มีการประชุมคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ ครั้งที่ 2/2563 ไปแล้วเมื่อเร็วๆ นี้ คณะทำงานจัดทำข้อมูลไม้ผลเศรษฐกิจภาคตะวันออก ได้วิเคราะห์สถานการณ์การผลิตไม้ผล เมื่อมีการระบาดของโรค COVID-19 โดยคาดการณ์ว่าจะมีปริมาณผลผลิตในปี 2563 คือ ทุเรียน 584,712 ตัน โดยจะออกสู่ตลาดมากในเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2563มังคุด 201,741 ตัน จะออกสู่ตลาดมากในเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน 2563 และเงาะ 220,946 ตัน จะออกสู่ตลาดมากในเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน 2563
บวกลบคูณหาร ต่อว่า ในภาวะปกติหากไม่มีผลกระทบโรค COVID-19 คาดว่าจะส่งออกทุเรียน มังคุด และเงาะ ได้ในปริมาณรวม 545,809 ตัน แต่หากได้รับผลกระทบ COVID-19 มีการวิเคราะห์ว่าจะส่งออกทุเรียน มังคุด และเงาะ ได้ในปริมาณรวม 461,534 ตัน จึงมีส่วนต่างของผลผลิตที่ส่งออกไม่ได้ครบตามภาวะปกติ ดังนี้ ทุเรียน 58,471 ตัน มังคุด 12,105 ตัน และเงาะ 13,699 ตัน รวมทั้งสิ้น 84,275 ตัน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต้องบริหารจัดการในกรณีที่ได้รับผลกระทบ COVID-19 ทำให้ส่งออกตลาดจีนไม่ได้
ผู้เข้าประชุมมีทั้ง นายกสมาพันธ์ชาวสวนทุเรียนไทย อุปนายกสมาพันธ์ชาวสวนทุเรียนไทยภาคตะวันออก และนายกสมาคมผู้ส่งออกผักและผลไม้ รวมทั้ง
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษา รมว.เกษตรฯปรึกษาหารือใกล้ชิด และกำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรค COVID-19 ได้ข้อสรุป 2 มาตรการหลักในส่วนของผลไม้คือ 1) มาตรการช่วยเหลือในการกระจายและควบคุมคุณภาพสินค้าเกษตร และ2) มาตรการช่วยเหลือทางการเงินแก่สถาบันเกษตรกรและผู้ประกอบการ
ด้าน นายทวี มาสขาว รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้(Fruit Board) อธิบายเพิ่มเติมว่า ในส่วน มาตรการที่ 1 การช่วยเหลือในการกระจายและควบคุมคุณภาพสินค้าเกษตร มี 4 โครงการย่อย ประกอบด้วย
(1) โครงการประสานใจเกษตรกรไทยสู่พี่น้องชาวจีนสู้วิกฤติ COVID-19 ส่งมอบผลไม้ไทยให้พี่น้องชาวจีน ช่วงวันที่ 25 เม.ย.-10 พ.ค. 2563 ซึ่งหากสถานการณ์แพร่ระบาด COVID-19 สงบ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ พร้อมเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงปักกิ่ง อัครราชทูตที่ปรึกษาด้านการเกษตร และทูตพาณิชย์จะเดินทางไปจัด Road Show และส่งมอบผลไม้ด้วยตนเองเพื่อสร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภค เป้าหมาย ทุเรียน 20 ตัน และมังคุด20 ตัน หน่วยงานรับผิดชอบหลัก ได้แก่ กรมส่งเสริมการเกษตร, สมาพันธ์ชาวสวนทุเรียนไทย, สำนักการเกษตร ต่างประเทศ, สำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ, สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์, สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร
(2) โครงการรณรงค์ส่งเสริมการบริโภคผลไม้ภายในประเทศ Eat Thai First ได้แก่ 1) จัดสถานที่จำหน่ายผลไม้ที่จะออกช่วง เม.ย.-พ.ค. เพื่อส่งเสริมให้คนไทยได้บริโภคผลไม้ไทยเกรด Premium ในราคายุติธรรมตามฤดูกาล ซึ่งขณะนี้กรมส่งเสริมการเกษตรได้ประสานงานกับตลาดไท และ Home pro เรียบร้อยแล้ว
มีเป้าหมายการจำหน่ายสินค้าทั้ง 2 แห่ง รวม 1,200 ตัน โดยตลาดไทยินดีให้ใช้พื้นที่ในช่วงฤดูกาลผลิต นอกจากนี้ กรมส่งเสริมการเกษตรอยู่ระหว่างติดต่อกับ ซีคอนสแควร์ Home pro, IT Square, Tesco Lotus, Big C, Tops, ICONSIAM และสถานีบริการน้ำมัน เป้าหมาย 3,000 ตัน (ตลาดไทและ Home pro 1,200 ตันตลาดอื่นๆ 1,800 ตัน) หน่วยงานรับผิดชอบหลัก ได้แก่ กรมส่งเสริมการเกษตร, สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร 2) ขอความร่วมมือทุกส่วนราชการ และผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่สนับสนุนการบริโภคผลไม้ไทย อาหารไทย และใช้ดอกไม้ไทยประดับสถานที่ ในการจัดประชุมสัมมนาและงานต่างๆ เป้าหมาย 3,000 ตัน 3) กรมส่งเสริมการเกษตรได้คัดเลือกเกษตรกร และเกษตรกรแปลงใหญ่ลงทะเบียนกับบริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด เพื่อกระจายสินค้าสู่ตลาดปลายทาง เรียบร้อยแล้ว เป้าหมาย 2,000 ตัน หน่วยงานรับผิดชอบหลัก ได้แก่ กรมส่งเสริมการเกษตร, บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด, สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร 4) เชิญชวนภาครัฐและภาคเอกชนที่มีศักยภาพ อาทิ ตลาดหลักทรัพย์ สภาหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย SCG ฯลฯ ช่วยซื้อผลไม้ เป้าหมาย 1,000 ตัน 5) ส่งเสริมการขายผ่านระบบออนไลน์ เช่น Alibaba, Shopee, Lazada โดยกรมส่งเสริมการเกษตรมีการอบรมเกษตรกรให้ขายสินค้าออนไลน์ ซึ่งมีกลุ่มเกษตรกรจังหวัดจันทบุรี เข้าร่วมโครงการขายผ่าน Lazada ในส่วนของ อ.ต.ก. มีการดำเนินการจำหน่ายผ่านระบบ อ.ต.ก. Online และ อ.ต.ก. Market ซึ่งเกษตรกรสามารถเข้าไปลงทะเบียนได้ เป้าหมาย 2,000 ตัน 6) กรมส่งเสริมสหกรณ์จะบริหารจัดการโครงการสนับสนุนการกระจายผลไม้ของสถาบันเกษตรกร โดยขอใช้งบกลาง จำนวน 45.0372 ล้านบาท เป้าหมาย 80,000 ตัน
(3) โครงการสินค้าเกษตรไทยปลอดภัยจาก COVID-19 ขอความร่วมมือหน่วยงานในพื้นที่ให้เข้มงวดเกี่ยวกับสุขอนามัยของแรงงาน เช่น การแต่งกายที่รัดกุม มีหน้ากากป้องกันขณะปฏิบัติงานและขอความร่วมมือกรมการค้าภายใน กระทรวงสาธารณสุขในการจัดสรรโควตาหน้ากากอนามัย และเจลแอลกอฮอล์ล้างมือให้เพียงพอกับความต้องการของผู้ประกอบการ เพื่อสร้างความมั่นใจในคุณภาพสินค้าเกษตรไทย
(4) โครงการหาตลาดใหม่สินค้าเกษตรเพิ่มเติม ได้แก่ การจัดแคมเปญ/นิทรรศการ/Road Show/Exhibition ในประเทศต่างๆ ทั้งนี้ กรมส่งเสริมการเกษตรได้เตรียมจัดกิจกรรมในระหว่างเดือนสิงหาคม-กันยายน ณ ประเทศ ออสเตรเลีย UAE ตุรกี จีน และญี่ปุ่นโดยเจรจากับประเทศตะวันออกกลาง ออสเตรเลีย ตุรกี อินโดนีเซีย รัสเซีย อาร์เจนตินา อินเดีย เกาหลี ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการเตรียมความพร้อม นอกจากนี้ ได้เร่งศึกษากฎระเบียบการส่งออกผลไม้ไปประเทศอื่นๆ ที่มีศักยภาพ การเจรจาข้อจำกัดกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษี(NTBs) สุขอนามัยพืช สุขอนามัยสัตว์ มาตรฐานสินค้า รวมทั้งขอให้กรมวิชาการเกษตรเร่งดำเนินการตรวจสอบรับรองมาตรฐาน GAP โดยมีเป้าหมายการตรวจรับรอง 70,000 แปลง และ GMP โรงคัดบรรจุ 180 โรง
รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับมาตรการที่ 2 การช่วยเหลือทางการเงินแก่สถาบันเกษตรกรและผู้ประกอบการ ทั้งยุทธการปลอดหนี้ ปรับโครงสร้างหนี้ เสริมสภาพคล่องให้เกษตรกร ฯลฯ
สบายใจได้ครับพี่น้องชาวสวนทุเรียน มังคุด และเงาะ !!!! รัฐบาลลุงตู่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังแน่นอน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี