จากสภาพอากาศในประเทศไทยห้วงที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้ ประชาชนต่างสัมผัสได้ถึงไอเย็น จากอุณหภูมิที่ลดลง ด้วยอากาศแบบนี้ก็เป็นการบ่งบอกว่าเข้าสู่ช่วงสิ้นปีที่เป็นฤดูหนาวอย่างเต็มตัวแล้ว ตรงข้ามกับอุณหภูมิของการทำงานที่สูงขึ้น จากการที่ทุกภาคส่วนต่างเร่งบริหารจัดการงานให้จบภายในสิ้นปีนี้ เพื่อเตรียมพักผ่อนยาวในช่วงต้นปี
ซึ่งก็ไม่ต่างกับภาคการเมืองเอง ที่มีความดุเดือดในเชิงอุปมาให้เห็น ด้วยสถานการณ์สุ่มเสี่ยงในสภาฯที่เกือบจะล่มเป็นรอบที่ 3 และแม้จะผ่านมาได้แต่ก็เล่นเอาเหน็ดเหนื่อยเอาการกับพฤติกรรมของพรรคร่วมฯ ที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ และซีกฝ่ายค้านเองที่ยังไม่แสดงความเป็นเอกภาพให้เห็น ซึ่งเมื่อมองย้อนกลับไปถึงรายละเอียดของการปิดประชุมสภาฯ ก็น่าคิดว่าการเมืองในขณะนี้ส่อแววสลับขั้วการเมืองหรือไม่? ด้วยสถานการณ์ที่ระส่ำจากทั้งสองขั้วการเมือง
หากจะมองว่าเหตุการณ์สภาฯ ล่ม 2 ครั้งติดต่อกัน เป็นการเสียเชิงของฝ่ายพรรคพลังประชารัฐในฐานะแกนนำฝ่ายรัฐบาลก็ดูไม่แปลกใช่หรือไม่? เพราะแม้จะกุมเสียงข้างมากในสภาฯ แต่ไม่สามารถบังคับบัญชาพรรคร่วมรัฐบาลได้อย่างที่หวัง จนสุดท้ายต้องพึ่งมือนายกฯ ประยุทธ์ ที่เปลี่ยนตัวลงสนามในฐานะผู้นำตัวจริงฝ่ายรัฐบาล ลงมือดำเนินกิจกรรมทางการเมืองด้วยตัวเอง ด้วยการนัดรับประทานอาหาร เพื่อสมานมิตรพรรคร่วมฯ
แต่สิ่งที่น่าสนใจคือถ้อยคำให้สัมภาษณ์หลังจากนั้น ที่ทาง พล.อ.ประยุทธ์ ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ดังกล่าวว่า “แม้ไม่พอใจเรื่องนี้อย่างมาก เมื่อเราเป็นพรรคร่วมรัฐบาลกันแล้ว ไม่ใช่อยู่ดีๆ คิดจะทำอะไรก็ทำ ถ้าผมอยู่ไม่ได้พวกคุณก็อยู่ไม่ได้”
ซึ่งทีแรกหลายฝ่ายเข้าใจว่าต้องการสื่อถึงพรรคร่วมรัฐบาลในภาพรวม แต่ทว่าหากมองบทสัมภาษณ์จากผู้ที่มีบทบาทสำคัญทางการเมืองในยุคสมัยนี้อย่าง พล.อ.อนุพงษ์ ที่ได้ให้สัมภาษณ์ว่า“ตอนที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลผมก็ช่วยดูแลบ้านเมือง ทำไมมาตอนนี้พวกผมชวนมาเป็นรัฐบาล แต่ทำไมพรรคประชาธิปัตย์ทำแบบนี้ รู้มั้ยบ้านเมืองขณะนี้เป็นอย่างไร” ก็เข้าใจได้ในทันทีว่าภายใต้เหตุการณ์เรือรั่วภายในรัฐนาวาของ พล.อ.ประยุทธ์นั้น คนในเรือต้องการพุ่งเป้าไปที่พรรคประชาธิปัตย์อย่างไม่ต้องสงสัยใช่หรือไม่?
ซึ่งสุดท้ายนายจุรินทร์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็ได้ออกมารับลูก โดยส่งไม้ต่อให้นายเฉลิมชัยในการจัดการหลังบ้านให้เรียบร้อยในฐานะเลขาธิการของพรรค เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเสียงแตกภายในพรรคขึ้นอีก ซึ่งจากการขยับตัวของนายจุรินทร์ถึงเรื่องดังกล่าว ทำให้หลายฝ่ายมองว่านายจุรินทร์แสดงเจตจำนงค์ชัดเจนว่าจะอยู่ร่วมกับฝ่ายรัฐบาลอย่างแข็งขันใช่หรือไม่?
เหตุจากการที่พรรคประชาธิปัตย์ระส่ำในอารมณ์จากการโหวตสวนมติวิปรัฐบาลในญัตติตั้ง กมธ.มาตรา 44 หากจะมองว่าเป็นเรื่องน่าประหลาดใจก็ไม่แปลก แต่ทั้งนี้หากมองให้ลึกถึงต้นตอแล้ว จะว่าไม่น่าแปลกใจก็ได้เช่นกันใช่หรือไม่? ด้วยที่ผ่านมาการทำงานของรัฐบาลในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์เองก็ขบเหลี่ยมกับฝ่ายรัฐบาลให้เห็นอยู่เนืองๆ ผ่านกระบวนการของกระทรวงต่างๆ ในหลายๆ กรณี
ซึ่งจังหวะการขี่คอกันมาตลอดนี้ ทำให้หลายฝ่ายมองว่าภายในของพรรคประชาธิปัตย์แตกออกเป็น 2 ก๊ก หรืออาจจะถึง 3 ก๊กด้วยหรือไม่? ด้วยก๊กแรกที่เหล่านักวิเคราะห์มองว่ายังพอจะอยู่กับฝ่ายรัฐบาลได้ต่อ ผ่านการประสานงานของนายสุเทพ หรือไม่? แต่ส่วนอีก 2 ก๊กนั้น คงจะเดินทางร่วมกันต่อคงลำบากเพราะก๊กหนึ่งถูกมองว่าเป็นสายของนายจุรินทร์ หัวหน้าพรรคคนปัจจุบัน โดยในฐานะ รมว.พาณิชย์ ซึ่งผลงานทางเศรษฐกิจที่ผ่านมาอาจดูเหมือนก็ยังไม่ค่อยสัมพันธ์กับฝ่ายพรรคแกนนำหรือไม่ จนรองนายกฯ สายเศรษฐกิจเบอร์ 1 อย่างนายสมคิดเคยออกมาให้สัมภาษณ์ทำนองว่าคุมได้เพียงขาเดียวคือกระทรวงการคลังมาแล้ว ส่วนก๊กสุดท้ายคือกลุ่มที่ถูกมองว่าน่าจะสร้างความกังวลแก่รัฐบาลและภายในพรรคเองมากระดับหนึ่ง? ถึงแม้จะมีคะแนนเสียง สส. ในพรรคไม่มากเมื่อเทียบกับก๊กอื่น แต่การเคลื่อนไหวในที่ประชุมพรรคและที่ประชุมสภาฯ แต่ละครั้งก็น่าจับตามาตลอด
นอกจากนี้ต้องอย่าลืมว่าพรรคประชาธิปัตย์ยังมีญัตติด่วนอีกเรื่อง ในประเด็นของการตั้ง กมธ.แก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์ปรากฏชื่อของนายอภิสิทธิ์ที่มีบทบาทในเรื่องดังกล่าวมากที่สุด ฉะนั้นแล้วน่าจับตาว่าต่อไปรูรั่วในเรือรัฐบาลจะส่อแววรั่วต่อไปในระยะยาวหรือไม่?
นอกจากนี้หากมองให้ลึกลงไปกว่าต้นตอของปัญหาจนถึงรากมันแล้ว ก็มีความเคลื่อนไหวหนึ่งที่น่าสนใจนั่นคือ ในญัตติการตั้ง กมธ.พิจารณาผลกระทบจาก ม.44 นั้น ผู้ที่ลงชื่อเป็นเจ้าของญัตตินั้น มีบุคคลอย่าง นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ร่วมลงชื่อด้วย ซึ่งมองเผินๆ คงดูไม่มีอะไร แต่จากความเคลื่อนไหวล่าสุดที่นายพีระพันธุ์ ได้ลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์แล้ว ก็ดูจะทิ้งช่วงไม่นานกับการลาออกของ นพ.วรงค์
ซึ่งทั้ง 2 คนนี้ ล้วนเคยเป็นแคนดิเดตท้าชิงหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เช่นกัน เพียงแต่คนละช่วงสมัย ซึ่งจากความเกี่ยวเนื่องดังกล่าวนี้เอง ทำให้หลายฝ่ายจับตามองว่านายกรณ์ ที่ถือเป็นอดีตผู้ชิงหัวหน้าพรรคอีกท่านหนึ่ง ที่ภายหลังคณะบริหารชุดใหม่ก็ไม่ได้ให้บทบาทในพรรคเช่นกัน จะมีความเคลื่อนไหวใดทางการเมืองในช่วงนี้หรือไม่?
ทว่าจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ความเป็นห่วงที่หลายฝ่ายพุ่งเป้าไปหา กลับไม่ได้ห่วงฝ่ายรัฐบาลหรือพรรคร่วมรัฐบาลอย่างพรรคประชาธิปัตย์ แต่กลับห่วงซีกฝ่ายค้านที่ในการประชุมสภาฯ ครั้งล่าสุด ปรากฏชื่อของ สส. จากทั้งพรรคเพื่อไทย อนาคตใหม่ ประชาชาติ และโดยเฉพาะกับพรรคเศรษฐกิจใหม่ ที่ถือว่าเป็นพรรคที่สะท้อนรูปการณ์ของฝ่ายค้านในขณะนี้ได้หรือไม่? หลังพรรคเศรษฐกิจใหม่เองมีกระแสข่าวเอาใจออกห่างซีกฝ่ายค้านมาโดยตลอด จนถึงล่าสุดก็ยังคุมไม่อยู่ ปล่อยให้ สส. ในพรรค 4 คน เทมติวิปฝ่ายค้านทิ้ง
ซึ่งเรื่องราวดังกล่าวนี้เอง ก็ยิ่งตอกย้ำกับกระแสข่าวลือที่ว่า เริ่มมี สส. บางส่วนจากฝ่ายค้านรอแตะมือสลับขั้วมาอยู่ร่วมรัฐบาล หากในภายภาคหน้าจะเกิดการปรับ ครม. ขึ้นจริง ดังนั้นแล้วสถานการณ์ปัจจุบันที่ดูๆ แล้วเหมือนฝ่ายรัฐบาลจะอ่อนแอ กลับดูจะไม่อ่อนแอจริง เพียงแต่หมอบลงต่ำเพื่อหาจังหวะกระโจนให้ไกลขึ้น เพียงแต่ก้าวต่อไปนั้น เมื่อมองซ้ายมองขวาแล้วอาจจะไม่ได้เดินร่วมกับขั้วพรรคเดิม หรือมีปรับเพิ่มบางส่วนหรือไม่อย่างไร?
“...พุ่มไม้หนามหนา ย่อมไม่เหมาะที่หงส์จะอาศัย...”
กวนอู จากเรื่องสามก๊ก (1994)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี