คงปฏิเสธไม่ได้ว่าจากผลการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว ได้เกิดปรากฏการณ์ที่น่าสนใจในแวดวงการเมือง เมื่อพรรคของคนรุ่นใหม่ประสบผลสำเร็จในชัยชนะเลือกตั้ง จากฐานคะแนนเสียงทั่วประเทศที่มาจากกลุ่มประชากรคนหนุ่มสาว ที่อาจมีรสนิยม วิถีชีวิตสอดคล้องรับกับการรณรงค์หาเสียงของพรรคใหม่ๆ เหล่านี้ โดยเฉพาะพรรคอนาคตใหม่
น่าเสียดายที่ไม่มีการศึกษาวิเคราะห์ว่าพฤติกรรมการลงคะแนนเลือกตั้งของกลุ่มบุคคลวัยนี้ มาจากปัจจัยอันใด จากรสนิยมร่วม เรื่องการใช้เครื่องมือสื่อสารแบบ “ออนไลน์” สมัยใหม่
หรือบางส่วนเกิดจากอิทธิพล หรือการเรียนการสอนในห้องเรียน/โรงเรียนในยุคใหม่-สมัยใหม่ ครู-อาจารย์ และหลักสูตรการศึกษา มีบทบาทในการหล่อหลอมทัศนคติของเขาเหล่านั้นหรือไม่? หรือปัจจัยเหตุอันใดที่บันดาลให้วิถีชีวิตต้องถูกโยงกับเครื่องมือสื่อสารดังกล่าว ซึ่งเปรียบประดุจ “ที่พักพิงทางใจ” ของคนรุ่นใหม่สมัยนี้
แต่ไม่ว่าปัจจัยใดจะมีอิทธิพลหล่อหลอมพฤติกรรม “การเมือง” เช่นนั้น นักวิชาการ ครู อาจารย์ และผู้รับผิดชอบทางนโยบายการศึกษาก็ไม่ควรละเลย หรือไม่สนใจที่จะปรับปรุง/พัฒนา/ปฏิรูป ระบบการเรียนการสอน โดยเฉพาะวิชาสังคมศึกษา ซึ่งควรจะให้จุดเน้นเรื่อง “Political literacy” ความรู้เรื่องการเมือง หรือ ความฉลาดรู้เรื่องของเหตุการณ์บ้านเมือง และมโนทัศน์ทางการเมือง (ฉบับเยาวชน) เช่น ระบอบประชาธิปไตยสายกลาง (ซึ่งมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข)กระบวนการเลือกตั้งระบบพรรคการเมืองสภาวะผู้นำทางการเมืองในสังคมอื่นๆ ที่ประสบผลสำเร็จในระบบรัฐสภา การศึกษา-เรียนรู้เรื่องเหล่านี้น่าจะจัดไว้ในลำดับที่สำคัญอันดับแรกๆ สำหรับสังคมที่กำลังพัฒนาเช่นประเทศไทย หลายประเทศในกลุ่มสังคมนิยมที่ประสบผลสำเร็จทางการบริหารบ้านเมือง มักให้ความสำคัญกับการให้การศึกษาทางการเมืองแก่เด็กวัยรุ่น
ในช่วงการปฏิรูปการศึกษาครั้งแรก (พ.ศ. 2517-2521) หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ได้มีการปฏิรูปหลักสูตร-กระบวนการเรียนการสอน และจัดให้มีวิชาเลือกในระดับ ม.ปลาย จำนวนหลายวิชา ทั้งวิชาชีพและวิชาสามัญ โดยเฉพาะที่ผู้เขียนสนใจเป็นพิเศษ คือ วิชาเรื่องความคิดทางการเมือง (ทฤษฎีการเมือง) ทั้งนี้ เพื่อเปิดขอบฟ้าให้เยาวชนรุ่นใหม่ได้สัมผัสกับแนวคิดทางการเมืองต่างๆ รวมทั้งส่งเสริมให้มีการอ่านหนังสือนอกเวลา เช่นชีวประวัติบุคคลสำคัญ (เช่น จอร์จ วอชิงตัน-ประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐฯ เป็นต้น)
ความหวังดีเหล่านี้ไม่บังเกิดมรรคผลแต่อย่างใด เพราะในที่สุดก็มีการนำไปสู่การปฏิบัติน้อยมาก เพราะวิชาดังกล่าวมิใช่วิชาบังคับ แต่เป็นวิชาเลือก ซึ่งนักเรียน-นักศึกษาไม่จำเป็นต้องเลือก อีกทั้งไม่มีครูที่ได้เรียนวิชาเหล่านี้จากสถาบันฝึกหัดครู
ฉะนั้น หากจะปรับวัตถุประสงค์ของการเรียนระดับประถม-มัธยมศึกษา ให้เน้นการสร้างพลเมืองเพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมือง (ได้แก่ ความเข้าใจระบอบ/วิถีชีวิตของสังคมประชาธิปไตยและการหลีกเลี่ยงการแก้ไขวิกฤติ (การขัดแย้ง) ทางการเมืองโดยใช้กำลังอาวุธ แต่ให้ใช้ทางสายกลางในระบอบรัฐสภา ฯลฯ) สถานศึกษามหาวิทยาลัย ก็จะต้องปรับหลักสูตรเพื่อให้โอกาสเยาวชนได้เรียนรู้และเข้าใจ ตลอดจนนิยมวิถีชีวิตในสังคมประชาธิปไตย ผู้เขียนจึงใคร่เสนอให้รัฐบาล (ผ่านกระทรวงศึกษาธิการ-กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม) ได้ปรับหลักสูตรในระดับ ม.ต้น ม.ปลาย และชั้นปีที่ 1-2 ระดับอุดมศึกษา เพื่อเปิดโอกาสให้เยาวชนได้เรียนรู้เกี่ยวกับหลักการ-แนวคิด แนวทางการเมืองที่เป็นทางสายกลาง เหมาะสมกับประเทศของเรา โดยในขั้นต้นจะต้องปรับปรุงหลักสูตรการฝึกหัดครู เพื่อสร้างครูทางสังคม รวมทั้งสายอื่นๆ ให้มีความรู้ความเข้าใจในหลักของการเมืองและระบบการเมือง-การปกครองที่ดีที่สุดสำหรับสังคมไทย-และราชอาณาจักรไทย ที่เป็นชาวพุทธส่วนใหญ่ และให้เสรีภาพตลอดจนการอุปถัมภ์ศาสนาอื่นๆ เช่นกัน
แนวทางของระบบของเราน่าจะเรียกว่าธรรมาธิปไตย ซึ่งก็คือประชาธิปไตย (สายกลาง) ที่ใช้ปัญญาในการตัดสินใจประเด็นปัญหาต่างๆ โดยยึดเจตนาที่เป็นธรรม (ตามนิยามซึ่งพระเดชพระคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) ได้ให้คำนิยามไว้)
การวิเคราะห์เหตุและปัจจัยที่นำไปสู่ผลที่เกิดขึ้นในสังคม มีอยู่ถึง 10 แนวทาง (ดูหนังสือ พุทธธรรม ซึ่งพระคุณเจ้าพระธรรมปิฎก(สมัยนั้นได้ประพันธ์ไว้) ครอบคลุมวิธีคิดของปราชญ์ชาวตะวันตกไว้ด้วยแล้ว และเพิ่มมิติของพุทธศาสนา
นอกจากนั้น พระเดชพระคุณเจ้าฯ ยังได้ตอกย้ำอิทธิพลของสิ่งแวดล้อม (ญาติมิตรสหาย) ที่จะมีอิทธิพลต่อแนวคิดและพฤติกรรมของเยาวชน และในปัจจุบันก็คือ อิทธิพลของสื่อออนไลน์ ซึ่งกลายเป็นโจทย์ยากสำหรับทุกรัฐบาลในปัจจุบันและอนาคต ซึ่งจะเข้าควบคุมและหันเหทิศทางไปในทางที่สร้างสรรค์
โจทย์หินเหล่านี้ ก็คงจะต้องหวนกลับไปยังครู-อาจารย์ ผู้บริหารในสถานศึกษา ที่จะต้องปรุงแต่งบรรยากาศแวดล้อมในโรงเรียน-วิทยาลัย ให้เอื้อต่อความคิดสร้างสรรค์ และส่งเสริมอุดมการณ์ของการอยู่ร่วมกันด้วยความเสียสละและมิตรไมตรี การสร้างอุปนิสัยของเด็กในวัยเรียนจึงมีความสำคัญยิ่ง เพื่อเป็นต้นทุนสำหรับความเจริญงอกงามในอนาคต การฝึกวินัยในห้องเรียนและในสถานศึกษาจึงจำเป็น การส่งเสริมให้เด็กนักเรียนได้อ่านชีวประวัติของบุคคลผู้เสียสละ และ/หรือนักการเมือง รัฐบุรุษผู้มีชื่อเสียงในอดีตจึงเป็นกลวิธีที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนได้ประกอบกรรมดีในอนาคต
ขบวนการศึกษาจึงมิได้จำกัดอยู่เพียงในห้องเรียน แต่รวมถึงกิจกรรมนอกห้องเรียนด้วย เพื่อสร้างอุปนิสัยของความรัก สามัคคี การเสียสละ การแสดงศักยภาพของความเป็นผู้นำในอนาคต
ที่สำคัญคือการศึกษาในระดับปี 1 ปี 2 ในมหาวิทยาลัย-วิทยาลัย ซึ่งควรเปิดกว้าง โดยเฉพาะวิชาการเมืองเปรียบเทียบ (ศึกษาระบบหลายๆ ประเทศ เช่น อังกฤษ อเมริกา ฝรั่งเศส เป็นต้น) เพื่อเปิดทัศนะให้กว้างขวาง และอีกวิชาหนึ่งที่จะมีบทบาทในการสร้าง “ปัญญา ความคิดทางการเมืองที่สร้างสรรค์” คือการเรียนปรัชญาการเมือง ในระดับพื้นฐานเพื่อให้เยาวชนหลุดพ้นจากกับดักของลัทธิต่างๆ ได้สามารถวิเคราะห์/คิดได้ด้วยตัวเองว่า อะไรดี อะไรชั่ว?
นักปรัชญาผู้ยิ่งใหญ่สมัยกรีก ได้แก่ เพลโต และอริสโตเติล มิได้สรุปว่า ระบบการเมือง-การปกครองแบบใดดีที่สุด ทุกๆ รูปแบบที่ได้วิเคราะห์และเสนอมา ได้แก่ ระบอบกษัตริย์ ระบอบ
อภิชนาธิปไตย และระบอบประชาธิปไตย มีทั้งข้อดีข้อเสีย เพลโตจึงเสนอให้ตั้งโรงเรียนฝึกเยาวชน (โดยคัดเลือกอย่างเข้มข้น) เพื่ออบรม-ให้การศึกษา ให้มีความรอบรู้ระดับนักปราชญ์และผู้มีคุณธรรม เพื่อจะได้เป็นนักปกครองต่อไปในอนาคต แต่ลูกศิษย์คือ อริสโตเติล ก็คัดค้านว่าคงไม่สำเร็จด้วยเหตุผลต่างๆ จึงเสนอรูปแบบการเมือง-การปกครองลูกผสม ผสมระหว่างรูปแบบกษัตริย์ รูปแบบอภิชนาธิปไตย (คนชั้นสูงกลุ่มน้อย) และประชาธิปไตย (คนกลุ่มใหญ่ระดับล่าง) และคิดว่าทั้งสามระบบนี้คงคานอำนาจกัน ลดโอกาสการเหลิงอำนาจของแต่ละกลุ่ม/ชนชั้น แนวคิดรัฐธรรมนูญผสมนี้ มีอิทธิพลต่อแนวคิดของชาวอังกฤษและสหรัฐอเมริกา (โดยเฉพาะในสมัยร่างรัฐธรรมนูญฉบับ ค.ศ. 1787)
นักคิดและผู้นำชุมชน และสถาบันต่างๆ ลองพิจารณา “สัจธรรม” ข้อนี้ของอริสโตเติล สมควรที่สังคมไทยควรจะพิจารณา “รัฐธรรมนูญลูกผสม” ดังกล่าวหรือไม่ หากเห็นด้วย เพื่อให้เกิดดุลแห่งอำนาจและป้องกันของระบบใดระบบหนึ่ง (หรือชนชั้นใดชนชั้นหนึ่ง) เราก็ควรมีทั้งสมาชิกวุฒิสภา และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยมีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นเครื่องยึดโยงให้เกิดความสามัคคีและความร่วมมือร่วมใจในราชอาณาจักรไทย และปรับระบบการเลือกตั้งวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรให้เหมาะสม
ดร.วิชัย ตันศิริ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี