นเอาตาย จนใกล้เกิดเป็นกลียุคเต็มทีแล้ว
ประการที่สี่ ที่มีข่าวกระเซ็นกระสายและอ้างว่าเป็นผลจากการประชุมอาเซียนก็คือความตกลงที่จะตั้งศูนย์ทำงานขึ้นในประเทศไทย 7 ศูนย์ ซึ่งแน่นอนว่าจะเป็นภาระของประเทศไทยในการจัดหาสถานที่ให้กับอาเซียน รวมทั้งการเพิ่มค่าใช้จ่ายบริหารจำนวนหนึ่งเพื่อรองรับด้วย ก็ไม่รู้ว่าเป็นผลงานหรือหาเวรกรรมใส่ประเทศกันแน่
ประการที่ห้า ในห้วงเวลาที่ผ่านมาประเทศไทยได้พลาดโอกาสอย่างสำคัญในการนำเสนอแผนปฏิบัติการรูปธรรมสำหรับอาเซียนและประเทศไทย ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ซึ่งถ้าหากเปรียบเทียบกับการปราศรัยของนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ในระยะเวลาเพียง 2 นาที ที่ได้แสดงผลงานอย่างเป็นรูปธรรม มีตัวเลขชี้วัดทุกเรื่อง ก็จะแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาสมาชิกอาเซียนบางประเทศได้ช่วงชิงการนำและช่วงชิงการเสนอความคิดและวิสัยทัศน์ของอาเซียนอย่างคึกคัก โดยเฉพาะมาเลเซีย สิงคโปร์ และกัมพูชา ในขณะที่เรากลับเงียบงัน มีแต่นามธรรมที่เลื่อนลอย จนบางครั้งประชาชนเองก็งุนงงสงสัยว่าอะไรกันแน่
เช่น การย้ำนักย้ำหนาเรื่องประเทศไทย 4.0 เรื่องการร่วมแรงร่วมใจอย่างยั่งยืน หรือการไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังว่าคืออะไรกันแน่ และจะทำกันอย่างไรเมื่อเป็นเพียงนามธรรมก็จะกลายเป็นเรื่องลมๆ แล้งๆ ในขณะที่ความจริงก็คือข้างหลังประเทศไทยนั้นไม่เหลือใครอีกแล้ว เพราะเขาล้ำหน้าไปหมดแล้วไม่ใช่หรือ?
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี