ตลอดสัปดาห์เศษๆ ที่ผ่านมา มีข้อถกเถียงกันทั่วโลกว่าด้วย “วิธีการรับมือวิกฤติไวรัสโควิด-19” โดยในขณะที่จีนแผ่นดินใหญ่ ไปจนถึงบางประเทศในทวีปยุโรป เช่น อิตาลี ฝรั่งเศส สเปน ใช้ยาแรงอย่างการ “ปิดเมือง-ปิดบ้าน”ห้ามประชาชนออกจากบ้านเว้นแต่มีเหตุจำเป็น แต่ในบางประเทศ(อาจ) เลือกใช้วิธีที่ตรงกันข้าม นั่นคือ “ภูมิคุ้มกันหมู่ (Herd Immunity)” หรือการปล่อยให้ประชาชนส่วนใหญ่ติดเชื้อ โดยหวังว่าเมื่อหายแล้วคนเหล่านี้จะมีภูมิคุ้มกันในตัว และครั้งต่อๆ ไปหากมีการระบาดสถานการณ์จะไม่รุนแรงอีก
ข้อมูลจากคู่มือ “หลักสูตรเชิงปฏิบัติการสำหรับเจ้าหน้าที่สร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค” จัดทำโดย สถาบันวัคซีนแห่งชาติ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (พิมพ์ครั้งที่ 2 เดือน พ.ค. 2555) หมวดเนื้อหาที่ 1 ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ในตอนหนึ่งกล่าวถึงการใช้ “วัคซีน (Vaccine)” หรือการนำเชื้อโรคมาทำให้อ่อนฤทธิ์ลงแล้วฉีดเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ เพื่อให้ร่างกายจดจำและสร้างภูมิคุ้มกันหากต้องเจอกับเชื้อโรคดังกล่าวตามธรรมชาติจะได้ไม่ป่วยเพราะเชื้อนั้น เปรียบเหมือนการ “ซ้อมรบ” ของทหารก่อนออกสมรภูมิจริง
นอกจากนี้ “การได้รับวัคซีนไม่เพียงช่วยให้คนหนึ่งคนไม่ป่วยเท่านั้นแต่ยังมีประโยชน์ต่อคนรอบข้างด้วย” โดยในคู่มือข้างต้นบรรยายว่า “..เพราะเมื่อร่างกายไม่ป่วยเชื้อโรคก็ไม่สามารถเพิ่มจำนวนและแพร่กระจายไปยังบุคคลอื่นได้อีก หรืออีกนัยหนึ่งก็คือทำให้เกิดภูมิต้านทานโรค ในกลุ่มประชากรในสังคมนั้น หรือที่เรียกว่า Herd Immunityหรือ Community Immunity (ภูมิคุ้มกันชุมชน)
ดังนั้นถ้าสามารถให้บริการวัคซีนครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายที่ควรได้รับวัคซีนได้ถึงระดับที่ทำให้เกิด Herd Immunity ก็สามารถช่วยป้องกันการเกิดโรคติดต่อที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีนในกลุ่มบุคคลที่ไม่ได้รับวัคซีนด้วย และในที่สุดก็อาจจะสามารถกำจัดหรือกวาดล้างโรคนั้นให้หมดไปได้..” พร้อมยกตัวอย่าง เช่น ไข้ทรพิษ โปลิโอ หัด คางทูม ที่ประเทศต่างๆ รวมถึงไทยให้ความสำคัญกับการฉีดวัคซีนให้กับประชากรของตนตั้งแต่วัยเด็ก
เรื่องราวของแผนสุดระห่ำ (หรือสุดเสี่ยง) ถูกจุดประเด็นขึ้นที่ “เมืองผู้ดี” ประเทศอังกฤษ โดยเมื่อ 12 มี.ค. 2563 โดย สำนักข่าว Bloomberg เสนอข่าว “Boris Johnson’s U.K. Virus Strategy Needs People to Catch the Disease” อ้างความเห็นของหัวหน้าที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์ของสหราชอาณาจักร แพทริค วาลแลนซ์ (Patrick Vallance) ที่ย้ำว่า “ไม่มีทางที่จะกำจัดโรคได้อย่างสมบูรณ์..ดังนั้นจึงไม่ควรทำ” และการระบาดจะกลับมาในปีถัดไป
ขณะที่เว็บไซต์ นสพ. The Guardian ของอังกฤษ เผยแพร่บทความ “Herd immunity: will the UK’s coronavirus strategy work?” เมื่อ 13 มี.ค.
2563 อ้างความเห็นของ วาลแลนซ์ ที่ว่า “จะได้ผลต้องมีผู้ติดเชื้ออย่างน้อยร้อยละ 60-70 ของประชากร” ซึ่งในทางกลับกันก็มี “เสียงคัดค้าน” อาทิ กุมารแพทย์ แอนโธนี คอสเตลโล (Anthony Costello) โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัว ระบุว่า แผนนี้อาจให้ผลได้ 2 ทาง คือคนที่หายป่วยจะมีภูมิคุ้มกันโรค หรือไม่ก็จะเหมือนไข้หวัดใหญ่ที่มีสายพันธุ์ใหม่ๆ เกิดขึ้นทุกปีและต้องการวัคซีนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 15 มี.ค. 2563 เว็บไซต์ นสพ.The Irish Times ของไอร์แลนด์ เสนอข่าว “Herd immunity is not our policy, says UK’s health secretary.” อ้างคำให้สัมภาษณ์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสุขภาพและสวัสดิการสังคมของอังกฤษ แมทท์ แฮนค็อก (Matt Hancock) ยืนยันว่า “รัฐบาลอังกฤษไม่มีแผนเรื่องการทำให้คนติดเชื้อเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน” แต่ยังให้ความสำคัญกับการลดจำนวนผู้ติดเชื้อลง
รวมถึงในวันที่ 17 มี.ค. 2563 สำนักข่าว Business Insider เสนอข่าว “The UK abandoned its coronavirus plan after realising it would have resulted in ‘hundreds of thousands of deaths.” ระบุว่า นายกรัฐมนตรีอังกฤษ บอริส จอห์นสัน (Boris Johnson) แถลงข่าวโดยให้ความสำคัญกับการลดโอกาสการติดเชื้อโควิด-19 เช่น ขอความร่วมมือให้ประชาชนทำงานอยู่ที่บ้าน หลีกเลี่ยงการพบปะกับผู้อื่นโดยไม่จำเป็น รวมถึงหลีกเลี่ยงการไปสถานที่เสี่ยงอย่างสถานบันเทิงต่างๆ แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่มีการสั่งปิดสถานที่ที่กล่าวมาข้างต้น
นอกจากนี้ ในวันที่ 20 มี.ค. 2563 (ตามเวลาประเทศไทย) สำนักข่าว CNN สหรัฐอเมริกา เสนอข่าว “London Tube stations close but UK government plays down prospect of full lockdown.” ระบุว่า แม้สถานีรถไฟใต้ดินในกรุงลอนดอน รวม 40 แห่ง จะปิดทำการ รวมถึงจะปิดให้บริการรถไฟใต้ดินทั้งหมดในเวลากลางคืนตลอดช่วงสุดสัปดาห์ แต่รัฐบาลก็ยังไม่สั่งปิดเมืองหรือจำกัดการใช้ชีวิตของประชาชน ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจหากบนพื้นที่สื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ ไม่ว่าในไทยหรือต่างประเทศ ยังมีการสนทนาเรื่องแผนภูมิคุ้มกันหมู่ในอังกฤษต่อไป
ไม่เฉพาะแต่อังกฤษเท่านั้น เนเธอร์แลนด์ ก็มีแนวคิดใช้แผนภูมิคุ้มกันหมู่เช่นกัน โดยวันที่ 16 มี.ค. 2563 นสพ. The Irish Times ของไอร์แลนด์ เสนอข่าว
“Coronavirus: Dutch adopt controversial ‘herd immunity’ strategy.” อ้างคำให้สัมภาษณ์ของนายกฯ เมืองกังหัน มาร์ค รูตต์ (Mark Rutte) ว่าจะยอมให้ประชาชนติดเชื้อโควิด-19 เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้เกิดขึ้น เนื่องจากทราบดีว่าในอนาคตอันใกล้ชาวดัตช์ส่วนใหญ่จะติดเชื้อ ซึ่งแผนนี้จะใช้เวลาหลักเดือนในการสร้างภูมิคุ้มกัน และระหว่างนั้นต้องป้องกันกลุ่มเสี่ยงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
แต่ก็มีเสียงคัดค้าน อาทิ โฆษกองค์การอนามัยโลก (WHO) มาร์กาเร็ต แฮร์ริส (Margaret Harris) ที่เตือนว่าไวรัสชนิดนี้เป็นของใหม่และมนุษย์ยังรู้จักมันน้อยเกินไป รวมถึงนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยวอชิงตัน แผนกสาธารณสุขโลก (University of Washington Department of Global Health) จูดิธ วาสเซอร์เฮท์ (Judith Wasserheit) ที่ตั้งคำถามว่า จะแยกประชากรกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ ออกจากประชากรอายุไม่มากได้อย่างไร
หรือจะเป็น ออสเตรเลีย ที่แม้จะห้ามชาวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศแต่ก็ไม่สั่งปิดโรงเรียน โดยเมื่อ 19 มี.ค. 2563 เว็บไซต์ นสพ.Daily Mail ของอังกฤษ เสนอข่าว “Is this the REAL reason schools were kept open? How ALLOWING children to get coronavirus could flatten infection rates.” อ้างความเห็นของนายกรัฐมนตรี สก็อต มอริสัน (Scott Morison) กับหัวหน้าเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ เบรนแดนเมอร์ฟี (Brendan Murphy) ให้เหตุผลว่า ตามสถิติพบ “ยิ่งอายุน้อยโอกาสติดเชื้อและเสียชีวิตก็ยิ่งต่ำ”อีกทั้งการให้เด็กอยู่บ้านจะเป็นภาระของผู้ปกครอง
สัปดาห์นี้ “ที่นี่แนวหน้า” ขอนำเรื่องนี้มาบอกเล่ากับท่านผู้อ่าน และขอชวนทุกท่านคิดต่อไปว่าในบริบทของไทยเรานั้นควรจะรับมือวิกฤติไวรัสโควิด-19 อย่างไรดี!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี