ณ วันนี้ เราต้องปฏิบัติตามแนวทาง Stay home นั่นคือ อยู่บ้าน อยู่โยง เว้นแต่จะมีกิจธุระที่จำเป็นจริงๆ จึงจะออกจากบ้าน นั่นก็เพื่อร่วมด้วยช่วยกันในการชะลอ และลดอัตราการขยายตัวของโรคระบาดโคโรนาไวรัส หรือโควิด-19
ในแง่หนึ่งก็ถือเป็นเรื่องดี นั่นคือครอบครัวได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน ก็ควรใช้ช่วงเวลานี้ ทำโน่นทำนี่ในบ้านร่วมกัน ถือเป็นการพักผ่อนไปในตัว และในอีกแง่หนึ่งจะได้ใช้เวลาทบทวนตัวเอง ครอบครัว และสังคมสภาพแวดล้อม
ซึ่งแน่นอนว่า หลายๆ คน และหลายๆ ครอบครัว ต่างมีความวิตกกังวลในเรื่องการขาดรายได้ ที่จะนำมาใช้จ่ายประจำวัน ผ่อนชำระหนี้สิน หรือค่ารักษาพยาบาล ซึ่งก็เป็นเรื่องของฝ่ายรัฐบาลที่ต้องรับผิดชอบ เราได้เห็นรัฐบาลทั่วโลกได้เริ่มลงมือทำกันอยู่ ซึ่งก็ขึ้นกับรัฐบาลไทยว่าคิดเป็น ทำเป็น นำมาประยุกต์ ปรับใช้ได้แค่ไหน เพื่อให้คนไทยผ่านวิกฤตินี้ไปได้
และเมื่อต้องอยู่บ้าน บางคนก็ฟังเพลง ดูโทรทัศน์ ดูหนังวีดีโอ อ่านหนังสือ จัดห้อง จัดบ้าน จัดสวน บางคนก็เขียนจดหมาย โทรศัพท์ หรือส่งข่าวคราวผ่านระบบสื่อสารสมัยใหม่ต่างๆ กล่าวคือ เมื่ออยู่บ้าน เวลาที่นอกเหนือจากต้องทำงาน ส่งงาน ปรึกษาหารือเรื่องงานผ่านเครื่องไม้เครื่องมือสื่อสารต่างๆ แล้ว แต่ละคนก็จะมีเวลาเหลือ เนื่องจากไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง และไม่ใช้เวลาไปสังสรรค์นอกบ้าน
ผมเองก็อยากขอใช้โอกาสนี้ นำเสนอหัวข้อสนทนาภายในครอบครัวสักเรื่องหนึ่ง นั่นคือเรื่องการเบียดเบียน และผลกระทบ
จาก ศีล 5 ตามหลักพุทธ ศีลข้อแรก คือห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ซึ่งเป็นการสะท้อนการไม่เบียดเบียนสิ่งอื่น ทั้งคนและสัตว์ ซึ่งที่ห้ามนั้น นอกจากจะถือว่าเป็นบาปแล้ว การเบียดเบียนยังส่งผลกระทบต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ โดยในที่สุด ก็จะวกกลับมาที่ตัวมนุษย์เรานี่แหละ กล่าวคือ หากมนุษย์ไปทำร้ายสิ่งมีชีวิตใด มันก็จะส่งผลกลับมาทำลายชีวิตมนุษย์ หรือเรียกว่า กลับมาเอาคืน หรือมาแก้แค้นมนุษย์
ดังจะเห็นได้ว่า ในยุคสมัยใหม่ มนุษย์นั้นเอารัดเอาเปรียบธรรมชาติแวดล้อม รวมทั้งใช้ทรัพยากรอย่างไม่บันยะบันยังจนความสมดุล การพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันได้ขาดตอน ป่าเริ่มหายไป สัตว์ก็สูญพันธุ์ไป ทรัพยากรน้ำก็เหือดแห้ง ความแห้งแล้งก็ตามมา อาหารไม่พอเพียง แมลงต่างๆ รวมทั้งโรคภัยไข้เจ็บก็คืบคลานเข้ามา
ในเรื่องการกินอยู่ มนุษย์กลับไม่ค่อยบริโภคผักและปลาเท่าที่ควร มักไปเน้นบริโภคเนื้อสัตว์ แค่บริโภคสัตว์เลี้ยงปริมาณมหาศาลก็ยังไม่หนำใจ กลับมุ่งเสาะแสวงหาสัตว์ป่ามาบริโภคอีกด้วย ส่งผลให้สืบเชื้อโรคต่างๆ ที่ซ่อนในตัวสัตว์ป่าเหล่านั้นมา แล้วก็เจ็บป่วย ล้มหายตายจากกันไป ในจังหวะหนึ่งก็ดันกลายเป็นโรคติดต่อระบาดรุนแรงไปในโลกกว้าง เพราะมนุษย์สามารถสัญจรไป-มาด้วยการใช้เครื่องบิน ใช้เรือ ใช้รถต่างๆ ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว
อีกทั้งยานพาหนะเหล่านี้ก็ใช้เชื้อเพลิงเป็นพลังงานขับเคลื่อน โดยเฉพาะน้ำมันและก๊าซ ซึ่งต้องไปขุดเจาะจากใต้พื้นดินที่มีป่า และน้ำ (น้ำเค็ม) ที่ยานพาหนะปล่อยความร้อนและควัน ไปช่วยทำให้โลกร้อน และเมื่อโลกร้อนขึ้นฤดูกาลก็ไม่เป็นปกติ ธรรมชาติแวดล้อมขาดความสม่ำเสมอ ขาดความสมดุล
ในขณะเดียวกัน มนุษย์เพาะปลูกก็ใช้เคมีภัณฑ์ๆ ไหลลงแม่น้ำลำธาร และสู่ทะเล บวกกับมนุษย์ทิ้งขยะที่อมโรคต่างๆ และเศษพลาสติกที่ทำให้ทะเลเสียหาย กุ้ง หอย ปู ปลา พืชต่างๆ กินกลืนเข้าไป แล้วมนุษย์ก็กลับไปบริโภคสัตว์ทะเล พร้อมด้วยเคมีภัณฑ์และพลาสติกที่ตนทิ้งลงไป
รวมความแล้ว มนุษย์คือต้นตอของการเบียดเบียน มนุษย์ทำร้ายตนเอง ทำร้ายสิงสาราสัตว์ และธรรมชาติแวดล้อม
ก็ใคร่ขอแนะนำให้ลองนำหัวข้อนี้ไปพูดคุยกันในครอบครัว เพื่อจะได้จุดประกายให้คนรอบๆ ข้างได้ช่วยกันลดการเบียดเบียนต่างๆ อย่างน้อยลดการบริโภคเนื้อสัตว์ลง เพิ่มการบริโภคผัก และปลา รวมถึงช่วยกันประหยัดการใช้ไฟฟ้า และช่วยกันกันไปใช้พลังงานหมุนเวียน และทดแทน เช่น แสงอาทิตย์เป็นต้น
อย่างน้อย หากเราสามารถลดการเบียดเบียนโลกนี้ลงบ้าง ก็อาจจะช่วยชะลอ หรือลดระดับความรุนแรงของผลกระทบ ที่จะกลับมาทำลายล้างมวลมนุษย์ลงได้บ้าง
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี