13 มกราคม 2563 นายเทพไท เสนพงศ์ สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีการจัดกิจกรรมวิ่งไล่ลุง และวิ่งเชียร์ลุง ที่ผ่านมา ว่า น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของปรากฏการณ์ความขัดแย้งเกิดขึ้นในสังคมรอบใหม่ ระหว่างกลุ่มคน 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่ไม่เอากับกลุ่มที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งจะทำให้สถานการณ์ของบ้านเมืองย้อนหลังกลับไปสู่เหตุการณ์ก่อนวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ที่มีความขัดแย้งทางสังคมอย่างรุนแรง ซึ่งขณะนั้นเป็นความขัดแย้งระหว่างระบอบทักษิณกับสังคมไทย
“แต่วันนี้ได้เปลี่ยนคู่ขัดแย้งใหม่ เป็นระหว่างระบอบประยุทธ์กับสังคมคนรุ่นใหม่ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า 5 ปีที่ผ่านมาได้ข้อสรุปที่ชัดเจนว่าการบริหารประเทศภายใต้ คสช.ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ไม่สามารถปลดล็อกความขัดแย้งของสังคมได้ จึงทำให้การรัฐประหารของ คสช. เมื่อปี 2557 เป็นการล้มล้างระบอบประชาธิปไตยที่ไม่คุ้มค่า เป็นการยึดอำนาจที่เสียของอีกครั้งหนึ่ง เพราะไม่สามารถที่จะคลี่คลายสถานการณ์ความขัดแย้งในสังคมไทยตามเป้าหมายของคณะ คสช.ประกาศไว้” นายเทพไท กล่าว
นายเทพไท ระบุว่า วันนี้สถานการณ์การเมืองได้พัฒนามาเป็นการชุมนุมผ่านสังคมโซเชียลมีเดีย และมีการนัดชุมนุมกันแบบครั้งคราว หรือแฟลชม็อบ เพื่อสร้างแรงกดดันทางการเมืองไปเรื่อยๆ จนกว่าสถานการณ์ทางการเมืองจะสุกงอม ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง สำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งของรัฐธรรมนูญที่มีการสืบทอดอำนาจจาก คสช.จะต้องเป็นผู้ถอดสลักความขัดแย้ง และแก้ปัญหาความขัดแย้งด้วยตนเองให้ได้
“วันนี้จุดศูนย์กลางความขัดแย้งทางการเมืองได้เปลี่ยนมาเป็น พล.อ.ประยุทธ์ แต่เพียงผู้เดียว ซึ่งปัญหาทั้งหมดอยู่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะถอดสลักแก้ปัญหาความขัดแย้งของคนในชาติได้อย่างไร เป็นเรื่องที่พล.อ.ประยุทธ์ และบริวาร ต้องไปขบคิด และหาแนวทางแก้ไข หรือถอนตัวออกจากคู่ขัดแย้งให้เร็วที่สุด เพื่อให้สถานการณ์ความขัดแย้งในสังคมคลี่คลายไปสู่สภาวะปกติตามที่ทุกฝ่ายในสังคมปรารถนา” นายเทพไท กล่าว
1) ผมเห็นไม่ตรงกับเทพไทประเด็นแรกคือวิ่งไล่ลุงกับเดินเชียร์ลุงนั้น ไม่ใช่ปรากฏการณ์ความขัดแย้งรอบใหม่ แต่มันคือ “ความขัดแย้งเดิม” ที่“พักร้อน” กันมาระยะหนึ่ง และปะทุขึ้นโดย “คนกลุ่มเดิม”เพิ่มเติมกลุ่มใหม่เล็กๆ น้อยๆ เช่น ในฝ่ายวิ่งไล่ลุง จำนวนไม่น้อยคือคนที่เคยเป็น นปช. มาก่อน ในกลุ่มเดินเชียร์ลุง เกือบ 100% คือคนที่มาชุมนุมกับกลุ่ม กปปส.
คนเหล่านี้ถูก “ปลุก” อย่าง “มีกระบวนการ”เดินเชียร์ลุงถูกปลุกโดยพวก “วิ่งไล่ลุง” พวกวิ่งไล่ลุง ถูกปลุกโดยแกนนำพรรคอนาคตใหม่และผู้สนับสนุน ซึ่งเป็น หัวหอก” เป็น “สัญลักษณ์” ของฝ่ายไม่เอา “ประชาธิปไตยคร่ำครึ” (ในสายตาพวกเขา) อีกฝ่ายคือสัญลักษณ์ของการปกป้อง “ประชาธิปไตยจารีต”
“ลุง” เป็นแค่ “สิ่งสมมุติ” ของ “อะไรบางอย่าง” ที่หยิบขึ้นมา “ไล่และเชียร์”
ความขัดแย้งแบบนี้ จะไม่มีทางลดลง เพราะทั้งสองฝ่ายล้วนต้องการ “แตกหัก” จึงเกิดปรากฏการณ์แบบนี้ “นำร่อง”
2) เห็นด้วยกับคุณเทพไทว่า กระบวนการ “ปลุกเร้า” ในเวลานี้ คือการ “รอวันสุกงอม” ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ “น่ากังวล” มาก หากไม่มีใครถอดสลักได้ โอกาสที่จะเผชิญหน้ากันในวันข้างหน้านั้น ยากเกินกว่าจะจินตนาการไหว
สิ่งที่เป็นทางออกที่ดี สำหรับผู้คนทุกหมู่เหล่า คือ เสียงส่วนอื่นที่ไม่ใช่ 2 ขั้วนี้ จะต้องเข้มแข็งและชัดเจนว่า 2 กลุ่มนี้ เป็นแค่ “ประชาชนส่วนหนึ่ง” เท่านั้น ที่เราจะไม่ “ขัดขวาง” หรือ “ชิงชัง” ความเคลื่อนไหวของพวกคุณ เพราะเป็นเรื่องธรรมดาของสังคมประชาธิปไตย เพียงแต่ทั้ง 2 กลุ่มมีหน้าที่ชี้ “ปัญหา” ให้ชัด ว่าพวกตนมีปัญหากับอะไร และปัญหานั้นๆ จะคลี่คลายหรือมีทางออกอย่างไร มากกว่า “ประชันจำนวน” หรือ “ประกบการชุมนุม” กันไปเรื่อยๆ
3) เคยคิดกันไหมครับ ว่ามี “บางฝ่าย” ได้ประโยชน์จาก “ความขัดแย้ง-แตกแยกของประชาชน” ประชาชนกลายเป็น “ตัวแทนรบ” ในสงครามการเมือง โดยที่ผู้สร้างปัญหาจริงๆ หรือคนที่ต้อง “รบเอง” ตัวจริง ไม่ต้องลงมาในสนามรบนี้ ทำเพียงแค่ “ปั่น” และ “ปั้น” ตัวแทนให้มันบันดาลโทสะให้มากพอ ให้มันฮึกเหิมให้มากพอ ให้มันเดือดดาลและชิงชังให้มากพอ จาก “มนุษย์” มันก็กลาย “เครื่องมือ” หรือ “อาวุ” ในทางการเมืองได้แล้ว
มันเป็นเวลาที่ฝ่ายประชาชนต้อง “ถอน” และ “ถอย” ออกจากความขัดแย้ง แต่ไม่ได้หมายความว่า ความขัดแย้งไม่มี มีครับ! แต่เราจะไม่ “รบกัน” แทน“คู่ขัดแย้งตัวจริง”
4) กรณีที่นายเทพไทกล่าวว่า “วันนี้จุดศูนย์กลางความขัดแย้งทางการเมืองได้เปลี่ยนมาเป็น พล.อ.ประยุทธ์แต่เพียงผู้เดียว ซึ่งปัญหาทั้งหมดอยู่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะถอดสลักแก้ปัญหาความขัดแย้งของคนในชาติได้อย่างไรเป็นเรื่องที่พล.อ.ประยุทธ์ และบริวาร ต้องไปขบคิด และหาแนวทางแก้ไข” นั้น
ความขัดแย้งจริงๆ เริ่มต้นจาก “วิธีการ” ที่ พล.อ.ประยุทธ์ และพวกใช้ ตั้งแต่การเขียนกติกา ชัดเจนว่าเอากติกาที่เขียนกันเองนั้น มา “เอาเปรียบ” มากกว่าจะนำมา “สร้างการแข่งขันที่เป็นธรรม” เพื่อทุเลาความขัดแย้งที่มีอยู่แล้วในสังคม ทหารรุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ของ “ประชาธิปไตย” ที่เป็นอำนาจที่แท้จริงของประชาชนมากขึ้นมากจนบางฝ่ายไม่ยอมให้ขยายตัวต่อไปอีกแล้ว แต่ฝ่ายที่ว่านั้นก็ “บุ่มบ่าม” และ “ไม่ฉลาดพอ” ที่จะรบกับทหารในพื้นที่ทางการเมืองที่ควรจะเป็นเขต “ปลอดทหาร”
แต่ด้วย “ความเกลียด” และ “ความกลัว” ว่าอำนาจทางการเมืองของ “บางพวก” จะกลับมาเป็นใหญ่ และบ้านเมืองอาจวนกลับไปสู่วังวนเดิมๆ ประกอบกับการ “เลือกตั้ง” ที่มี “คลื่นแทรก” อย่างมากมาย ตั้งแต่ป้ายของกองทัพบกขึ้นคำว่า “หนักแผ่นดิน” ตั้งแต่บางพรรคการเมืองนำเอาสมาชิกในพระราชวงศ์มาเสนอชื่อเป็นหัวหน้าพรรค ตั้งแต่ปล่อยภาพ พล.อ.ประยุทธ์นั่งอ่านหนังสือที่เกี่ยวข้องกับในหลวงรัชกาลที่ 9 มาจนถึงโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ และสโลแกนสุดท้ายในพื้นที่ กทม. ที่ว่า“เลือกความสงบ จบที่ลุงตู่” และนัยที่สื่อว่า “ลุงตู่คือคนที่ถูกเลือกแล้ว” ก็ทำให้ “ฝ่ายหนุนลุงตู่” สู้ไม่ถอย
แม้จำนวน สส. หลังนับคะแนนจะน้อยกว่าพรรคเพื่อไทย และด้วยกติกาใหม่ มันอยู่ที่ใครจัดตั้งรัฐบาลได้ โดยไปโหวตกันในสภา ไม่ได้กำหนดว่า พรรคที่ชนะมี สส.มากที่สุด จะได้เป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล
กระบวนการพวกนี้แหละ ที่ทำให้มีทั้งคนที่รับได้และรับไม่ได้ ซึ่งคนเหล่านี้แหละ ที่ถูก “ปลุก” ให้ขึ้นมา“รบแทน” คู่ขัดแย้งที่แท้จริงอยู่ในเวลานี้ ยิ่งพรรคอนาคตใหม่กำลังอยู่ในอาการ “หลอน” ว่าพรรคฉันจะโดนยุบ ก็เลยเพิ่มความถี่และความเข้มข้นของการปลุกระดม กิจกรรมแบบนี้จึงเกิดขึ้นมา
5) พล.อ.ประยุทธ์ ทำอะไรไม่ได้หรอกครับ ให้แกยอมรับว่า แกกับคณะทำกติกามาแบบ “ได้เปรียบ” คนอื่น แกก็คงไม่ยอมรับหรอก บอกให้แกถอนตัวออกไป ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ (ด้วยหลายๆ เหตุผล) สิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ พึงทำ คือ ตั้งคณะทำงานที่มีประสิทธิภาพขึ้นมาแก้ปัญหาของประชาชน โดยเฉพาะปัญหาปากทอง ปัญหาเงินๆ ทองๆ รายได้ การจ้างงาน และราคาพืชผลทางการเกษตร
ต้องรู้นะครับ สังคมไทยไม่ได้ “เคร่ง” กับกติกาอะไรชนิด “ตายเป็นตาย” ถ้าใครมา “หย่อน” หรือ “ละเมิดกติกา” แต่จะดูผลสัมฤทธิ์ จึงมีคำว่า “โกงก็ไม่เป็นไร ถ้าเขาแบ่งให้เรา” หรือ “แมวสีอะไรก็ได้ ขอให้จับหนูได้”
พล.อ.ประยุทธ์จึงควรทำ “ผลสัมฤทธิ์” ด้านการแก้ปัญหาประชาชนให้แข็งแกร่ง ปรับปรุงบุคลิกภาพไม่เป็นส่วนหนึ่งของการ “เพิ่มความขัดแย้ง” เป็นเรื่องหลัก
6) แล้วเทพไท เสนพงศ์ ล่ะ?
บัดนี้มีข่าวว่า บิ๊กๆ ใน คสช.เก่า ที่ชุบตัวผ่านกระบวนการเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาล กำลังไม่พอใจเทพไทที่“ขยันพูด” เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการพูดล่าสุดที่บอกว่า รัฐมนตรีคนใดตอบการอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ไม่เคลียร์ อาจมีการโหวตสวน ส่งผลให้ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) กรณีที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝากให้พรรคประชาธิปัตย์ตักเตือนนายเทพไท เสนพงศ์ สส.นครศรีธรรมราช ว่า เรามีมาตรการอยู่แล้วให้รอดูแล้วกัน ทั้งนี้ได้มีการหารือกับ นายจุรินทร์ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคแล้ว
เทพไทจะอยู่หรือไปในพรรคประชาธิปัตย์ หากอยู่จะอยู่อย่างไร? หากไป จะไปที่ไหน?
ระทึกใจยิ่งกว่า “วิ่งไล่ลุง” หรือ “เดินเชียร์ลุง” เสียอีก
เพราะหัวหน้ากับเลขาฯพรรค ยังรักที่จะได้โอกาสทำงานในฐานะ “พรรคร่วมรัฐบาล” อยู่ และดูเหมือนจะ “รักยิ่งขึ้น” ด้วยซ้ำไป จับตาดูชะตากรรมของ “เทพไท” จากหัวหน้าพรรคผู้ได้รับฉายา “รัฐอิสระ”กันเถอะเรา !!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี