โดยความคิดเห็นส่วนตัวที่บังเอิญในชีวิตการงานที่กระทรวงศึกษาธิการ ได้มีโอกาสสัมผัสภารกิจสำคัญของกระทรวงศึกษาธิการ ในเรื่องการปฏิรูปการศึกษาถึง 2 ครั้ง โดยครั้งแรกช่วงหลังวิกฤติ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 เมื่อขบวนการของนิสิตนักศึกษาระดับอุดมศึกษาได้ยังผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ที่สำคัญคือ การปฏิรูประบบการศึกษา ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการได้มีบทบาทเป็นเจ้าภาพ และมีผลดีหลายประการ ตั้งแต่ พ.ศ. 2520-2521 ที่ปรับระบบการศึกษาเป็นระบบ 6-3-3 (ประถมศึกษา 6 ปี, มัธยมต้น 3 ปี และมัธยมปลาย 3 ปี) และเปลี่ยนแปลงหลักสูตรให้สอดคล้องกับการแก้ไขปัญหาของชีวิต หรือประสบการณ์ของชีวิต ตลอดจนเพิ่มมิติการเรียนการสอนทางวิชาชีพหรือพื้นฐานวิชาชีพให้เกิดทักษะชีวิต ฯลฯ
ส่วนครั้งที่สอง ก็คือ หลังวิกฤติต้มยำกุ้ง เมื่อรัฐบาล ฯพณฯ ท่าน นายชวน หลีกภัย (พ.ศ. 2540 -2544) ได้ดำเนินการ
ปฏิรูปการศึกษา โดยออก พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ยังผลให้จัดการศึกษาภาคบังคับจากประถมศึกษาจนกระทั่งจบมัธยมศึกษาตอนต้น (รวม 9 ปี) และบวกอีก 3 ปี ระดับมัธยมปลาย เรียกว่า การศึกษาพื้นฐาน ซึ่งจัดให้แก่ทุกคนที่ต้องการจะเรียนโดยไม่เก็บเงินค่าเล่าเรียน โดยหวังว่าเยาวชนส่วนใหญ่ในวัยนี้จะเรียนจบมัธยมปลาย ซึ่งจะเป็นบันไดส่งต่อไปยังระดับอุดมศึกษา
ฉะนั้น ในรอบ 10 ปี หรือทศวรรษที่ผ่านมา จำนวนนักศึกษาระดับอุดมศึกษาซึ่งรวมถึง ปวส. จากกรมอาชีวศึกษาด้วย จึงมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเป็นที่น่าพอใจ ขณะที่สถาบันอุดมศึกษาหลายแห่งก็อาจขยายตัวเกินเป้าหมาย จนมีข่าวออกมาในปัจจุบันว่าเริ่มมีห้องเรียนว่าง เพราะตัวป้อนนักศึกษาเริ่มลดลง เพราะอัตราการเกิดของประชากรลดลง
ประเด็นที่จะต้องพิจารณาในขณะนี้ก็คือ มิใช่ปัญหาของปริมาณ แต่เป็นปัญหาของคุณภาพ หากระบบเศรษฐกิจของไทยจะต้องออกจากกับดักของประเทศที่มีรายได้ปานกลาง จึงได้มีการพูดถึงโครงการที่จะต้องให้ความสำคัญ คือ “STEM” (Science, Technology,Engineering, Mathematic) แต่ที่สำคัญคือ บทบาทของมหาวิทยาลัยในการผลิตผลงานการวิจัยทางเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ประยุกต์ ซึ่งการจัดตั้งกระทรวงใหม่ รวมงานอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม น่าจะเป็นนโยบายที่ตอบสนองต่อปัญหาปัจจุบัน เพื่อผลิตผลงานที่จะรองรับภาคอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจ
ผู้เขียนไม่ห่วงมากนักในภารกิจใหม่ดังกล่าว เพราะเชื่อมั่นในความสามารถของนักวิชาการ-นักวิทยาศาสตร์ไทยในเรื่องนี้ แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ ในด้านการเรียนการสอนทางวิชาสังคม โดยเฉพาะการสร้างคนรุ่นใหม่ที่จะต้องเข้าใจทั้งมรดกวัฒนธรรมของไทยที่ดีงาม และวิถีชีวิตใหม่ตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย ที่จะต้องถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ไม่ใช่เกมส์แห่งอำนาจที่จะต้องเอาเป็นเอาตาย มิใช่ Zero-Sum Game(ที่ไม่รู้จักประนีประนอม และต้องชนะกันแบบกินรวบ) ระบอบประชาธิปไตยเป็นวิถีชีวิตของ “ผู้ดี” ของ “สุภาพบุรุษ” ที่เล่นเกมส์ในสภาจบ ก็จบที่ตรงนั้น ไม่นำเหตุแห่งการขัดแย้งในสภาให้เป็นเรื่องหมองใจในชีวิต เกมส์ของการเมืองในสภา จึงเป็นเกมส์ของผู้ดี ของมือสมัครเล่น ในแง่ที่จบเกมส์ก็ใช้ชีวิตต่อไป หากเป็นเพื่อนกัน ก็เป็นเพื่อนต่อไป แพ้ชนะในสภา หรือในการเลือกตั้ง ก็เหมือนแพ้ชนะในเกมส์แข่งขันกีฬา ไว้คราวหน้า เมื่อแข่งกันใหม่ค่อยกลับมาเล่นใหม่ นี่คือลีลาของชีวิตของ “สุภาพบุรุษ” ในสังคมแบบชาวตะวันตก (โดยเฉพาะอังกฤษ) ที่แบ่งแยกกิจกรรมการเมืองออกจากความสัมพันธ์ทางสังคม ซึ่งจะต้องดำเนินไปตามปกติ ฉะนั้น หากสังคมให้คุณค่าแก่การพูดจาที่สุจริต-ซื่อตรง หากนักการเมืองผู้ใดพูดปดกลางสภาหรือในที่สาธารณะ ก็จะกลายเป็นตรงกันข้ามกับความเป็นสุภาพบุรุษ และต้องถูกเนรเทศออกจากการสมาคมทั่วไป “กิจกรรมการเมือง” จึงเป็นเพียงส่วนหนึ่งของชีวิต มิใช่ทั้งหมด
ฉะนั้น ระบบการศึกษา ซึ่งมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดของอังกฤษ ได้แก่ อ๊อกซฟอร์ด และเคมบริดจ์ จึงเป็นผู้นำ มิใช่กระทรวงศึกษาธิการ การจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยต่างๆ ในอังกฤษ จึงมีสองมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ดังกล่าวเป็นผู้ออกข้อสอบ เพื่อวางมาตรฐานให้แก่มหาวิทยาลัยอื่นๆ ทั่วประเทศ และอุดมการณ์ หรือเป้าหมายหลักของการศึกษาของ “ผู้ดีอังกฤษ” สมัยเมื่อผู้เขียนไปศึกษาหลายปีมาแล้ว ก็คือ “Liberal Education” นัยหนึ่ง การศึกษาที่ให้ความสำคัญต่อความเป็นมนุษย์ (วรรณคดี ประวัติศาสตร์ ศิลปะทุกแขนง โบราณคดี รวมถึงวิทยาศาสตร์ และปรัชญา) และในสมัยที่ผู้เขียนศึกษาอยู่ ณ มหาวิทยาลัยดังกล่าว หากเราเกิดสอบไม่ผ่านวิชาเฉพาะที่เป็นวิชา “Major” ของเรา เช่น “ประวัติศาสตร์ยุโรป” แต่ถ้าหากเราสอบผ่านวิชา “General Paper” ซึ่งได้แก่การเขียนเรียงความในเรื่องทั่วๆ ไปที่มหาวิทยาลัยกำหนด ทางมหาวิทยาลัยก็ยังยินยอมประศาสน์ปริญญาตรีให้แก่ผู้นั้น แต่ไม่อาจจะได้ระดับปริญญาเกียรตินิยม ซึ่งจะต้องผ่านทุกวิชาระดับดี ถึงดีมาก
ประเด็นที่อาจจะเถียงกัน ก็คือ ความหมายของ “Liberal Education” คืออย่างไร?
โดยสรุป ก็คือ ความรู้ ความเข้าใจ (และซาบซึ้ง) ในมรดกทางความคิดและศิลปะวรรณกรรมของชนชาติตนเองและของโลก ฉะนั้น วิชาภาษา ทั้งภาษาของตนเองและของต่างประเทศ วรรณกรรม ประวัติศาสตร์ ปรัชญา (การเมือง) วิทยาศาสตร์ ที่มักเรียกว่า “Liberal Education” มหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ในประเทศ เช่น ธรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ และศิลปากร (เท่าที่เคยทราบ) ก็ดูจะออกแบบหลักสูตรในทำนองนี้ มาตรฐานอุดมศึกษาที่ “ทบวง” อุดมศึกษาสมัยก่อน กำหนด ก็จะมีวิชาที่เรียกว่า “พื้นฐาน” ดังกล่าวแต่คงจะหลีกเลี่ยงการสอนวิชาปรัชญา/และปรัชญาการเมือง (ตามที่ผู้เขียนอนุมาน) เพราะค่อนข้างจะเข้าใจยาก หากไม่มีพื้นฐาน และในช่วงประกาศหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลาย ประมาณปี พ.ศ. 2524 ที่กำหนดให้มีวิชาเลือกมากมาย รวมวิชาปรัชญา (หรือความคิด) ทางการเมือง อีกทั้งกำหนดให้อ่านหนังสือนอกเวลามากขึ้น เช่น ประวัติบุคคลสำคัญของโลก ก็คงไม่ได้เกิดมรรคผลดังความตั้งใจ เพราะคงจะขาดครู-อาจารย์ ที่ได้เคยเรียนมาทางวิชาเหล่านี้ และการสอนวิชา “นามธรรม” ที่ยากแก่ความเข้าใจ ก็คงจะเกิดความเบื่อหน่าย ขณะที่ศาสตราจารย์ผู้คงแก่เรียนทางด้านสังคม ก็จะยึดถือเป็นสรณะว่า หากกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ไม่เคยเรียนรู้ประวัติศาสตร์ทางความคิดของมนุษย์ในช่วง 2 พันปีที่แล้ว ก็ถือว่าได้สูญเสียโอกาสที่สำคัญของชีวิต โดยสรุป การไม่สอนประวัติศาสตร์ของยุโรป และการปฏิรูป (หรือวิวัฒนาการ) ของความคิดเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ถือว่าเป็นการพลาดโอกาสที่สำคัญของชีวิต
การเรียนการสอนหลักการและกระบวนการทางการเมือง-การปกครองที่กว้างขวาง ตลอดจนการฝึกอบรมบ่มนิสัยให้เป็นสุภาพบุรุษในสังคมการเมือง และรู้ประวัติศาสตร์ของประเทศตนเองและประเทศอื่นที่มีบทบาทสำคัญต่อประวัติศาสตร์โลก คือเส้นทางหนึ่งที่สังคมไทยจะหาทางออกจากกับดักของประเทศกำลังพัฒนา ที่ต้องเผชิญกับวิกฤติรัฐประหาร และการขัดแย้งไม่ต่างจากสงครามกลางเมือง ซึ่งทำให้สังคม-ธุรกิจ เสียโอกาสของการพัฒนาก้าวหน้าทางเศรษฐกิจให้พ้นจากกับดักของประเทศที่มีรายได้ปานกลาง
จัดการศึกษาให้ถูกต้องให้ตรงจุด จึงเปรียบเสมือนการเยียวยารักษาโรคได้ถูกต้อง และรอดพ้นจากความตายและหายนะ ซึ่งปริ่มจะกลืนกินสังคมไทยได้ทุกเวลานาที
จงอย่าประมาทกับวิกฤติที่กำลังจะถาโถมเข้ามาเป็นอันขาด
ดร.วิชัย ตันศิริ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี