รัฐบาลลุงตู่อนุมัติมาตรการเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและระบบการเงิน ที่ให้แบงก์ชาติสามารถดำเนินมาตรการช่วยเหลือ SMEs และดูแลเสถียรภาพของตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชน มูลค่ารวมกว่า 9 แสนล้านบาท
ผ่านความเห็นชอบร่างพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) สองฉบับ ได้แก่ 1. ร่าง พ.ร.ก. การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ( 5 แสนล้านบาท) และ 2. ร่าง พ.ร.ก. การสนับสนุนสภาพคล่องเพื่อดูแลเสถียรภาพตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชน (4 แสนล้านบาท)
ประการสำคัญ แบงก์ชาติยังได้ให้มีการเลื่อนกำหนดการชำระหนี้สำหรับธุรกิจ SMEs ที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 100 ล้านบาท เป็นระยะเวลา 6 เดือน เพื่อช่วยให้ SMEs มีสภาพคล่อง
โดยธุรกิจ SMEs ที่มีวงเงินสินเชื่อกับธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (ธนาคาร) แต่ละแห่งไม่เกิน 100 ล้านบาท ได้รับสิทธิเป็นการทั่วไป
ไม่ต้องชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย
เป็นระยะเวลา 6 เดือน
และในช่วงที่ผ่อนปรนนี้ไม่ถือว่าเสียประวัติข้อมูลเครดิต
นับว่าเป็นเรื่องดี ที่แบงก์ชาติได้ช่วยบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผู้ประกอบการ SMEs ทำให้ SMEs มีเงินสดในมือเพื่อรองรับรายจ่ายจำเป็น โดยเฉพาะค่าจ้างพนักงาน
มิใช่ว่า เกิดอาการช็อตเงิน ล้มหายตายจากกันไปหมดในช่วง 6 เดือนที่ต้องสู้กับโรคระบาด กิจการงานไม่เหลือ คนจะมาทำงานตกงานกันไปเป็นหลายสิบล้านคน นั่นย่อมจะกลายเป็นหายนะ
1. แน่นอนว่า มาตรการในส่วนที่แบงก์ชาติดำเนินการนั้น จะเกิดประโยชน์กับธุรกิจเอสเอ็มอี ธุรกิจทั่วไป และเป็นประโยชน์ต่อภาคเศรษฐกิจ หล่อเลี้ยงการจ้างงาน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไปหลังจากนี้
2. ในการนี้ ได้ใช้ทรัพยากร และ “ความเสี่ยง” บางส่วนตกแก่ประเทศชาติส่วนรวมด้วย เพราะมูลค่าเม็ดเงินรวมกว่า 9 แสนล้านบาท สุดท้ายก็เป็นภาระต้นทุนที่ประเทศต้องร่วมกันแบกรับนั่นเอง
3. แน่นอนว่า มาตรการเหล่านี้ สถาบันการเงินทั้งหลายก็ได้รับประโยชน์ด้วย
ทั้งลดความเสียหาย ลดต้นทุน และ “แบ่งเบาภาระความเสี่ยง”
4. สินเชื่อที่ได้รับประโยชน์โดยตรง คือ สินเชื่อธุรกิจสินเชื่อเอสเอ็มอีทั้งหลาย
แต่อีกด้านหนึ่ง “สินเชื่อครัวเรือน” หรือ “หนี้ชาวบ้าน”ไม่ว่าจะเป็นหนี้ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ผ่อนบัตรเครดิต แบงก์ชาติได้เห็นความสำคัญ จึงได้มีมาตรการช่วยเหลือออกไปแล้วก่อนหน้านี้ ทำให้บรรดาธนาคารและสถาบันการเงินทั้งหลายได้ออกมาตรการช่วยเหลือเยียวยาแตกต่างกันออกไป เช่น พักชำระหนี้เงินต้น+ดอกเบี้ย 3 เดือนหรือพักชำระหนี้เงินต้น 6 เดือน แต่ยังต้องจ่ายดอกเบี้ยทุกๆเดือน ฯลฯ
จะเห็นได้ว่า มีความแตกต่างกันมากมายหลายมาตรฐาน ตามแต่มาตรฐานของสถาบันการเงินแต่ละแห่ง
ตรงนี้เอง ชาวบ้านงุนงง และข้องใจมาก
จะช่วยทั้งที ทำไมยังต้องให้จ่ายดอกเบี้ยอยู่อีก ทำไมไม่พักชำระหนี้ไปเลย 6 เดือน ไม่ต้องจ่ายทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย เหมือนบริษัทได้รับการช่วยเหลือ
มันจะได้มีช่วงเวลาหายใจ-หายคอ งานก็ต้องหยุด เงินช่วยเหลือยังต้องไปรับจากรัฐบาล แต่ยังจะให้เอาเงินมาจ่ายดอกให้สถาบันการเงินอยู่ทำไม?
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ล่าสุด ตามมาตรการเฟส 3 จะมีเงินก้อนมหึมาเติมเข้าไปช่วยเหลือลูกค้าของสถาบันการเงินทั้งหลาย ทำให้สถาบันการเงินเองก็ได้ผลประโยชน์ร่วมกันไปด้วยถึงขนาดนี้แล้ว จะยังไม่สามารถมีน้ำใจ แบ่งปันความช่วยเหลือเพิ่มเติมมาให้กับ “หนี้ชาวบ้าน” มากกว่าเดิมบ้างเลยหรือ?
เรื่องนี้ นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา –รัฐมนตรีคลัง คุณอุตตมะ สาวนายน – ผู้ว่าการ ธปท. ดร.วิรไทสันติประภพ ควรจะได้พิจารณาความทุกข์ยากของชาวบ้านในประเด็นนี้ด้วย
ถ้าพักชำระหนี้ชาวบ้าน โดยไม่ต้องผ่อนทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย 6 เดือน
มาตรฐานเดียวกับการช่วยเหลือสินเชื่อเอสเอ็มอี
จะลดความเสี่ยงที่ชาวบ้านจะมีการผิดนัดชำระหนี้ในยามวิกฤตินี้อย่างกว้างขวาง หรือต้องไปพึ่งพาหนี้นอกระบบอันจะสร้างปัญหาซับซ้อนทับถมมากยิ่งขึ้น
รับรองว่า “ได้หัวใจ” – “ได้ความเชื่อมั่น” จากชาวบ้านหลายสิบล้านคนทั่วประเทศ เพราะทุกคนล้วนได้รับผลกระทบจากพิบัติภัยทางเศรษฐกิจพิษโควิด-19 กันทั้งนั้น
ปัญหาบ้านเมืองมิติต่างๆ ย่อมจะคลี่คลายไปได้ดีกว่าเดิมหลายเท่าตัว
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี