หลังจากถกเถียงกันมานานว่าเศรษฐกิจไทยเฟื่องหรือฟุบ แต่ในที่สุดความจริงก็ประจักษ์ชัดเจนและมีการยอมรับกันแล้วว่าเศรษฐกิจไทยฟุบ แต่ได้ระบุสาเหตุสามประการคือ สงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐค่าเงินบาทแข็ง และการส่งออกทรุด
ดังนั้นเมื่อยอมรับว่าป่วยก็จะเป็นการเริ่มต้นของการหาสาเหตุของการป่วย และการรักษาความป่วยเจ็บฉันใด หนทางการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศไทยก็ย่อมเป็นฉันนั้น
ที่สำคัญก็ต้องกล่าวด้วยว่าการเห็นว่าสมมุติฐานสามประการที่เป็นเหตุเศรษฐกิจไทยฟุบดังกล่าวนั้น น่าจะไม่ตรงกับสมมุติฐานของโรคที่แท้จริง เพราะหลายเรื่องเกิดขึ้นมานานแล้ว และมีผู้ติงเตือนมาไม่ต่ำกว่า 4 ปีแล้ว แต่หามีใครเชื่อฟังไม่ คงดึงดันว่าการพัฒนาเศรษฐกิจไทยนั้นต้องมุ่งใช้นโยบายประชานิยม ลด แลก แจก แถมกันอุตลุด ตามมาด้วยการเอื้อประโยชน์ให้แก่เจ้าสัวและทุนใหญ่ รวมทั้งการขับเคลื่อนประเทศไทย 4.0 และ EEC
ถ้าหากนโยบายประชานิยมแบบให้ทานและการเอื้อประโยชน์ให้กับเจ้าสัวหรือทุนใหญ่มีผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศชาติ ก็เป็นที่แน่นอนว่าประชากรอินเดียนับพันล้านคนร่ำรวยกันทั้งประเทศมาช้านานแล้ว เพราะทำกันมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว
ส่วนค่าเงินบาทแข็งนั้น ก็เคยเป็นต้นเหตุวิกฤติต้มยำกุ้งให้เห็นมาแล้ว ดังนั้นนักการเงินการคลังและนักวิชาการทั้งหลายจึงได้ท้วงติงมาช้านาน โดยเฉพาะจำนวนเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่ไม่ได้ตั้งอยู่กับรากฐานความเป็นจริงของความเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่เกิดจากการลงทุนระยะสั้นหรือการเก็งกำไร
ส่วนสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนนั้นเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อปีเศษมานี้ ในขณะที่มีการแนะนำกันมาโดยลำดับให้ทำตามที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยกำหนดนโยบายไว้ตั้งแต่ยึดอำนาจใหม่ๆ ที่ว่าต้องรักษาตลาดเก่าไว้ให้มั่นคง และเร่งขยายตลาดใหม่ให้มากที่สุด แต่กลับรัดวงแคบยิ่งกว่าเดิม มุ่งแต่เอาใจญี่ปุ่นและกลุ่มประเทศนาโตไม่กี่ประเทศ ในขณะที่ทอดทิ้งตลาดทั่วโลกที่กว้างใหญ่ไพศาลและมีประชากรผู้บริโภคกว่าค่อนโลก
สำหรับนโยบายประเทศไทย 4.0 นั้น ไม่ได้เป็นสิ่งใหม่ แต่เป็นสิ่งที่กำลังตกยุค เพราะ 4.0 นั้นเป็นพัฒนาการที่ต่อเนื่องมาจากยุคไฟฟ้าและดิจิทัล ในขณะที่ปัจจุบันก้าวไปถึงยุค 5G 6G กันแล้ว ดังนั้นแม้จะชักชวนใครก็ไม่มีใครตอบรับแม้แต่พยักหน้า ก็เพราะเขารู้ว่าเขาก้าวไปไกลหมดแล้ว
ดังนั้นสมมุติฐานอาการป่วยของเศรษฐกิจไทยจึงไม่ใช่เป็นดังที่กล่าว ดังนั้นเมื่อมุ่งมั่นจะฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ จึงต้องกำหนดแนวทางนโยบายและเข็มมุ่งให้ชัดเจนและต้องทำให้จริงจัง ซึ่งถ้าหากทำได้แค่ 5 เรื่องที่ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เคยประกาศกำหนดมาตั้งแต่ยึดอำนาจใหม่ๆ แล้ว คือ
ประการแรก ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการตั้งสัมมาทิฐิในการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย ได้แก่วิเทโศบายที่เป็นตัวของตัวเอง ไม่ยอมอยู่ใต้อาณัติของใคร นั่นคือประเทศไทยจะไม่เป็นศัตรูกับใคร เราจะคบหาเป็นมิตรกับทุกประเทศทั่วโลก แต่เราก็จะไม่ยอมค้อมหัวให้ใครบังคับข่มเหงด้วย แค่ทำเรื่องนี้ให้สำเร็จก็จะบุกเบิกตลาดใหม่ที่มีประชากรค่อนโลกได้ และจะไม่อยู่ใต้อาณัติหรือการบังคับข่มเหงของชาติใดอีกต่อไป
ประการที่สอง การจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ9 เขต ที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เคยมอบหมายให้พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นประธาน และพลเอกศิริชัย ดิษฐกุล เป็นเลขาธิการ ซึ่งได้ทำการประชุมต่อเนื่องมาร่วม 30 ครั้ง ก่อเกิดเป็นความหวังใหญ่หลวงแก่ทุกภูมิภาคและทุกพื้นที่ของประเทศไทย เพราะเป็นการพัฒนาประเทศไทยในมิติใหม่ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ที่จะสามารถระดมการลงทุนเข้าประเทศได้ถึง 3 ล้านล้านบาท และจะก่อให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนและการท่องเที่ยวในขอบเขตทั่วประเทศ
แต่น่าเสียดายโครงการอันยิ่งใหญ่และมีฐานะทางประวัติศาสตร์ของการพัฒนาประเทศกลับถูกทอดทิ้งไปอย่างไม่ไยดีจนบัดนี้ ในขณะที่เวียดนาม ลาว กัมพูชา และพม่า ซึ่งมีความคิดตามหลังเขาทำกันก้าวหน้าไปไกลในชั่วระยะเวลาแค่ 5 ปีเท่านั้น
ประการที่สาม การเชื่อมต่อประเทศไทยเข้ากับเส้นทางสายไหม ตามที่พลเอกประยุทธ์จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้พลเอกประวิตรวงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ไปทำความตกลงกับประเทศจีน โดยขอให้ประเทศจีน ช่วยเหลือในยามยาก คือช่วยซื้อข้าวเน่าที่ล้นเต็มประเทศ 1 ล้านตัน ข้าวฤดูกาลใหม่ 1 ล้านตัน และยางอีก 2 แสนตัน ซึ่งจะเป็นการเชื่อมต่อประเทศไทยเข้ากับเส้นทางสายไหมด้วยรถไฟความเร็วสูง ที่เชื่อมจากทั่วโลกมาที่คุนหมิง สู่นครหลวงเวียงจันทน์ ของประเทศลาว เข้ามาสู่จังหวัดหนองคาย อุดรธานี ขอนแก่น และกรุงเทพมหานคร โดยมีทางแยกเชื่อมจากสระบุรีไปยังแหลมฉบัง และมาบตาพุด และมีโครงการต่อไปที่จะเชื่อมจากกรุงเทพฯ ลงไปสู่ชายแดนภาคใต้ เชื่อมต่อไปถึงมาเลเซีย สิงคโปร์ บรูไน เพื่อเชื่อมโยงกับอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ ซึ่งมีประชากรถึง 500 ล้านคน
และเชื่อมต่อทางลุ่มแม่น้ำโขง เปิดเส้นทางท่องเที่ยว 6 ประเทศ และเปิดเส้นทางการค้าระหว่างประเทศกับจีน พม่า ลาว กัมพูชา เวียดนาม ตามที่ได้ลงนามไว้ในปฏิญญาซันย่า
แต่ถึงวันนี้การเชื่อมต่อดังกล่าวนี้ก็บูดเบี้ยวไม่ได้ไปถึงไหน แค่เฟสแรกระยะทาง 3.5 กิโลเมตร ที่เริ่มต้นกลางดงกลางป่าก็เป็นที่เยาะหยันกันทั่วโลก ทั้งๆ ที่ได้มีการทำแผนงานอย่างสมบูรณ์แล้วตั้งแต่เมื่อครั้งพลอากาศเอกประจิน จั่นตอง เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
ประการที่สี่ การปลดแอกความเป็นประเทศราชทางการเงินที่ต่อเนื่องมายาวนาน ทำให้ประเทศไทยเป็นหนี้ต่างชาติชาติเดียวเกือบทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ ทำให้มูลค่าการลงทุนของทุกโครงการของรัฐสูงกว่าปกติระหว่าง20-30% ภายใต้ข้ออ้างดอกเบี้ยต่ำ 1% โดยใช้บริการของ AIIB ซึ่งพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้ริเริ่มให้ประเทศไทยเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้ง โดยเข้าถือหุ้นถึง 700 ล้านเหรียญสหรัฐ มากกว่าการถือหุ้นของอินเดียกว่า 2 เท่า
ประการที่ห้า การขยายการส่งออก และการท่องเที่ยวซึ่งต้องสอดคล้องกับนโยบายการเงิน คือค่าเงินบาทอ่อนและรักษาตลาดเดิมควบคู่กับการขยายตลาดใหม่ที่มีประชากรค่อนโลก แต่อนิจจาในประการนี้ไม่ได้ทำเลย ทั้งๆที่ประเทศอาเซียนอื่นเขาช่วงชิงกันทำอย่างเป็นล่ำเป็นสัน จนทำให้อัตราเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศเหล่านั้นมีอัตราเติบโตก้าวหน้าเหนือกว่าประเทศไทยไปไกลแล้ว
เอากันแค่ห้าประการนี้ เศรษฐกิจของประเทศไทยก็จะฟื้นฟู เฟื่องฟู ทำให้ประเทศมั่นคง ประชาชนมั่งคั่งตามยุทธศาสตร์ชาติที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงวางไว้ ทำให้ประเทศไทยก้าวสู่ยุคศิวิไลซ์ได้อย่างเต็มภาคภูมิ
แต่ทว่าเพราะเหตุที่เศรษฐกิจฟุบ จึงก่อผลกระทบแก่ประเทศไทยอย่างมากมาย ประกอบเข้ากับวิกฤติทางการเมือง รวมทั้งกฎหมายงบประมาณที่ยังไม่ผ่านรัฐสภา แม้ว่าปีงบประมาณจะผ่านมาถึง 5 เดือนแล้ว และการเฉยเมยของรัฐราชการ ตลอดจนการฉ้อราษฎร์บังหลวงที่ขยายตัวไปทั่วประเทศก็ได้เป็นเหตุปัจจัยซ้ำเติมเศรษฐกิจของประเทศให้หนักหนาสาหัสยิ่งขึ้น
ดังนั้นการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศชาติขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง จึงนอกจากจะต้องทำห้าประการตามที่พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้วางหลักไว้ให้ตั้งแต่ต้นแล้ว ยังต้องเพิ่มมาตรการพิเศษอีกสามประการ
ประการแรก การสร้างความสามัคคีปรองดองภายในชาติ ยุติความขัดแย้งทางการเมือง ทำการเมืองให้นิ่ง หันหน้าปรองดองเข้าหากันเหมือนกับที่เคยทำกันมาแต่อดีตให้สำเร็จ เป็นการจำเริญสิ่งที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ตรัสกำชับและกำหนดให้จารจารึกไว้ในตราแผ่นดิน ให้คนทั้งหลายได้ปฏิบัติตลอดไปให้สำเร็จ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน ก็พระราชทานกระแสพระราชดำรัสย้ำอย่างชัดเจนหนักแน่น เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2563 อันเป็นวันตรวจพลสวนสนามเนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกที่ทุกคนทุกฝ่ายพึงน้อมนำใส่เกล้าปฏิบัติให้เป็นจริง
ประการที่สอง ต้องรีบปราบปรามการโกงบ้านกินเมืองที่ขยายตัวลุกลามยิ่งกว่าโรคมะเร็งในเส้นโลหิต ชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ของชาติ ตลอดจนการทำกฎหมายให้เป็นกฎหมายและบังคับใช้กฎหมายให้เป็นกฎหมาย ไม่ใช่เลือกปฏิบัติอย่างสามานย์ ซึ่งเป็นการทำลายขื่อแปบ้านเมืองอย่างย่อยยับให้เป็นที่ประจักษ์
ประการที่สาม ต้องคืนชีวิตแก่แผ่นดิน นั่นคือการฟื้นฟูแหล่งน้ำทุกแม่น้ำ สายน้ำ แหล่งน้ำ คูคลองและเขื่อนทั้งหลายไม่ให้ตื้นเขิน ขุดลอกขึ้นใหม่และสร้างเพิ่มในทุกตำบลเพื่อให้ชะลอน้ำในหน้าฝน ไม่เป็นอุทกภัยทำลายบ้านเมืองปีละหลายแสนล้านบาท และกักเก็บน้ำไว้ในเทศกาลหน้าแล้งให้เพียงพอต่อความต้องการ เพราะหากไม่คืนชีวิตคืนน้ำแผ่นดินแล้วก็อย่าหมายว่าแผ่นดินนี้จะอุดมสมบูรณ์มั่งคั่งได้เลย แม้ชีวิตของคนและสัตว์ก็จะพากันเดือดร้อนสิ้น
เหล่านี้แหละจะเป็นหนทางฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศไทยที่มีผลจริง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี