ในความเป็นพรรค “กรณ์ จาติกวณิช” อาจอยู่ในสภาพ“ซูเปอร์สตาร์” คนหนึ่งของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ “คนภายนอก” รับรู้ รู้จัก และนิยมชมชอบ
กรณ์-เป็น “คนทำงาน” ของพรรค มากกว่าเป็น “แกนนำ”เพราะขาดลักษณะ “เจ้าพ่อ-พี่ใหญ่-นายอุปถัมภ์” ในแบบวัฒนธรรมการเมืองแบบไทยๆ
ในการแข่งขันชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรค กรณ์จึง “คิดเอาว่า” ภาพการเป็นคนทำงาน “มืออาชีพ” จะ “ชนะ” ได้ แต่สุดท้ายไม่ใช่ แต่เป็น “การเมืองภายในพรรค” ที่ต่อสู้กันระหว่างสองขั้ว คือขั้ว “คนใน-คนประชาธิปัตย์แท้” กับ“นอมินีคนนอก” ที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลงแนวทางของพรรค
บางคนถึงกับบอกกับผม ซึ่งประกาศเชียร์กรณ์ว่า “ฝีมือพัฒนากันได้ แต่อุดมการณ์ต้องมีเอง” เขาจะเลือกอีกคนที่เขาคิดว่า มี “อุดมการณ์แบบประชาธิปัตย์” ซึ่งก็คือ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ผู้ชนะในการเลือกตั้งคราวนั้น ท่ามกลางความกลัวว่า “พีระพันธ์ุ สาลีรัฐวิภาค” จะชนะ
ในที่สุด หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์หลังการลาออกของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็คือ จุรินทร์ และหลังการประกาศชื่อกรรมการบริหารพรรค คณะทำงานด้านต่างๆ รองหัวหน้าพรรครับผิดชอบภารกิจ ฯลฯ ไม่มีชื่อ “กรณ์ จาติกวณิช” เลย
และจริงหรือไม่ว่า ตั้งแต่เป็นหัวหน้าพรรคมาจุรินทร์ ไม่เคยพูดกับกรณ์เลย จริงหรือไม่ว่า องอาจ คล้ามไพบูลย์ พยายามเป็นผู้ประสานการพูดคุย ระหว่างจุรินทร์กับกรณ์ถึง 4-5 ครั้ง โดยที่ทุกครั้งจุรินทร์นิ่งฟังการเสนอแนะขององอาจ ว่า จุรินทร์ต้องคุยกับกรณ์อย่างเงียบๆ ไม่มีคำพูดใดๆ เลยเพียงแค่ “ฟัง”
คนภายนอกล้วนตีความการ “ลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์” ที่มีผลต่อการพ้นสมาชิกภาพความเป็น สส.ไปด้วยของกรณ์ เกิดจากภาวะ Enough คือ พอแล้ว พอเถอะ พอล่ะนะ
นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย สส.ตรัง โพสต์เฟซบุ๊คว่า“...ผมเคยคุยกับกรณ์หลายครั้งก่อนหน้านี้ เรื่องการเมืองในพรรคฯรู้ว่าในใจของกรณ์ รู้ว่าเขาถูกลดบทบาทและไม่ได้รับโอกาสจากพรรคฯ แต่กรณ์เป็นสุภาพบุรุษมากพอที่จะไม่ยกเรื่องนี้มาเป็นประเด็น
แต่ในการคุยกัน กรณ์เป็นคนที่มองไปข้างหน้า เขามองว่าการเมืองเปลี่ยน พรรคการเมืองต้องเปลี่ยนทั้งวิธีคิดและการทำงานเขาพยายามเสนอแนวคิดหลายอย่างในที่ประชุมพรรค แต่ไม่ได้รับความใส่ใจจากผู้รับผิดชอบซ้ำยังมีเสียงเหน็บแนมจากบางส่วนที่อยู่ใกล้ชิดผู้มีอำนาจ แต่ดูเหมือนกรณ์ จะขำๆ มากกว่า
ในสภาฯ กรณ์มักจะชี้ให้ดูว่า สภาเปลี่ยน จากการอภิปรายแบบเดิม มาเป็นแบบที่ทำงานเชิงลึกเป็นทีมเวิร์ก นำเสนอเป็นระบบ อย่างพรรคอนาคตใหม่ทำเขากังวลว่า พรรคการเมืองที่คิดว่าอยู่ในจุดที่ดีแล้วและไม่ปรับเปลี่ยนอะไร จะล้าหลังและถูกดิสรัปไปในที่สุดกรณ์มีข้อกังวลและแนวคิดที่ก้าวหน้าหลายเรื่อง ที่อยากทำ แต่ไม่มีโอกาสและอาจคิดว่า ถึงเวลาที่ต้องลงมือสร้างเองผมพยายามบอกเขาว่า ทำไมไม่ร่วมมือกัน เปลี่ยนจากภายในล่ะเขาหัวเราะและไม่ตอบ แต่ผมเห็นแววตาที่มุ่งมั่นของกรณ์”
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ตอบสื่อถึงกรณีที่ นายกรณ์ลาออกว่า ยังไม่ทราบเหตุผล และยังไม่ได้พูดคุยกัน ต้องให้นายกรณ์เป็นคนชี้แจงเหตุผล เพราะหากพูดไปก่อนจะไม่ตรงกัน พร้อมยอมรับว่าไม่ได้คุยกับ นายกรณ์ และทราบจากข่าวพร้อมกับคนอื่น ส่วนที่มีการมองว่า นายกรณ์เคยเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ แต่เมื่อตนมาเป็นหัวหน้าพรรคแล้วถูกลดบทบาท และให้นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ มาเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจแทน ยืนยันไม่มีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ และในการทำหน้าที่ สส.นายกรณ์ มีบทบาทในสภาผู้แทนราษฎร เพียงแต่ไม่ได้เป็นกรรมการบริหารพรรค และในการทำงานในทีมเศรษฐกิจไม่ได้มีปัญหา เพียงแต่ช่วงหลังมีคนรุ่นใหม่เข้ามาช่วยเสริมทีมเศรษฐกิจทันสมัย เพราะโลกและภาวะเศรษฐกิจเปลี่ยนไป รวมถึงกลไกรูปแบบต่างๆ ก็เปลี่ยนไป จึงมีความจำเป็นที่ต้องได้คนรุ่นใหม่เข้ามาร่วมทีมในพรรคมากขึ้น ทั้งนี้ ไม่ทราบกระแสข่าวว่ามีสมาชิกคนอื่นๆ ลาออกอีก แต่ยืนยันว่าพรรคประชาธิปัตย์อยู่มากว่า 70 ปี ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านสถานการณ์ที่มีทั้งคนเข้าและออก ทุกยุคทุกสมัย ซึ่งที่ตนพูดไม่ใช่อยากให้มีคนลาออก แต่มองว่าการลาออก และเข้ามาเป็นสมาชิกพรรคก็เป็นเรื่องปกติที่มีทุกสมัย พร้อมยกตัวอย่างเมื่อปีที่ผ่านมา มีคนลาออกจากสมาชิกพรรค 700-800 คน และสมัครเป็นสมาชิกพรรค 14,000 คน
เราเห็น “ความห่างเหิน” ชัดเจนในคำให้สัมภาษณ์ เป็นความรู้สึก “ธรรมดา” มากๆ ที่กรณ์ ลาออก แถมถูกนำไปเทียบกับ“สมาชิกพรรคทั่วๆ ไป” ที่ก็มีทั้งลาออก และสมัครใหม่ฐานะของกรณ์มี “เท่านี้” ในคำให้สัมภาษณ์ของจุรินทร์
มิไยที่สาทิตย์จะตั้งคำถามไว้ในโพสต์เดียวกันว่า“...ปฏิกิริยาต่อการลาออกของคนนอกพรรค กลับแรงกว่าคนในพรรค ในแง่ที่ว่า ตัดสินใจถูกแล้ว ในขณะที่พรรคท่องว่า การเข้าออกของคนเป็นเรื่องปกติ เพราะคนระดับอดีตแกนนำพรรค เคยลงสมัครเป็นหัวหน้าพรรค เคยทำงานให้พรรคด้านสร้างคนรุ่นใหม่ เคยเป็นถึงอดีต รมว.คลังของพรรคลาออกจากพรรค ขณะเป็น สส. มันปกติตรงไหน ก่อนหน้านี้ กรณีของคุณพีระพันธ์ุ หรือ คุณหมอวรงค์ ที่ทั้ง 2 คน เคยทำงานให้พรรคอย่างมากมาตลอด ลาออก ผมว่า มันก็ไม่ปกตินะครับ...”
สาทิตย์ยังบอกด้วยว่า “...ความจริงมีคนที่ลาออกจากพรรคเงียบๆ แต่ไม่เป็นข่าวอีกหลายคนผมว่า มันสะท้อนปัญหาการบริหารภายในพรรคแน่นอนแต่หากคนมีอำนาจยังคิดกันแค่ว่ามันเป็นเรื่องปกติต้องรับรู้ด้วยครับว่า สมาชิกและคนที่สนับสนุนพรรคหลายคน รู้สึกท้อถอย และสั่นคลอนความเชื่อมั่นต่อการลาออกของคนระดับแกนนำพรรค
...เราจะเยียวยาความรู้สึกกันอย่างไร เราจะเดินต่อกันไปอย่างไรแต่เอาเถอะ นั่นคือเรื่องในพรรค ที่ต้องว่ากันต่อไป”
ด้านนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงปัญหาภายในพรรคว่า เป็นเรื่องของผู้บริหารพรรคที่จะไปดูแลปัญหาที่เกิดขึ้น แต่โดยส่วนตัวได้พยายามให้กำลังใจคนในพรรค ขอให้ทุกคนอดทนไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งใดก็ตาม แต่ยอมรับว่าตำแหน่งทางการเมืองที่สำคัญๆมีอยู่จำกัด ทำให้คนเก่งหลายคนไม่มีโอกาสได้เข้าไปทำงาน
“ขอให้ทุกคนอดทน เพราะเป็นเรื่องปกติของพรรคการเมืองที่พรรคใดได้เสียงน้อย สัดส่วนการเข้าไปทำงานก็น้อยไปด้วย ทำให้คนที่มีศักยภาพ ไม่มีโอกาสได้ทำงาน สิ่งที่ตนทำได้ขณะนี้คือ ให้กำลังใจ บางทีเรื่องนี้ก็วัดความอดทนของสมาชิกได้เหมือนกัน” นายชวน กล่าว
แย่ละ... ในสายตานายชวนมองเรื่องนี้เป็นเรื่อง “อดทน” กับ“ตำแหน่ง” มากกว่าการถูก “จงใจลดบทบาท” หรือการไม่ให้เกียรติ อย่างที่คนทั่วไปมอง
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ในฐานะผู้ใหญ่ในพรรคที่ทุกคนให้การยอมรับ ต้องลงไปเคลียร์ใจหรือไม่ นายชวน กล่าวว่า ปกติคนในพรรคจะมาพบอยู่แล้ว ตนทำได้เพียงอธิบายและทำความเข้าใจ
“ส่วนตัวไม่อยากให้ใครออกจากพรรค ใครที่มาปรึกษาก็ห้ามทุกคน แต่ก็ไม่สามารถห้ามได้เพราะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของแต่ละคน บางเรื่องต้องใช้เวลา ใช้ความอดทน แม้กระทั่งในตำแหน่งผู้บริหารก็มีจำกัด หลายคนที่มีความเหมาะสมแต่ไม่มีตำแหน่ง” นายชวน กล่าว
นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์) และกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ กรณีนายกรณ์ จาติกวณิช และ นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดียื่นลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อไปตั้งพรรคการเมืองใหม่ โดยระบุว่า
เห็นคนเป็น สส.แล้วลาออก ก็รู้สึกเสียดายตำแหน่ง คือ #เสียดายตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนะ ทำไมเขาไม่เห็นคุณค่าของการเป็นสส.กันเหรอ #ทรงคุณค่าในสภาเพื่อประชาชนไง อันดับก็ได้กันมาง่ายๆ ต้องการเป็นอะไรมากกว่าการเป็นสส.เหรอ? #งงในงง 555
จากนั้นได้ทวีตอีกครั้ง ระบุ 2 คนที่ลาออกไปเนี่ยได้เป็นสส.อันดับต้นๆ โดยที่ไม่ต้องแข่งขันกับผู้ใดทั้งสิ้น คนอื่นทำงานแทบตาย เลือดตาแทบกระเด็น ลงทุนเองทุกอย่าง อันดับโดนปาดหน้าไปเห็นๆ ไม่ปริปาก ไม่บ่น ไม่ลาออก #งงในงง #คนอื่นเขาไม่ต้องมีความฝันรึไง
และยังทวีตต่ออีก ระบุว่า หัวหน้าพรรคของตนเองทำงานจนบรรลุวัตถุประสงค์การร่วมรัฐบาล ผลักดันนโยบายประกันรายได้จนเกษตรกรรอดกันทั้งปวง เคยทวีตชมหัวหน้าพรรคตนเองไหม ตกลงจะยึดติดตัวบุคคล หรือจะยึดติดสถาบัน #งงในงง
สรุปว่า “ทีมจุรินทร์” (ในที่นี้หมายรวมถึงนายชวน ซึ่งเคลื่อนไหวมาก ในช่วงเลือกหัวหน้าพรรคด้วย จนปะทะคารมผ่านสื่อกับนายพีระพันธุ์อยู่หลายครั้ง และกรณ์ก็ไปพบและลาก่อนยื่นใบลาออกด้วย) มองว่าเป็นเรื่อง “ไม่ได้ตำแหน่ง” จึงลาออก
โดยเฉพาะมัลลิกาที่ถึงกับเปรยๆ ว่า “...อันดับก็ได้กันมาง่ายๆ ต้องการเป็นอะไรมากกว่าการเป็นสส.เหรอ?..”
มัลลิกาคงลืมไปว่า พรรคตัวเองนั้น มีวัฒนธรรมองค์กรอยู่อย่างหนึ่งคือ เอาหัวหน้าพรรค อดีตหัวหน้าพรรค และอดีตรัฐมนตรีไว้ในอันดับต้นๆ ของบัญชีรายชื่อ
เช่นเดียวกับคำที่ว่า “2 คนที่ลาออกไปเนี่ยได้เป็นสส.อันดับต้นๆ โดยที่ไม่ต้องแข่งขันกับผู้ใดทั้งสิ้น คนอื่นทำงานแทบตาย เลือดตาแทบกระเด็น ลงทุนเองทุกอย่าง อันดับโดนปาดหน้าไปเห็นๆ ไม่ปริปาก ไม่บ่น” ก็สะท้อน “ความหยาบ” ในตัวมัลลิกามา
อรรถวิชช์ เป็นผู้สมัคร สส. เขต ซึ่งต้อง“ผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการคัดเลือก” ขณะที่กรณ์ เป็นอดีตรัฐมนตรีของพรรค มีผลงาน สร้างชื่อเสียงให้พรรค และเป็นหัวหน้าทีมนโยบายของพรรคในการแข่งขันรอบที่ผ่านมาไม่ใช่มานั่งเฝ้านอกห้อง-ในห้องประชุม เลี้ยงข้าวปลาอาหาร ไปร่วมเจรจา และกระโดดข้ามมาจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นั่ง “เก้าอี้รัฐมนตรี” เหมือนบางท่าน ซึ่งควรที่มัลลิกาจะบริภาษได้ว่า “ปาดหน้าไปเห็นๆ”
พูดเสียให้ชัดว่า “มัลลิกา” มีคนในพรรคไม่ศรัทธานับถืออยู่มาก หลายครั้งที่กิริยามารยาท คำพูดคำจา ตลอดจนความคิดและการกระทำ นำมาซึ่ง “ความอาย” ที่คนในพรรครู้สึกอยู่บ่อยครั้ง เวลาเห็นมัลลิกาออกสื่อ หรือแสดงกับคนในพรรค
คำถามที่มีสาระที่สุดของมัลลิกาจึงคือ ข้อความที่ว่า “หัวหน้าพรรคของตนเองทำงานจนบรรลุวัตถุประสงค์การร่วมรัฐบาล ผลักดันนโยบายประกันรายได้จนเกษตรกรรอดกันทั้งปวง เคยทวีตชมหัวหน้าพรรคตนเองไหม ตกลงจะยึดติดตัวบุคคล หรือจะยึดติดสถาบัน #งงในงง”
ก็น่าคิดนะครับว่า กรณ์ลาออก สมาชิกพรรคโพสต์ข้อความถึงเขามากมาย มากมายชนิดที่มัลลิกาต้องถามว่า ทำไมไม่โพสต์ถึงหัวหน้าพรรคของตัวเองกันบ้าง
ไม่รู้มัลลิกาได้คำตอบหรือยัง?
คำตอบอาจอยู่ในจุรินทร์และการสร้าง “ความสัมพันธ์” หรือ “เว้นระยะห่าง” กับคนในพรรค ขลุกอยู่แต่ในวง “คนสนิท” ที่อาการหนักทั้งจุฤทธิ์-น้องชาย และ ติ่ง-มัลลิกา ที่ปรึกษาคู่ใจ ลองให้คนในพรรคได้พูดถึงสองท่านนี้ดูสักหน่อยสิครับ ให้เขาได้เล่ากันสักหน่อยไหมครับ ว่าสมาชิกพรรคคนอื่นๆ คนทำงานอื่นๆ เขา “ต้องเจอ” อะไรบ้าง และนั่นคือเหตุผลหนึ่งหรือไม่ ที่เขา “ไม่มีแก่ใจ” จะโพสต์อะไรถึงหัวหน้าพรรคเลย และที่จริงอาจจะดีด้วยซ้ำที่พวกเขาพากันไม่โพสต์ เพราะหากต้องโพสต์ ไม่รู้ข้อความที่โพสต์จะออกมาในแนวไหน
คำตอบส่วนหนึ่ง จึงอยู่ใน “มัลลิกา” ด้วย!!!
นางกาญจนี วัลยะเสวี หรือ “ติ๊งต่าง” หนึ่งในแม่ยกพรรคประชาธิปัตย์ ที่บ่อยครั้งคนในพรรคก็ “ขนลุก”กับเธอ คราวนี้มาแบบ “พอดีๆ” เสนอความเห็นว่า “...วันนี้กรรมการบริหารพรรคควรต้องเรียกประชุมพรรคด่วน ต้องหาทางแก้ไขปัญหา รักษาบุคลากรของพรรคไว้ หาสาเหตุให้ได้ว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้คนในพรรคทิ้งพรรคไป -- ประชาธิปัตย์คือพรรคการเมืองที่มีความเป็นพรรคการเมืองที่สุด รีบแก้ไขดีกว่าปล่อยให้บางคนในพรรคออกมาพูดออกสื่อซ้ำเติมคนที่ลาออกไป...” พร้อมแฮชแท็กที่ “ทิ่ม” เข้าไปยังคนที่คุณก็รู้ว่าใคร 555 ว่า...
#สส.ก็ไม่ใช่ แต่ออกมาด่าอดีตสส.คุณภาพ..วาจาที่ใช้ยิ่งกว่าแม่ค้าในตลาด เอาคนอย่างนี้มาทำให้พรรคตกต่ำทำไม - ต้นสังกัดรับผิดชอบด่วน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี