ผมขอถามคุณตรงๆ ว่าคุณชื่นชอบการปกครองในระบอบใดมากกว่ากัน ระหว่างเสรีประชาธิปไตย กับเผด็จการอำนาจนิยม
แล้วผมขอถามคุณต่อไปว่า คุณมีพฤติกรรมแบบใดมากกว่ากัน ระหว่างบ้าอำนาจ (อำนาจนิยม) กับใจกว้าง ยอมรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง (เสรีนิยม)
น่าประหลาดแบบชวนคลื่นไส้เป็นอย่างยิ่งที่คนไทยจำนวนไม่น้อยป่าวประกาศร้องตะโกนว่าตนเองเชิดชูและศรัทธาการปกครองระบอบเสรีประชาธิปไตย แต่กลับพบว่าคนจำพวกนี้แหละ ที่ถ้าหากพบเจอว่าใครคิดเห็นและเชื่อไม่เหมือนกับตน ก็จะแสดงความเป็นประชาธิปไตยตามสไตล์ของตนด้วยการชี้หน้าด่าประจานคนที่คิดเห็นและเชื่อไม่เหมือนตนว่าเป็นคนชั่วช้าเลวทราม ไม่รัก ไม่เคารพ ไม่เชิดชูประชาธิปไตย
ถามจริงๆ เถอะครับ คนที่รักและศรัทธาประชาธิปไตยอย่างแท้จริง มีนิสัยและสันดานใจแคบ มีความคิดตื้นเขินเช่นนี้หรือ
ฉันใดก็ฉันนั้น การที่ประเทศไทยมีผู้ปกครองประเทศที่เป็นนักการเมือง (ไม่ว่านักการเมืองจะขึ้นสู่การมีอำนาจรัฐด้วยกรรมวิธีใดก็ตาม) แล้วนักการเมืองผู้มีอำนาจรัฐก็ป่าวร้องตลอดเวลาว่าตนเองยึดมั่นในหลักการเสรีประชาธิปไตย แต่ขณะเดียวกันคนที่ป่าวร้องเช่นนั้นก็กลับไม่ต้องการให้ผู้อื่นตั้งคำถามใดๆ กับตน ไม่ต้องการให้ผู้อื่นตรวจสอบการทำงานของตน ไม่ต้องการให้ใครตรวจสอบการใช้เงินงบประมาณแผ่นดินที่มาจากภาษีอากรของประชาชน และไม่ต้องการตอบคำถามใดๆ จากประชาชน แต่กลับไม่พออกพอใจเป็นอย่างมากเมื่อถูกตั้งคำถาม แล้วก็พร่ำและเพ้อตลอดเวลาว่า ขอให้ประชาชนต้องเชื่อใจตนเอง ต้องรับฟังคำพูดของตนเอง อย่าตั้งคำถามใดๆ เพราะคำถามเหล่านั้นเป็นการจงใจขัดขวางการทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง สรุปก็คือ ผู้นำพรรค์อย่างนี้ต้องการให้ประชาชนทำตามสิ่งที่เขาวางแนวทางไว้ โดยไม่ต้องมีข้อสงสัย ไม่ต้องถาม ไม่ต้องตรวจสอบ
ขอถามอีกครั้งหนึ่งว่า ผู้นำการเมืองที่พฤติกรรมเช่นนี้หรือคือผู้นำการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย
ผมขออนุญาตยกหลักคิดของ John Lockeในทฤษฎีเสรีนิยม (Liberal Theory) ที่ระบุว่าผู้ปกครองในระบอบเสรีนิยมต้องมาจากความยินยอมพร้อมใจของประชาชน (govern by consent of people) ผมย้ำและขีดเส้นใต้คำว่า มาจากความยินยอมพร้อมใจของประชาชน
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่เคยมีผู้นำการเมืองคนใดในโลกนี้ ได้รับความยินยอมพร้อมใจจากประชาชนทั้งแผ่นดิน แต่เมื่อประชาชนส่วนใหญ่ให้ความยินยอมพร้อมใจแล้ว ก็ต้องถือว่าผู้นำคนนั้นมีอำนาจเข้าไปทำหน้าที่บริหารประเทศได้
ประเด็นต่อมาคือ เมื่อผู้นำการเมืองมีอำนาจบริหารประเทศแล้ว ผู้นำการเมืองต้องทำอะไรเพื่อบ้านเพื่อเมือง และเพื่อประชาชน
ประเด็นนี้ก็ต้องดูต่อไปว่า ผู้นำการเมืองรายนั้นมีสันดานแบบใด ระหว่างเผด็จการอำนาจนิยม กับเสรีนิยม คุณไม่ต้องประหลาดใจเลยกับการที่หลายๆ ประเทศมีผู้นำการเมืองที่มีสันดานเผด็จการ ถึงแม้ผู้นำรายนั้นจะชนะการเลือกตั้งมาก็ตาม เพราะการเลือกตั้งไม่ได้เป็นเครื่องยืนยันเสมอไปว่า ผู้ชนะต้องมีสันดานเสรีนิยมเท่านั้น
เพราะฉะนั้นผู้นำการเมืองคนไหนก็ตามที่อ้างว่าชนะการเลือกตั้งมาแล้ว แล้วอวดอ้างและแอบอ้างว่าตนเองคือผู้ศรัทธาการปกครองระบอบเสรีนิยมประชาธิปไตย ก็จึงไม่เป็นความจริงในทุกกรณีไป (ดูตัวอย่างชัดๆ จาก ผู้นำนาซี อดอล์ฟ ฮิตเลอร์และอดีตนายกรัฐมนตรีไทยที่ชื่อ ทักษิณ ชินวัตร หรือดูจากพฤติกรรมของประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบัน คือโดนัลด์ ทรัมป์ ก็เห็นได้ชัดเจน) ส่วนนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันไม่ต้องพูดถึง เพราะไม่ได้ลงแข่งขันการเลือกตั้ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้นำการเมืองไทยที่ไม่ได้ผ่านการเลือกตั้งทุกคนไม่ยึดมั่นในแนวคิดเสรีนิยม เพราะกรณี อดีตนายกรัฐมนตรี เปรมติณสูลานนท์ และอดีตนายกรัฐมนตรีอานันท์ ปันยารชุน น่าจะเป็นเครื่องยืนยันได้บ้างว่า สองรายนี้ไม่ได้เป็นพวกอำนาจนิยมแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
ย้อนไปที่คำถามเดิมที่ตั้งไว้ว่า ผู้นำการเมืองของประเทศต้องมีภารกิจ ต้องมีหน้าที่สำคัญต่อประเทศชาติในเรื่องอะไรบ้าง หรือพูดแบบไม่อ้อมค้อมคือ ผู้นำการเมืองที่ดีต้องทำอะไรให้ประเทศชาติและประชาชน
หากถามผม ผมก็ขอตอบในฐานะประชาชนที่อยากเห็นผู้นำการเมืองเป็นเช่นนี้คือ ผู้นำการเมืองต้องทำให้ประเทศชาติและประชาชนรอดพ้นจากปัญหาต่างๆ นานา ไม่ว่าปัญหานั้นจะใหญ่หรือเล็ก แต่การจะผ่านพ้นปัญหาได้ก็ต้องได้รับความร่วมมือร่วมใจจากประชาชนด้วย ปัญหาคือผู้นำการเมืองสามารถทำให้ประชาชนร่วมมือร่วมใจกับเขาได้หรือไม่ บางคนอาจจะตอบว่า ผู้นำการเมืองที่ดีต้องทำให้ประเทศสุขสงบ น่าอยู่มากขึ้นกว่าในอดีต
ผมเคยอ่านแนวคิดของ นายกรัฐมนตรีแคนาดา จัสตินทรูโด เขาให้แง่คิดกับผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก (New York University) ว่า ผู้นำที่ดีไม่จำเป็นต้องผูกขาดความถูกต้องไว้แต่เพียงผู้เดียว ดังนั้นชาวแคนาดาจึงได้เห็นผู้นำการเมืองของเขามีความสงบเสงี่ยมแบบสุขุมลุ่มลึกในการเจรจาทุกครั้ง ทรูโดเลือกเป็นฝ่ายสงบปากสงบคำแม้ในการเจรจาที่ดูว่าแสนจะตึงเครียดและมีการโต้เถียงกันอย่างรุนแรง เพราะเขาไม่ใช่คนก้าวร้าว แต่เขาต้องการเป็นผู้นำที่ได้ชื่อว่ามีส่วนช่วยเปลี่ยนแปลงให้โลกใบนี้ดีขึ้น
อีกสิ่งหนึ่งที่ทรูโดยึดมั่นในการทำงานคือ เมื่ออยู่ท่ามกลางความคิดเห็นที่แตกต่างกันสุดขั้วของผู้คนที่แตกต่างกันทั้งประสบการณ์ การศึกษา ความคิด ความเชื่อ เศรษฐสถานะ และความคิดทางการเมือง ดังนั้นผู้นำการเมืองที่ดีจึงต้องหาจุดสมดุลทางความคิดของผู้คนให้พบ และไม่ทำตัวให้โอนเอียงไปทางใดทางหนึ่งจนสุดโต่ง ทรูโดบอกว่า ผู้นำการเมืองไม่ควรปล่อยให้แนวคิดใดแนวคิดหนึ่งเข้าครอบงำการทำงานและการตัดสินใจของตน เพราะมันคือตัวฉุดรั้งการพัฒนาประเทศและพัฒนาผู้คน ผู้นำการเมืองต้องพาตัวเองให้หลุดออกไปจากยึดติดถือมั่นในแนวคิดใดแนวคิดหนึ่งมากจนเกินไป และต้องเปิดโอกาสให้คนทุกฝ่ายร่วมมือกันขับเคลื่อนประเทศชาติ ต้องเปิดใจ เปิดความคิดยอมรับแนวทางการทำงานที่หลากหลายจากคนต่างๆ กลุ่ม ต้องเชื่อมั่นในหลักความร่วมมือของทุกฝ่าย
ทรูโดกล่าวว่า ถ้าคุณต้องการเดินหน้าไปให้ไกลกว่าเดิม และดีกว่าเดิม คุณต้องยอมรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง รับฟังความคิดเห็นของคนที่เชื่อและคิดไม่เหมือนคุณ และให้คุณค่ากับการกระทำที่แตกต่างไปจากความเชื่อของคุณ คุณต้องเปิดใจรับฟังด้วยใจที่เป็นกลาง ทำความเข้าใจกับความแตกต่าง แล้วค้นหาความสมดุลของความคิดให้เจอ แล้วชีวิตของคุณจะก้าวไปบนเส้นทางที่ถูกต้องเหมาะสม
ผู้นำการเมืองที่ดีต้องทำตัวเหมือนกับสะพาน ต้องเชื่อมโยงให้คนทุกคนที่มีความเห็นต่างกันเข้ามาร่วมไม้ร่วมมือสร้างสรรค์สิ่งดีงามให้กับประเทศชาติและกับโลก ผู้นำการเมืองที่ดีต้องก้าวข้ามความแตกต่างใดๆ ได้ทั้งหมด ไม่มีข้อจำกัดด้านเชื้อชาติ ศาสนา ความคิด และความแตกต่าง แล้วมุ่งเน้นการสร้างความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันให้ได้มากที่สุด ชวนเชิญให้ทุกคนร่วมกันสร้างสิ่งดีงามและมีประโยชน์ต่อโลกใบนี้ ผู้นำที่ดีต้องขยายความร่วมมือ และขยายโอกาสให้กับคนทุกฝ่าย เพื่อให้เข้าถึงสิ่งที่ดีกว่า มีประโยชน์มากกว่า เข้าถึงเทคโนโลยีที่ทันสมัยและจำเป็นต้องการดำรงชีวิตให้ดีขึ้น ต้องให้คนทุกคนหรือส่วนใหญ่เข้าถึงสิ่งดีมีประโยชน์ได้อย่างเท่าเทียมกันมากที่สุด
นั่นคือแนวคิดของจัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา
แต่สำหรับผู้เขียนแล้ว ผมมีข้อแนะนำเพิ่มเติมว่า เมื่อเป็นผู้นำแล้ว ต้องใช้อำนาจรัฐเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศชาติและประชาชน หากมีอำนาจรัฐแล้วไม่สามารถใช้สร้างประโยชน์ให้กับสาธารณะได้ ก็ไม่สมควรจะอยู่บนอำนาจอีกต่อไป
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี