ในบรรดาประเทศที่อ้างว่าปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยไม่ว่าจะเป็นแบบที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่ก็ตาม ต่างก็พยายามรักษากฎเกณฑ์กติกาและจรรยาบรรณของความเป็นผู้แทนของปวงชนและศักดิ์ศรีแห่งสภาที่สังกัดที่จะทำหน้าที่ของตนตามแนวทางที่พรรคต้นสังกัดได้กำหนด
ในประเทศที่มีพรรคการเมืองสองพรรคจะมีความเข้มข้นในเรื่องนี้เป็นพิเศษ จะไม่มีใครหน้าไหนทรยศต่อพรรค ทรยศต่อประชาชน หรือหน้าไหว้หลังหลอก หรือกลิ้งกลอกเป็นลิงหลอกเจ้า
แม้ในประเทศที่มีพรรคการเมืองมากกว่าสองพรรคต่างก็ยังคงดำรงรักษาไว้ซึ่งศักดิ์ศรีเกียรติภูมิของตนเอง ของพรรคที่สังกัด และคำมั่นสัญญาที่พรรคการเมืองนั้นได้ให้ไว้กับประชาชน และจะร่วมกันทำหน้าที่อย่างเป็นเอกภาพ โดยถือว่าการทำหน้าที่เช่นนั้นไม่ว่าจะแพ้หรือชนะในสภาก็เป็นการทำหน้าที่ที่สมบูรณ์ เป็นเกียรติยศและศักดิ์ศรีของผู้ทำหน้าที่นิติบัญญัติตามที่ได้รับฉันทามติไปจากประชาชน
ได้พยายามสำรวจตรวจสอบในประเทศต่างๆ หลายประเทศว่ามีกรณีที่ สส. ทรยศต่อพรรคของตนเอง หักหลังพรรคของตนเอง ทรยศต่อประชาชน ตระบัดสัตย์ที่ให้ไว้กับประชาชน แหกคอกหรือประพฤติตนเป็นงูเห่าบ้างหรือไม่ ก็แทบไม่พบว่ามีประเทศใดที่มี สส. มีพฤติกรรมเลวทรามในลักษณะนี้
เพราะเหตุนั้นการปกครองบ้านเมืองของประเทศเหล่านั้นแม้จะมีขึ้นมีลงบ้าง มีสำเร็จและล้มเหลวบ้าง มีผิดถูกบ้าง แต่ก็ยังคงดำรงรักษาไว้ได้ซึ่งเกียรติยศศักดิ์ศรี ความเป็นผู้เป็นคนในการทำหน้าที่นิติบัญญัติเป็นอย่างดี ดังนั้นการปกครองบ้านเมืองของเขาจึงค่อยๆ ก้าวรุดหน้าไปในวิถีทางแห่งประชาธิปไตย จะต่างกันบ้างก็ความช้าเร็วและความมีประสิทธิภาพมากและน้อยเท่านั้น
จะมีก็ประเทศไทยของเรานี่แหละที่มีเรื่องไม่ดีไม่งามขึ้นในวงงานนิติบัญญัติไม่รู้จักจบสิ้น นั่นคือพฤติกรรมที่ สส.ทรยศหักหลังพรรคที่ตนเองสังกัด ทรยศหักหลังประชาชนที่ไว้วางใจเลือกตนเข้ามาเป็นผู้แทนราษฎรเพราะเหตุที่ได้สมัครในนามของพรรคการเมืองนั้นๆ
พรรคการเมืองที่สังกัดกำหนดแนวทางนโยบายและท่าทีทางการเมืองอย่างหนึ่ง สส.ที่ทรยศซึ่งก็คือทรยศทั้งต่อพรรคและต่อประชาชนบางคน บางคณะ ก็ประพฤติปฏิบัติไปเสียอีกอย่างหนึ่ง เรียกว่ากบฏต่อพรรคหรือโหวตสวนพรรคนั่นเอง
และเมื่อได้กระทำการอันทรยศเช่นนั้นแล้วก็ยังประพฤติตนเป็นคนหน้าด้านหน้าทน ไม่รู้จักละอายต่อบาป บางคนเสนอหน้าให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนหน้าตาเฉยว่าที่ต้องประพฤติตนเป็นคนทรยศต่อพรรคและต่อประชาชนที่เลือกตนมาก็เพราะหวังดีต่อประชาชน
ซึ่งคนทั้งหลายที่ยังมีสติและรู้จักผิดชอบชั่วดีก็ไม่มีวันที่จะเชื่อถือคำคนประเภทนี้ได้ แต่เป็นวิสัยคนไทยที่มักถือมิจฉาคติที่ว่า “พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง” จึงพาลไม่สนใจไยดี และเป็นเหตุให้คนทรยศเหล่านี้กำเริบเสิบสานโดยเข้าใจเอาเองว่าไม่มีใครสนใจไยดี จะก่อกรรมทำเข็ญประพฤติตนชั่วช้าเลวทรามประการใดก็ได้
ความจริงพฤติกรรมเช่นนั้นจะตำหนิติเตียนเฉพาะผู้ทรยศเท่านั้นย่อมไม่ได้ เพราะเสียงตำหนิติเตียนย่อมมีไปถึงผู้ที่เป็นต้นเหตุให้เกิดการทรยศนั้นด้วย แต่ในที่สุดก็หามีใครสำนึกในบาปบุญคุณโทษ แม้กระทั่งหาผู้รู้จักอายสักคนก็ไม่ได้
พฤติกรรมดังว่านี้เกิดขึ้นต่อเนื่องซ้ำแล้วซ้ำเล่าและทำให้การเมืองของประเทศไทยเกิดวิกฤติซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนต้องมีการปฏิวัติรัฐประหารหลายครั้งหลายหน
และในที่สุดก็เรียกขานพฤติกรรมทรยศกบฏพรรคและประชาชนในลักษณะนั้นตรงกันและเข้าใจอย่างเดียวกันทั่วประเทศแล้วว่าพฤติกรรมหรือการกระทำเช่นนั้นเรียกว่า “งูเห่า”
กำเนิดคำเรียกงูเห่านี้คงมีที่มาจากนิทานอีสปเรื่องชาวนากับงูเห่า ที่ชาวนาเห็นงูเห่าหนาวใกล้ตาย และด้วยใจเมตตาก็ช่วยเหลือเอางูเห่ามาซุกไว้ในอก ครั้นงูเห่าฟื้นจากความหนาวก็ฉกกัดชาวนานั้นจนถึงแก่ความตาย ดังนั้น การเปรียบเทียบเป็นงูเห่าจึงหมายถึงการเป็นผู้ทรยศ ผู้เนรคุณ เป็นคนชั่วช้าเลวทราม
และในเรื่องที่กล่าวถึงนี้ก็หมายถึงการเนรคุณและทรยศต่อพรรคการเมืองที่สังกัด และต่อประชาชนที่เลือกตนมา เป็นการทรยศกบฏที่หน้าด้านหน้าทนที่ให้อภัยไม่ได้โดยเด็ดขาด
ดังนั้นใครก็ตามที่ถูกเรียกว่าเป็นงูเห่าจึงเป็นตราบาปติดตัวทั้งตัวเองและญาติมิตรทั้งหลายไปตลอดชีวิต หากจะเดินแหงนหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน ก็ต้องประพฤติตนเสียใหม่คือทำตนเป็นคนหน้าด้านหน้าทนเหมือนกับครกตำข้าว ที่จะทิ่มจะตำเท่าไหร่ก็ไม่รู้สึก
นั่นเป็นเรื่องราวของงูเห่าในทางการเมืองของประเทศไทยที่ถ้าหากว่ายังมีงูเห่าอยู่ตราบใด ตราบนั้นก็อย่าหมายว่าประเทศไทยจะมีประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขได้อย่างสมบูรณ์
จะเป็นได้ก็ประชาธิปไตยแบบงูเห่าที่ทำให้การเมืองของประเทศลุ่มๆ ดอนๆ ดังที่เป็นอยู่
เป็นธรรมดาของสรรพสิ่งที่ต้องมีการพัฒนา หรือปรับปรุง หรือปฏิรูปให้ต้องมีความดีความงามโดยลำดับ ซึ่งแม้แต่สัตว์เดรัจฉานเมื่อผ่านวันเวลานานช้าไปก็มีการปฏิรูปปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้นโดยลำดับ ดังเช่น ลิงก็ยังสามารถสอนให้ทำการงานต่างๆ ได้หลายประการ เป็นต้น
แต่เป็นโชคร้ายของประเทศไทยที่ลัทธิงูเห่าทางการเมืองนอกจากไม่พัฒนาปรับปรุงให้ค่อยๆ กลับกลายเป็นดีขึ้นมาโดยลำดับ กลับทรุดหนักลงกว่าเดิมถึงขั้นกระทำการกันอย่างโจ๋งครึ่ม ดังที่เรียกว่ามีการแจกกล้วย ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ของการเมืองยุคปาฏิหาริย์ทางกฎหมาย
ก็ไม่ต้องกล่าวในรายละเอียดว่ากล้วยคืออะไร และการแจกกล้วยคือการกระทำอย่างไร รวมถึงใครพวกไหนที่เป็นพวกแจกกล้วย แต่ชาวบ้านก็ย่อมรู้กันดีทั่วกันว่ากล้วยที่เอามาแจกกันนั้นไม่ใช่สมบัติส่วนตัวของใคร แต่เป็นของสกปรกที่เกิดจากการกระทำผิดกฎหมายหรือได้มาโดยผิดกฎหมาย พูดกันให้ชัดๆ ก็คือจากการโกงบ้านกินเมือง
ดังนั้นยิ่งแจกกล้วยกันมากเท่าใดก็สะท้อนให้เห็นว่ามีผลประโยชน์จากการโกงบ้านกินเมืองมากน้อยเท่านั้นหรือมากกว่านั้น ซึ่งนี่ก็เป็นเบาะแสอย่างหนึ่งที่กำลังก่อเกิดอันตรายอย่างใหญ่หลวงแก่บ้านเมือง เพราะนั่นเป็นทางนำไปสู่สภาวะที่เรียกว่าไร้ธรรม
ชาติใดไร้ธรรมอำไพ ชาตินั้นบรรลัยแน่นอน ประเทศไทยของเรากำลังก้าวไปสู่ในทิศทางนี้อย่างน่าวิตกกังวลอย่างยิ่ง
พฤติกรรมงูเห่ากินกล้วยหรือแจกกล้วยให้กับงูเห่านั้นเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย และมีโทษจำคุกร้ายแรงด้วย นอกจากนั้นยังมีความรับผิดทางการเมืองอย่างใหญ่หลวงด้วย
เพราะเมื่องูเห่ากินกล้วยแล้วก็จะทรยศกบฏต่อพรรคการเมือง นั่นคือการละเว้นไม่ทำหน้าที่หรือการทำหน้าที่โดยไม่ถูกต้องตามหน้าที่ของสมาชิกพรรคการเมือง ซึ่งสามารถตรวจสอบไต่สวนและดำเนินคดีอาญาได้ด้วย และโทษที่จะต้องรับผิดชอบนั้นก็เป็นโทษจำคุกสถานหนักด้วย
ดังนั้นงูเห่าตัวใดกินกล้วยแล้วฮึกเหิมลำพองเอากล้วยออกมาโชว์ให้ปรากฏต่อสาธารณะหรือแสดงพฤติกรรมว่าได้กินกล้วยมาแล้วมีความอ้วนหมีพีมัน ก็พึงสังวรไว้เถิดว่านั่นคือการยอมรับความจริงอย่างหนึ่งว่าเป็นงูเห่าแล้วกินกล้วย
หากเชื่อมั่นในอภินิหารทางกฎหมายว่าอำนาจจะค้ำจุนให้พ้นจากความผิดได้ก็อาจจะเป็นแค่ระยะชั่วคราว ไม่มีวันที่จะจีรังยั่งยืนไปได้ อาจจะถูกตรวจสอบไต่สวนเข้าสักวันหนึ่งว่าเป็นงูเห่ากินกล้วยซึ่งเป็นการกระทำความผิดทางอาญาร้ายแรงและยังต้องรับผิดทางการเมืองถึงขั้นที่จะใช้สิทธิเลือกตั้งไม่ได้ตลอดชีวิต
และสำหรับคนแจกกล้วยก็ควรจะสำเหนียกไว้เช่นเดียวกันว่าความผิดลักษณะนี้ไม่เพียงแต่เป็นการเอาผิดเฉพาะงูเห่าเท่านั้น แต่คนแจกกล้วยก็มีความรับผิดด้วยเช่นเดียวกัน
ก็ไม่รู้ว่ากฎแห่งกรรมยังทำงานอยู่หรือไม่ ถ้าหากกฎแห่งกรรมเป็นอกาลิโกจริงแท้ตามพระพุทธวจนแล้ว คงจะได้เห็นวิบากแห่งกรรมนั้นสักวันหนึ่ง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี