วันพุธ ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / คอลัมน์ / คอลัมน์การเมือง / เวทีอิสระ
เวทีอิสระ

เวทีอิสระ

วันพฤหัสบดี ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2563, 02.00 น.
การเมืองไทยมีแนวโน้มจะเป็นแบบรถไฟชนกัน

ดูทั้งหมด

  •  

ความขัดแย้งทางอุดมการณ์การเมือง ไม่ว่าจะเป็นทาง โครงสร้าง รูปแบบ หรือตัวผู้เล่น (Actors) ถือเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ว่าในประเทศใดก็มี เพราะมันเป็นธรรมชาติของมนุษย์

ซึ่งวิธีการแก้ปัญหาก็แตกต่างกันแล้วแต่ประเทศนั้นๆ บางประเทศเลือกใช้ความรุนแรงเป็นตัวตัดสินชนิดเอาแพ้เอาชนะกันเด็ดขาดให้ถึงที่สุด ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว ฝ่ายชนะจะต้องเดินเข้าสู่วิถีทางเผด็จการในที่สุด เพื่อที่จะรักษาอำนาจ และต่อเวลาการครอบครองอำนาจให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ เพื่อไม่ให้ฝ่ายอื่นๆ สามารถกลับมาแก้แค้นฝ่ายตนได้


ในขณะที่บางประเทศที่เลือกใช้วิธีการแบบรอมชอม แชร์อำนาจ และคานอำนาจกันไปกันมา ก็มักจะประคับประคองประเทศให้เคลื่อนไปได้ในวิถีทางประชาธิปไตย

และหลังจากความขัดแย้งครั้งใหญ่ๆ คู่ขัดแย้งในบางประเทศก็สามารถหันหน้ามาตกลงกันในเรื่องรูปแบบ รูปลักษณ์ของประเทศ และกติกาที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ สมานฉันท์ได้

ของไทยเรานั้น กองทัพเป็นแกนหลักในการใช้กำลังในการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่กษัตริย์เป็นอำนาจแต่ผู้เดียว (AbsoluteMonarchy) มาสู่ระบอบกษัตริย์ที่อยู่ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ (Constitutional Monarchy) ซึ่งเป็นการปฏิวัติรัฐประหาร โดยกลุ่มคนที่มีอาวุธอยู่ในมือ ในขณะที่ประชาชนพลเมืองส่วนใหญ่ไม่มีส่วนรับรู้ และไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่กลับต้องมาเป็นผู้รับผลเท่านั้น

จากเดือนมิถุนายน 2475 มาจวบจนกระทั่งบัดนี้ การเมืองไทยก็ยังไม่ลงตัว แม้จะมีการตกลงกันหลังการปฏิวัติ ว่าจะคงความเป็นราชอาณาจักร (The Kingdom) และจะเดินหน้าไปเป็นการเมืองประชาธิปไตยที่มีรัฐสภามาจากการเลือกตั้ง ผ่านทางการแข่งขันกันระหว่างพรรคการเมืองต่างๆ (Multi Party System)

แต่ในความเป็นจริงแล้ว กิจกรรมของพรรคการเมืองกลับกลายเป็นแค่เรื่องพวกพ้อง เป็นเพียงสถานที่รวมตัวกันของกลุ่มผลประโยชน์ ซึ่งต้องการอำนาจการเมืองไปตอบสนองผลประโยชน์ของฝ่ายตนเองเป็นหลัก ขนานไปกับแนวคิดของฝ่ายกองทัพ ที่เชื่อมั่นว่าฝ่ายกองทัพ “เป็นเจ้าของ” เรื่องการบ้านการเมือง โดยมักอ้างหน้าที่ในการเป็นผู้พิทักษ์ และปกป้องความเป็นราชอาณาจักรของไทย เพื่อเข้ามาควบคุมการเมืองไทยอยู่เสมอ

ความเชื่อ ความปลูกฝัง และการปฏิบัติ ของฝ่ายกองทัพที่ส่งต่อๆ กันมานั้น ส่งผลให้เกิดการรัฐประหารโดยกองทัพมาตลอดอายุการเมืองร่วมสมัยของไทย ซึ่งขัดกับหลักการบริหารปกครองบ้านเมืองในระบอบประชาธิปไตยโดยสิ้นเชิง

นอกจากนั้น กลุ่มทุนก็ได้เล็งเห็นโอกาสที่จะอาศัยการเอื้อประโยชน์ให้ตนเองผ่านทางช่องทางทางการเมือง จึงพยายามเสริมสร้าง และกระชับความสัมพันธ์ส่วนตัวกับบรรดาแม่ทัพนายกอง รวมทั้งนักการเมือง ซึ่งเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของตนเองเป็นหลัก

ที่ผ่านๆ มา กลุ่มทหารการเมือง กลุ่มธุรกิจการเมือง และกลุ่มการเมืองธุรกิจ ได้ก้าวขึ้นมาเป็นกลุ่มอภิสิทธิ์ชน ทำการครอบงำสังคมไทย จนกลายเป็นกลุ่มอำนาจนิยมที่ผูกขาดทางการเมืองและเศรษฐกิจไทยอย่างโดดเด่น

แต่โดยตลอดมาก็ได้มีฝ่ายต่อต้านผุดขึ้นมาเป็นระยะๆ ที่ไม่เห็นด้วยกับการกระจุกตัวของอำนาจการเมืองและเศรษฐกิจ เช่น พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (ซึ่งมีแนวคิดต่อต้านความเป็นราชอาณาจักร และแนวคิดขจัดชนชั้น) แต่ก็ไปไม่รอดด้วยสาเหตุหลักหนึ่ง คือขาดการสนับสนุนค้ำจุนจากพรรคคอมมิวนิสต์จีน เมื่อจีนเลือกที่จะให้ความสำคัญกับเรื่องความสัมพันธ์ระดับประเทศ มากกว่าในระดับพรรคต่อพรรค

หลังจากนั้น สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ไทยก็กระจัดกระจาย บางคนก็ล้างมือ บางคนก็เลือกเข้าสวามิภักดิ์ต่อผู้ที่ยื่นมือช่วยเหลือเกื้อกูล หรือให้ประโยชน์ บางคนก็ใฝ่หาแนวร่วม เพื่อจะต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ของตนต่อไป (จากป่าสู่เมือง) บ้างก็แฝงตัวในวงการศึกษา คอยปลูกฝังแนวคิดปฏิวัติสังคมของคอมมิวนิสต์ให้กับคนรุ่นต่อๆ มา จนสามารถแตกหน่อไปเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยชั้นนำต่างๆ และคอยป้อนแนวคิดของตนให้กับคนรุ่นใหม่ ที่เมื่อได้เรียนประวัติศาสตร์บางส่วน ได้รับฟังเรื่องราวการปฏิวัติสังคมของเมืองนอกเมืองนาในอดีตจากปากอาจารย์ ก็เกิดความเคลิบเคลิ้ม คลั่งไคล้ เริ่มนิยมชมชอบกับการมุ่งหาสังคมไร้ชนชั้นขึ้นในใจโดยไม่รู้ตัว

อย่างไรก็ดี ณ วันนี้ ฝ่ายกองทัพนั้นไม่เหนียมอายกับการทำตัวเป็นผู้เล่น ผู้บงการการเมืองไทยอย่างในอดีต สังคมไทยจึงได้เห็นความกล้าหาญชาญชัย ความมั่นอกมั่นใจ ความภูมิอกภูมิใจของนายทหารที่เข้ามาเล่นการเมือง ทั้งที่เกษียณแล้ว หรือแม้กระทั่งยังอยู่ในราชการก็ตาม

นอกจากนั้น พรรคการเมืองต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพรรคเฉพาะกิจ หรือแม้กระทั่งพรรคที่อ้างว่า เชื่อถือ ชื่นชมประชาธิปไตย ต่างก็ดาหน้าเข้าไปสยบแก่ฝ่ายกองทัพอย่างไร้ยางอาย เพียงเพื่อจักได้มีตำแหน่ง มีอำนาจกับเขาด้วยเท่านั้นก็พอ

ส่วนอีกฝั่งที่ไม่สามารถเข้ามาร่วมสังฆกรรมกับฝ่ายกองทัพได้ นั่นก็เพราะเป็นพรรคการเมืองที่ยึดมั่นในตัวบุคคลแบบเชื่อมั่นในลัทธิผู้นำ และการเมืองแบบประชานิยม ควบคู่กันแบบกลุ่มทุนผูกขาด ซึ่งเจ้าของพรรคดังกล่าวนั้นเป็นไม้เบื่อไม้เมากับทางฝ่ายกองทัพมานานปี

อีกประเด็นหนึ่งก็ยังมีกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ประกาศว่าไม่เอาทหารการเมือง รวมไปถึงไม่พอใจที่ฝ่ายกองทัพพยายามอิงกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตนเอง ในการครองอำนาจบริหารประเทศ ซึ่งก็ได้รับคะแนนนิยมจากคนรุ่นใหม่ด้วยการวางตนเป็นปฏิปักษ์กับฝ่ายกองทัพในทุกเรื่องมาเป็นจุดขายและระดมพละกำลัง

แม้จะได้รับโอกาสจากประชาชนให้เข้าไปทำหน้าที่ในสภาเกินความคาดหมาย แต่จนแล้วจนรอดกลุ่มพรรคคนรุ่นใหม่ก็มัวแต่สาละวนกับเรื่องความขัดแย้งทางอุดมการณ์ ว่าด้วยบทบาทกองทัพเป็นหลัก จนไม่สามารถดำเนินการที่จับต้องได้ตามที่พรรคการเมืองควรจะเป็น และเมื่อเวลาผ่านไป ก็ดันสะดุดขาตนเองหัวทิ่ม ด้วยวิธีการระดมทุนเข้าพรรคผ่านทางการกู้เงินก้อนใหญ่จากหัวหน้าพรรค ซึ่งขัดกับเจตนารมณ์ของกฎหมายและหลักประชาธิปไตย ที่ไม่ต้องการให้ใครมาครอบงำพรรคผ่านทางการเป็นนายทุนให้พรรค พรรคดังกล่าวก็เลยถึงแก่ชีวิต ถูกยุบพรรคโดยศาลรัฐธรรมนูญ และตัดสิทธิ์ทางการเมืองกรรมการบริหารพรรคเป็นเวลา 10 ปี

แต่แกนนำพรรคดังกล่าวก็แสดงความไม่พอใจคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ โดยประกาศแปลงร่างจากพรรคไปเป็นคณะแทน ซึ่งหลังจากนี้ จะมุ่งเล่นการเมืองนอกสภา หรือภาคสาธารณะ และใช้ประเทศเป็นเวทีเร้าอารมณ์แนวร่วม เพื่อเสริมสร้างพละกำลังให้ตนเอง โดยยังขายแนวคิดการขจัดความไม่ชอบธรรมของฝ่ายกองทัพการเมืองและเครือข่ายออกไปจากสนามการเมืองไทย รวมทั้งชูจุดขายว่าตนถูกรังแกจากฝ่ายผู้มีอำนาจที่เป็นเผด็จการ ซึ่งก็ได้ใจกองเชียร์กันไปพอสมควร โดยเฉพาะกับประชาชนไทยวัยเยาว์ วัยศึกษา ที่มักตื่นตัวกับประเด็นเช่นนี้

แล้วความขัดแย้งทางแนวคิดครั้งนี้ ประเทศไทยจะหาทางออกกันอย่างไร หรือจะปล่อยให้อยู่กันแบบต่างฝ่ายต่าง “ตั้งปืน” เข้าใส่กันอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ซึ่งจะส่งผลให้ประเทศถดถอยอย่างแน่นอน

แนวทางที่จะแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยไม่เสียเลือดเนื้อได้ ผมเองมีความเห็นดังนี้

1.ฝ่ายกองทัพจะต้องดำเนินการปฏิรูปตนเอง และทำการเขียนกฎหมายรัฐธรรมนูญใหม่ที่สอดคล้องกับหลักประชาธิปไตยจริงๆ ขึ้นมาด้วยตัวกองทัพเอง รวมทั้งดำเนินการถอนตัวเองออกจากการเมืองไทยอย่างถาวร

2.พรรคการเมืองต้องปฏิรูปตนเอง ให้เป็นพรรคของสมาชิก และตอบสนอง ขึ้นต่อประชาชนพลเมือง และผลประโยชน์ของประเทศชาติ มากกว่าการมุ่งหาประโยชน์เข้ากลุ่มตนจากตำแหน่งต่างๆ ในรัฐบาล

3.กลุ่มทุนต้องเลิกทำตัวสามานย์ เลิกผูกขาด เลิกซื้อข้าราชการ นักการเมือง นักทหารการเมือง และดำเนินการทำธุรกิจแบบมีธรรมาภิบาล ไม่ใช่คิดแต่จะกินรวบ เอารัดเอาเปรียบสังคมอย่างที่เป็นอยู่

4.ทุกหมู่เหล่าโดยฝ่ายรัฐบาลเป็นแกนกลางร่วมจัดทำคำมั่นสัญญาประชาคม ว่าด้วยความเป็นราชอาณาจักรที่เป็นประชาธิปไตยที่ประชาชนเป็นใหญ่ และมีส่วนร่วมในความเป็นไปของประเทศอย่างกว้างขวาง

5.ประชาชนพลเมือง โดยเฉพาะเครือข่ายภาคประชาชนสามารถเข้าชื่อถวายฎีกาเพื่อขอให้ทรงวินิจฉัยการแก้ปัญหาบ้านเมือง หรือการจัด “โต๊ะการเมือง” ใหม่หมด

ทั้งนี้ โลกได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การเมืองในระบอบเสรีประชาธิปไตยนั้นดีต่อคน ก็ต่อเมื่อใช้ประชาชนเป็นตัวตั้งและประชาชนจะต้องมีอำนาจโดยตรงให้มากที่สุด เพื่อขจัดการผูกขาดใดๆ ทั้งสิ้นออกไปจากวงการเมือง

มิเช่นนั้นแล้ว การเมืองไทยก็จะวนอยู่ในวังวนน้ำเน่าต่อไปอย่างไม่สิ้นสุด และประชาชนก็ต้องอยู่อย่างหวาดระแวงว่าวันใดที่ความขัดแย้งทางอุดมการณ์จะปะทุขึ้นมาเป็นสงครามกลางเมืองกันอีกหน

กษิต ภิรมย์

kasitfb@gmail.com

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

  •  
  • Breaking News
  • ข่าวยอดนิยม
  • คอลัมน์ฮิต
13:24 น. สตม.โชว์ผลงาน! รวบ'ชาวจีน'หนีคดีค้ายา-แชร์ลูกโซ่
13:23 น. เชิญชมเทศกาลศิลปะ ‘พระนคร ออน โอ่งอ่าง : หันน่าเข้าคลอง’ 11-13 ก.ค.นี้
13:23 น. อำลาเจลีก!บีจีดึง'เจริญศักดิ์'คืนทัพสู้ไทยลีก
13:19 น. (คลิป) 'ณัฐวุฒิ'แซะ! ดาบในมือศาลรัฐธรรมนูญ อาจเป็นอาวุธทำลายฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง
13:19 น. 'พิธา' ของจริง หรือ ของปลอม? วิจารณ์แนวคิด'ขี้ข้าชาวตะวันตก' ไม่สอดคล้องความจริง
ดูทั้งหมด
ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวดประจำวันที่ 1 กรกฎาคม 2568
‘มาครง’เผยคุย‘แพทองธาร’แล้ว ลั่นคนไทยไว้วางใจมิตรภาพจาก‘ฝรั่งเศส’ได้เสมอ
‘หม่อมปนัดดา‘ ปรากฏตัวกลางม็อบ ‘รวมพลังแผ่นดิน’ ของดให้สัมภาษณ์สื่อ
แกว่งเท้าหาเสี้ยน! ปรากฏการณ์แฉโพย‘สายส้ม’เข้มข้น-ล่อนจ้อน
'ออสเตรเลีย'ออกคำเตือนพลเมืองมา'ไทย'หลังพบวัตถุต้องสงสัยหลายเมืองท่องเที่ยวภาคใต้
ดูทั้งหมด
ต้นสนยักษ์ร่วมสมัยกับฟาโรห์
‘คลิปเขมร’เหตุอัปยศ‘แพทองธาร’
รู้ทันคอร์รัปชันด้วยวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่แค่ศีลธรรม
วาทกรรมเจ็บจี๊ด
อุ๊งอิ๊งค์ 2 ปรับ ครม. ฟอร์มาลีน
ดูทั้งหมด

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

อำลาเจลีก!บีจีดึง'เจริญศักดิ์'คืนทัพสู้ไทยลีก

'พิธา' ของจริง หรือ ของปลอม? วิจารณ์แนวคิด'ขี้ข้าชาวตะวันตก' ไม่สอดคล้องความจริง

(คลิป) 'ณัฐวุฒิ'แซะ! ดาบในมือศาลรัฐธรรมนูญ อาจเป็นอาวุธทำลายฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง

ตำรวจพะเยาไล่ล่าแก๊งค้ายา ยิงสกัดยึดยาบ้า 1.5 แสนเม็ด คนร้ายเผ่นหนีเข้าป่า

ราชกิจจาฯ เผยแพร่ ประกาศกระทรวงมหาดไทย ขอสละสัญชาติไทย จำนวน 195 ราย

มีประโยชน์ยามเกิดภัยพิบัติ! ‘บก.ลายจุด’แนะแจก‘พาวเวอร์แบงก์’เป็นของที่ระลึก

  • Breaking News
  • สตม.โชว์ผลงาน! รวบ\'ชาวจีน\'หนีคดีค้ายา-แชร์ลูกโซ่ สตม.โชว์ผลงาน! รวบ'ชาวจีน'หนีคดีค้ายา-แชร์ลูกโซ่
  • เชิญชมเทศกาลศิลปะ ‘พระนคร ออน โอ่งอ่าง : หันน่าเข้าคลอง’ 11-13 ก.ค.นี้ เชิญชมเทศกาลศิลปะ ‘พระนคร ออน โอ่งอ่าง : หันน่าเข้าคลอง’ 11-13 ก.ค.นี้
  • อำลาเจลีก!บีจีดึง\'เจริญศักดิ์\'คืนทัพสู้ไทยลีก อำลาเจลีก!บีจีดึง'เจริญศักดิ์'คืนทัพสู้ไทยลีก
  • (คลิป) \'ณัฐวุฒิ\'แซะ! ดาบในมือศาลรัฐธรรมนูญ อาจเป็นอาวุธทำลายฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง (คลิป) 'ณัฐวุฒิ'แซะ! ดาบในมือศาลรัฐธรรมนูญ อาจเป็นอาวุธทำลายฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง
  • \'พิธา\' ของจริง หรือ ของปลอม? วิจารณ์แนวคิด\'ขี้ข้าชาวตะวันตก\' ไม่สอดคล้องความจริง 'พิธา' ของจริง หรือ ของปลอม? วิจารณ์แนวคิด'ขี้ข้าชาวตะวันตก' ไม่สอดคล้องความจริง
ดูทั้งหมด

คอลัมน์ที่เกี่ยวข้อง

ไทยต้องไม่สะทกสะท้านกับฮุนเซน

ไทยต้องไม่สะทกสะท้านกับฮุนเซน

26 มิ.ย. 2568

เหตุการณ์สำคัญของเวียดนามที่ชาวอาเซียน และชาวโลกมองข้ามไปไม่ได้

เหตุการณ์สำคัญของเวียดนามที่ชาวอาเซียน และชาวโลกมองข้ามไปไม่ได้

19 มิ.ย. 2568

Open Government :  ระบบการบริหารราชการแบบเปิด

Open Government : ระบบการบริหารราชการแบบเปิด

12 มิ.ย. 2568

พื้นฐานความคิดของนโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา

พื้นฐานความคิดของนโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา

4 มิ.ย. 2568

หลักความเป็นตัวของตัวเองในเวทีระหว่างประเทศ

หลักความเป็นตัวของตัวเองในเวทีระหว่างประเทศ

29 พ.ค. 2568

สองผู้ยิ่งใหญ่อเมริกัน  กับสันติภาพโลก

สองผู้ยิ่งใหญ่อเมริกัน กับสันติภาพโลก

22 พ.ค. 2568

มีจีนสีเทา ก็เพราะมีไทยเป็นสีเทา

มีจีนสีเทา ก็เพราะมีไทยเป็นสีเทา

15 พ.ค. 2568

192 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-สหรัฐอเมริกา : จะไปไหนต่อ

192 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-สหรัฐอเมริกา : จะไปไหนต่อ

8 พ.ค. 2568

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นายปรเมษฐ์ ภู่โต
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2025 Naewna.com All right reserved