“พรรคอนาคตใหม่” นับเป็นพรรคการเมืองที่“ยึดพื้นที่สื่อ” ได้ตลอดเวลา ทว่าเป็นผลดีหรือผลร้าย นั่นอีกเรื่องหนึ่ง
ในช่วงหลังๆ นี้ พรรคอนาคตใหม่ค่อนข้างซวนเซ จากการออกมา “ซัดกันเอง” ของคนในพรรค ที่บ้างยังยืนหยัดที่จะรัก และบ้างก็เดินแยกทางออกไปแล้ว ถึงความล้นเกินในบางเรื่อง บางท่าที โดยเฉพาะท่าทีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ บางเรื่องไม่เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง หนำซ้ำมีความเป็นเผด็จการภายในพรรคคนไม่ได้เท่ากัน แต่แยกเป็นชนชั้น และบางกลุ่มถูกนิยามว่าเป็น “สนิม”
งานนี้โต้กลับยากมาก เพราะเป็น “คนใน”ที่ “รู้ไส้รู้พุง” กันจริงๆ ซึ่งได้รับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมจากแกนนำและคนใกล้ชิดภายในพรรค
ครั้นคดี “ถือหุ้นสื่อ” ของธนาธรงวดเข้ามา“อีเว้นท์” ต่างๆ ถูกประดิดประดอยขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ในการชี้นำสังคมไปสู่ “วิธีตัดสิน” ในแบบที่พวกเขาอยากให้เป็น
เริ่มต้นจากการที่ “นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ออกมา “แถลงปิดคดี”นอกศาล!!
มีที่ไหน มีประโยชน์อะไร ในการแถลงปิดคดีอย่างฉะฉานนอกศาล แต่ “จำอะไรไม่ได้” ในการสืบพยานในศาล
มีแล้ว มีที่ “ธนาธร” นี่แหละ
ดังนั้น จะมองการแถลงปิดคดีนอกศาลแบบ“ไร้สมอง” ว่า ไม่มี “วาระซ่อนเร้น” นั้น เป็นไปไม่ได้เลย
นี่ถ้าเป็นศาลอื่นๆ ละก็ เรียบร้อยไปแล้ว ทั้งการแจกเอกสารที่เกี่ยวข้องกับคดีก่อนหน้านี้ และการแถลงปิดคดีนอกศาล ก่อนที่จะศาลจะอ่านคำตัดสิน
อาศัยว่าเป็นศาลรัฐธรรมนูญหรอก ถึงได้กล้าทำ กล้ากดดัน กล้าชี้นำล่วงหน้าเช่นนั้น
มีที่ไหนบ้าบอเท่านี้อีก ที่ผู้ถูกกล่าวหา ลุกขึ้นมา“พิพากษาตัวเอง” ว่าแสนจะหมดจด บริสุทธิ์ผุดผ่อง แถมชี้นำว่าศาลต้องตัดสินไปในแนวไหนด้วย จึงจะเรียกว่า “ยุติธรรม” ไม่งั้นจะกลายเป็นเพราะ “ธนาธรถูกจ้องเล่นงานจากผู้มีอำนาจ เพราะเขาต่อสู้กับผู้มีอำนาจ”
ทั้งๆ ที่คดี “ถือหุ้นสื่อ” เป็นแค่เรื่อง“ข้อเท็จจริง” กับเรื่อง “ข้อกฎหมาย” เท่านั้นเองโดยมี “เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ” ในส่วนที่เกี่ยวข้อง เป็นตัว “ชี้ขาด”
พ้นจากอีเว้นท์นั้น ก็เกิดงาน “อยู่ ไม่ เป็น” ขึ้นมาอีก ซึ่งก็เลือกจะสื่อสารเรื่องคดีถือหุ้นสื่อกันอย่างเอิกเกริกอีก มันจับอะไรไม่ได้นอกจากสัญญาณแห่ง “ความลนลาน” แห่ง “ความกลัว” คำตัดสินของศาล ที่แน่นอนว่า ในชั้นแรก ไม่มีโทษจำคุก หรือโทษปรับใดๆ แค่ “พ้นจากความเป็น ส.ส.” ไปก็เท่านั้น
แต่พรรคอนาคตใหม่ “ชิงพื้นที่พิพากษา”ไปก่อนแล้ว ปักธงในหัวคนแล้วว่าพวกเขาไม่ผิด ถ้าผิด ก็เป็นเรื่องของการกระทำของผู้มีอำนาจ
มาชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อมีการปล่อยคลิป“นิติสงคราม” หรือ Lawfare ของนายปิยบุตร แสงกนกกุลเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่
โดยเมื่อวันที่ 18 พ.ย. 2562 ผู้สื่อข่าวรายงานว่ายูทูบของพรรคอนาคตใหม่เผยแพร่วีดีโอที่ รศ.ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ อธิบายถึงกระบวนการ “Lawfare” (ลอว์แฟร์) นิติสงคราม หรือ สงครามทางกฎหมาย ได้สรุปว่าหมายถึง การใช้กฎหมายหรือกระบวนการทางยุติธรรม หรือ ศาล เป็นเครื่องมือในการกำจัดศัตรูทางการเมือง ซึ่งกำลังเป็นเทรนด์หรือแนวโน้มของประเทศทั่วโลกกำลังใช้ในการเมือง
พร้อมระบุด้วยว่า ลอว์แฟร์มีกลไก 2 กลไก คือ กระบวนการทำให้ประเด็นทางการเมืองเป็นคดีไปอยู่ในมือของศาลโดยผ่านการร้องของผู้ร้อง และจากนั้นสื่อนำประเด็นคดีการเมืองที่อยู่ศาลนั้นมาเผยแพร่แบบซ้ำๆ ที่มีการชี้นำ พร้อมยกเคสคดีการเมืองตั้งข้อหา ทรยศชาติแบ่งแยกดินแดน เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของประเทศ เป็นกบฏชุมนุมโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย คอร์รัปชั่น รับเงินผิดประเภท ดูหมิ่นศาล ดูหมิ่นศาสนา ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ และผลลัพธ์ออกมาคือการกำจัดศัตรูทางการเมืองได้โดยไม่ต้องใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ โดยทหารไม่ต้องออกมาหรือไม่ต้องชนะเลือกตั้ง
รศ.ปิยบุตรยังระบุด้วยว่าหากกระบวนการลอว์แฟร์เดินหน้าสำเร็จ ต่อไปนี้ข้อหากล่าวหาคอร์รัปชั่น จะเป็นเครื่องมือกำจัดศัตรูทางการเมือง และสุดท้ายคนที่ดำเนินการลอว์แฟร์ไม่มีใครสนใจผลลัพธ์ที่ว่าจะมีคอร์รัปชั่นหรือประเทศจะเสียดินแดนจริงหรือไม่ แต่ผลที่สนใจคือการตัดสิทธินักการเมือง ให้คนออกไปจากสนามการเมือง ยึดทรัพย์นักการเมืองไม่ได้ผุดได้เกิด ให้ลงสมัครรับเลือกตั้งอีกไม่ได้ คือผลข้างเคียงที่ต้องการมากกว่าการกำจัดการคอร์รัปชั่น
พร้อมอ้างอิงว่าพระสันตะปาปาองค์ปัจจุบันเคยกล่าวไว้ว่าควรหยุดลอว์แฟร์ได้แล้ว เพราะลอว์แฟร์ทำลายระบบกฎหมาย ทำลายความเชื่อถือที่ประชาชนมีต่อศาล ทำลายประชาธิปไตย และไม่สามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองได้ และตรงกันข้ามเมื่อใช้ลอว์แฟร์มากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้ความขัดแย้งทางการเมืองร้าวลึกถูกตอกลิ่มเยอะขึ้น
และระบุว่า ศาลทำหน้าที่ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐหรือ สส.ที่มาจากการเลือกตั้ง ที่ได้สถาปนาความศักดิ์สิทธิ์แก่ศาลฯ ด้วยเห็นว่าเป็นความเชื่อที่ฝังในความคิดกันมาว่าศาลเป็นองค์กรที่มีความเป็นกลางและอิสระ ไม่ฝักใฝ่ทางการเมือง แต่ว่าแม้ศาลฯไม่ได้สังกัดพรรคการเมือง นักการเมือง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้พิพากษาแต่ละคนที่อยู่ในบังลังก์ตัดสินคดีล้วนมีจิตสำนึกที่เป็นตัวของตัวเองที่ต้องมีความคิดความเชื่อส่วนบุคคล และมีอุดมการณ์ตามที่สังกัดอยู่
ซึ่งเห็นว่าทุกประเด็นทางการเมืองไม่จำเป็นต้องจบหรือสิ้นสุดที่องค์กรศาลเสมอไป ด้วยเชื่อว่ากระบวนการทางประชาธิปไตยสามารถขจัดปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองได้ด้วยตัวของมันเอง
นี่ก็ไม่มีอะไรมากเช่นกันครับ เรียงคิวกันมาพร้อมๆ กับช่อ-พรรณิการ์ วานิช ที่มุ่งฟ้องร้องต่อสังคมว่า สื่อที่มีสายสัมพันธ์โดยอ้อมกับมาดามเดียร์ วทันยา วงษ์โอภาสี คือ เครือเนชั่นทั้งหมดนั้น กำลังเอาความเป็นสื่อและตั้งสถาบันทิศทางไทยขึ้นมารองรับด้วยเข้าเล่นงานพรรคอนาคตใหม่
ป๊อก-ปิยบุตร สื่อสารไปในทาง-กระบวนการทางกฎหมายกำลังจะถูกใช้ในรูป “นิติสงคราม”
ช่อ-พรรณิการ์ สื่อสารในทำนองว่า มีคนที่ในทางกฎหมาย ไม่ได้มีหุ้นในสื่อ แต่มีอำนาจในสื่อ และใช้สื่อนั้นอย่างไม่ถูกต้องเป็นธรรม ขณะที่ธนาธรนั้น โอนหุ้นสื่อออกไปแล้ว กลับถูกใช้เรื่องนี้ “กำจัด”
นี่คือการ “เปิดหน้าชก” และ “ชงประเด็น” นำ
นี่คือการ “ทิ้งไพ่” ทั้งหมดที่มี เพื่อชนะในเกมนี้อันหมายถึงการได้อยู่เล่นในเกมอื่นๆ ต่อไปได้ง่ายขึ้น
กระบวนการเหล่านี้ถูกอัดลงมาถี่ๆ จึงไม่ได้มีไว้เพื่ออะไร เพื่อทำให้คนเข้าใจว่า “ธนาธร” กับ“อนาคตใหม่” กำลังถูก “รุม” เพื่อ “กำจัด” ออกไปจากพื้นที่ทางการเมืองเท่านั้นเอง
โดยไม่ยอมพูดให้ผ่าเผยว่า เราจะยอมรับคำตัดสินของศาล เราหยุดสร้างความขัดแย้ง แล้วให้ศาลตัดสินกันเถอะครับ
จะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร ในเมื่อเขาระดมขุนพลออกมาบอกว่า สื่อก็ไม่บริสุทธิ์ ศาลก็ไม่ใช่ที่ยุติที่ดี
แล้วคนพวกนี้ต้องการอะไร ทำเอง ตรวจสอบเอง พิพากษาเอง?
เกมนี้จึงอยู่ที่ “ผู้คนในสังคม” จะมีความเข้มแข็งอย่างไรในการ “รับข้อมูลข่าวสาร”
เพราะสิ่งที่พวกเขาทำอยู่นี้ คือ “สงครามสื่อ”
ขณะที่พวกเขาตำหนิสื่อบางสำนัก พวกเขาก็ใช้สื่ออย่างหนักไม่แพ้กัน มีนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ แม่ของธนาธร ถือหุ้นใน “เครือมติชน” เช่นเดียวกัน และมติชนก็ “อวย” ธนาธร อวยอนาคตใหม่ เหมือนที่เนชั่นอวยพลังประชารัฐ อวยพล.อ.ประยุทธ์ และเล่นงานอนาคตใหม่กับธนาธรอย่างหนักหน่วง
ทุกคนล้วนอยู่ในพื้นที่แห่งความ “เกินงาม”
เพื่อชัยชนะใน “สงครามขั้วข้าง”
คงต้องอาศัยประชาชนเป็น “สติ” และ “ปัญญา”
ซึ่งก็ได้แต่หวังว่า เราจะหวังได้ ประชาชนคงไม่ยึดขั้วข้างหรือความถูกใจมากกว่าความถูกต้องเป็นแน่แท้
ใน “สงครามการเมือง” นี้ เขารบกันด้วย“ความเชื่อของประชาชนครับ”
ใครทำให้ประชาชนเชื่ออย่างตัวเอง เชื่อก่อนเชื่อให้มาก และเชื่อจริงๆ สิ่งนั้นจะกลายเป็นความจริงขึ้นมาทันที
ประชาชนผู้เป็น “นักรบ” จึงควรตระหนักในสิ่งนี้และเรียกร้องความสง่างาม ความพอดี จากทุกๆ คน
หยุดบอกว่าศาลเชื่อไม่ได้ หยุดบอกว่าสื่อเป็นกลาง หยุดบีบบังคับให้คนต้อง “เลือกข้าง” ด้วยการมาสู้กันด้วยข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และกระบวนการยุติธรรมที่อธิบายได้อย่างหมดจดกันเถอะครับ
ผมหวังว่าวันนี้ ศาลจะทำให้บ้านเมือง “ชนะ” ด้วยคำวินิจฉัยที่เมื่อแถลงออกมา วิญญูชนจักเข้าใจได้อย่างปรุโปร่ง ว่าทำไมจึงตัดสินให้ธนาธร ถูกหรือผิด โดยง่ายดาย ไม่มีอะไรที่เขา “ปั่นหัวเอาไว้ล่วงหน้า” ทั้งฝ่ายที่อยากให้ถูก และฝ่ายที่อยากให้ผิด บดบังปัญญาของประชาชนคนไทยได้
หวังที่สุด คือหวังจากประชาชนคนไทย ที่จะไม่เป็น“สงครามตัวแทน” ของสองขั้นการเมือง ที่ลากเอาสื่อในสังกัดมาฟัดกันอย่างตอนนี้ด้วย
ศาลกับประชาชน จึงเป็นคำตอบของวันนี้ครับ!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี