ที่ประชุมครม.เห็นชอบร่างพ.ร.บ.โอนงบประมาณปี 2563 วงเงิน 100,395 ล้านบาท เพื่อนำมาเป็นงบกลางเพื่อแก้ปัญหาโควิด-19 จะนำเข้าสภาพิจารณาวาระ 1 ในวันที่ 28 พ.ค. 2563 เนื่องจากเป็นเรื่องเร่งด่วน ซึ่งต้องติดตามต่อไปว่าสภาเดือนหน้านี้จะมีแนวทางในการประชุมอย่างไร แต่มีสิ่งหนึ่งที่กำลังจะหมดไปและยังไม่ชัดเจนคืออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
โดยปัญหาการแพร่กระจายของโควิด-19 ในประเทศไทยกำลังอาจบอกได้ว่าอยู่ในสถานะที่สามารถควบคุมได้ระดับหนึ่ง กล่าวคือ มีปริมาณผู้ติดเชื้อเพิ่มต่อวันไม่มากจนอันตราย มีจำนวนผู้เสียชีวิตที่อยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับปริมาณผู้ติดเชื้อสะสม และมีผู้หายจากการติดเชื้อที่อัตราสูง แต่ก็ใกล้เข้าสู่ห้วงเวลาสิ้นสุดลงของ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่จะสิ้นสุดลงในวันที่ 30เม.ย. 2563 นี้ ทำให้มีกระแสที่แตกออกเป็น 2 ฝ่าย ว่าควรมีการประกาศต่อเพื่อคงสถานะการแพร่กระจายของเชื้อให้อยู่ในสถานะควบคุมได้ กับอีกหนึ่งกระแสว่าควรผ่อนปรนความตึงเครียดได้แล้ว เพื่อให้ธุรกิจต่างๆ สามารถค้าขายได้ ลดผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อประชาชน
สิ่งที่ต้องคำนึงหลักๆของมาตรการที่จะออกมาเพื่อใช้หลังวันที่ 30 เม.ย.นี้ คือ
1.ประชาชนยังรับสภาพต่อได้ในระดับใดกับพ.ร.ก.ฉุกเฉินและการปิดธุรกิจบางประเภท
2.มาตรการการควบคุมโควิด-19 ที่ผ่านมา และหลังจากนี้ ว่าทำได้หรือไม่แค่ไหน และต้องการจะควบคุมอะไรอีกบ้าง?
ถ้าไม่ใช่ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน? เชื่อว่า ศบค. มีผู้เชี่ยวชาญที่สามารถดูแลเรื่องนี้ และให้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจแก่นายกฯ และครม.ได้เป็นอย่างดีว่าจะมีการประกาศใช้ต่อ หรือผ่อนปรนพ.ร.ก.ฉุกเฉิน โดยล่าสุดมีกระแสข่าวการเสนอให้ผ่อนปรนในบางส่วน เช่นในจังหวัดที่ไม่มีผู้ติดเชื้อ อาจเลือก 2-3 จังหวัดในการผ่อนปรนเพื่อทำเป็นจังหวัดนำร่อง หากมีผลที่ดีก็อาจให้มีการขยายไปสู่จังหวัดอื่นๆ
การจะประกาศให้ปิดหรือเปิดเมืองอาจต้องประกาศก่อนสิ้นสุดการบังคับใช้ฉบับเก่า แม้ว่าตามกฎหมายแล้วจะให้อำนาจนายกฯในการประกาศใช้ได้เลยก่อนนำเข้าที่ประชุมครม.ก็ตาม แต่เพื่อให้ประชาชนได้เตรียมตัวกลับไปทำงาน หรือเตรียมตัวเพื่อจะรับมือต่อเนื่อง จึงควรประกาศมาตรการแต่เนิ่นๆ เพื่อให้ประชาชนได้เตรียมรับมือถูก ทั้งหมดทั้งสิ้นแล้วชีวิตคนสำคัญที่สุด ซึ่งที่ผ่านมาก็ถือว่ารัฐบาลสอบผ่านมาตลอดในเรื่องการควบคุมการแพร่ระบาดและรักษาชีวิตประชาชน แต่ในระยะกลางหรือยาวหลังจากนี้จะไม่ใช่เพียงการติดเชื้อและเสียชีวิตที่ต้องให้ความสำคัญ แต่ต้องคำนึงถึงปัญหาต่อเนื่องของคนหาเช้ากินค่ำที่ได้รับผลกระทบจากการขาดรายได้ ที่ผ่านมารัฐบาลมีมาตรการดีแล้วที่ให้เงินช่วยเหลือผู้ว่างงาน หรือได้รับผลกระทบจากโควิด-19 โดยมาตรการแจกเงิน 5,000 บาท ที่ผ่านมาถือได้ว่าค่อนข้างตอบโจทย์ แต่ในขณะเดียวกันก็เห็นจุดอ่อนบางประการ คือการใช้ระบบจัดการ AI ในการคัดเลือกอาจจะไม่ทั่วถึงและกำลังสร้างความไม่พอใจในประชาชนบางกลุ่ม และเรื่องนี้อาจสร้างปัญหาในระยะยาวได้ เพราะมีฝ่ายการเมืองตรงข้ามรัฐบาลออกมาเล่นชี้นำ โดยนำความทุกข์ยากของประชาชนมาเป็นประเด็นทางการเมือง
ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลใด ประเทศใดก็มีผลกระทบทางเศรษฐกิจด้วยกันทั้งสิ้น เพียงแต่จะบริหารจัดการได้ดีเพียงใดเท่านั้น ซึ่งทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับพื้นฐานและระบบของประเทศ หากสังเกตประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศประชาธิปไตยและมีพื้นฐานและโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่ดีกลับเป็นประเทศที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตอันดับ 1 ของโลก และเมื่อมีการประกาศมาตรการปิดเมืองของแต่ละรัฐซึ่งแน่นอนว่าต้องกระทบต่อเศรษฐกิจและที่สำคัญกระทบต่อเสรีภาพในการใช้ชีวิตของประชาชน ทำให้มีประชาชนจำนวนหนึ่งไม่พอใจและออกมาประท้วงผู้ว่าการรัฐว่าออกมาตรการไม่จำเป็นและโควิดเป็นเพียงเรื่องโกหกเท่านั้น ซึ่งแสดงถึงปัญหาการสื่อสารระหว่างรัฐกับประชาชน
ยิ่งไปกว่านั้นประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังออกมาทวิตสนับสนุนให้ประชาชนออกมาเรียกร้องเสรีภาพมากกว่าสร้างความตระหนักรู้ถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดและการป้องกัน? นี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่สถานการณ์ในอเมริกาไม่มีแนวโน้มที่จะผ่อนคลาย ขณะที่ประเทศแบบจีนกำลังฟื้นตัวจากวิกฤติการแพร่ระบาดในเวลาอันสั้นมาจากมาตรการที่เด็ดขาด แม้จะมีการสะดุดไปบ้างแต่ก็ถือว่าตั้งตัวได้เร็ว เพราะฉะนั้นหลายคนจึงเชื่อว่าการบริหารวิกฤติต้องมีความเด็ดขาดหรือไม่? อย่างไรก็ตามต้องเยียวยาผลกระทบให้ถูกจุดถูกกลุ่มด้วย
นอกเหนือจากการเยียวยาจากภาครัฐ ภาคประชาสังคมก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่มีการออกมาช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ตั้งแต่การบริจาคของให้บุคลากรทางการแพทย์ บริจาคเงินให้กับโรงพยาบาล มีการตั้งโรงทานแจกจ่ายของอุปโภคบริโภคสำหรับผู้ที่ขาดรายได้ ยากจน และคนเร่ร่อน ที่มีหลายภาคส่วนออกมาแสดงจิตอาสาที่จะทำเพื่อสังคมล้วนแต่มีเจตนาดีทั้งสิ้น แต่บางครั้งการให้ของคนบางกลุ่มก็สร้างความสงสัยและเป็นที่ถกเถียงในสังคมได้ อย่างกรณีการแจกเงิน 2,000 บาท ของมารดานายธนาธรในพื้นที่สมุทรปราการที่พูดว่าเป็นการช่วยเหลือประชาชนในช่วงยากลำบาก
แต่ที่น่าสนใจคือการแจกเงินดังกล่าวกลับอยู่ในพื้นที่อำเภอบางพลี ซึ่งเป็นพื้นที่เขตเลือกตั้งที่กำลังจะมีการเลือกตั้งซ่อมในเร็วๆนี้ แม้จะมีผู้สนับสนุนออกมาให้ข้อมูลว่าพื้นที่ที่แจกเงินอยู่คนละตำบลกับเขตเลือกตั้งที่ 5 ก็ตาม เพียงแต่เป็นพื้นที่ใกล้เคียง แต่ที่น่าสนใจคือการแจกเงินในเขตอำเภอเดียวกันจะแยกได้อย่างไรว่าประชาชนมาจากพื้นที่ใด การช่วยเหลือกันในยามยากก็เป็นเรื่องที่ดีที่คนในสังคมช่วยเหลือกัน แต่การกระทำที่สุ่มเสี่ยงแบบนี้ หลายคนก็ตั้งคำถามว่าเป็นการหวังผลทางการเมืองหรือไม่? ซึ่งเรื่องนี้สุ่มเสี่ยงที่จะถูกวิพากษ์วิจารณ์หรือตั้งคำถามต่อประเด็นหรือเข้าข่ายการซื้อเสียงล่วงหน้าหรือไม่? ซึ่งอาจนำมาถึงการตรวจสอบต่อไป
แม้ว่าจะไม่ได้มีความเกี่ยวข้องในการบริหารพรรคใหม่อย่างพรรคก้าวไกล แต่ก็ยังมีความสัมพันธ์บางอย่างที่อาจทให้ถูกเชื่อมโยงหรือตั้งประเด็นได้
ยิ่งไปกว่านั้นมาตรการคืนเงินค่ามัดจำมิเตอร์ของการไฟฟ้าที่เป็นมาตรการในช่วงแรกที่ออกมาช่วยเหลือประชาชนซึ่งได้รับเสียงชื่นชมจากประชาชนเป็นจำนวนมาก แต่ก็ได้รับกระแสตีกลับเมื่อมีประชาชนจำนวนมากออกมาแสดงความไม่พอใจว่าค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นมากในเดือนนี้หลังจากทำงานที่บ้านมาเป็นเวลา 1 เดือน สาเหตุจากทั้งใช้เวลาที่บ้านมากขึ้นหลายเท่า และระบบการคำนวณค่าไฟฟ้าแบบขั้นบันได ยิ่งทำให้ประชาชนต้องแบกรับภาระมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้การไฟฟ้าอาจต้องกลับมาทบทวนมาตรการช่วยเหลือประชาชนอีกครั้ง หากมีการยืดระยะเวลาพ.ร.ก.ฉุกเฉิน รัฐควรอุดหนุนค่าใช้จ่ายอุปโภคที่จำเป็นหรือไม่? เพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับประชาชนผู้ได้รับผลกระทบและความน่าเชื่อถือของรัฐบาลในการแก้ปัญหา การออกมาตรการต่างๆ ล้วนมีเป้าหมายของมาตรการ แต่ต้องคำนึงให้รอบคอบว่าผลกระทบคุ้มค่ากับการบังคับใช้หรือไม่?
พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้าน ที่พึ่งออกมานับว่าเป็นเม็ดเงินที่เพียงพอต่อการบริหารช่วงเวลาวิกฤติ แต่ต้องคำนึงให้ดีถึงการใช้ที่เหมาะสม เช่นหากมีมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอีกก็ควรใช้เกณฑ์อาชีพเป็นหลักในการคัดกรอง เพราะทุกอาชีพล้วนมีการลงทะเบียนกับราชการตั้งแต่เกษตรกร ขับรถรับจ้าง ไม่เว้นแม้กระทั่งหาบเร่แผงลอย หากใช้มาตรฐานเป็นเรื่องอาชีพ และทำทีละส่วนจะทำให้ปัญหาเรื่องมาตรฐานในการเยียวยาชัดเจนขึ้น
และที่สำคัญคือรัฐต้องอาศัยวิกฤติครั้งนี้ในการสร้างบรรทัดฐานที่ถูกต้องให้กับประชาชนในรับโดยกระตุ้นการรับรู้เรื่องการลงทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมาย การอยู่ในระบบคือสิ่งที่ควรเป็นมากกว่าการอยู่นอกระบบ คนในระบบจึงควรได้รับการช่วยเหลือก่อน มาตรการเยียวยา 5,000 บาท ในรอบที่ผ่านมาเห็นได้ว่าเมื่อเราเอาทุกสาขาอาชีพมารวมกันนั่นยิ่งทำให้ยากแก่การแยกแยะผู้ได้รับผลกระทบจริงๆ ออกจากผู้แฝงตัว เพราะต้องยอมรับว่ามีผู้ได้รับผลกระทบจริงแต่ในทางกลับกันก็มีผู้ฉวยโอกาสในการหาผลประโยชน์จากช่องว่างของรัฐด้วย รัฐควรใช้โอกาสนี้ในการสร้างช่องทางการสื่อสารกับประชาชนผ่านช่องทางสมัยใหม่ และการลงทะเบียนทางออนไลน์ให้มากที่สุดเพื่อนำไปใช้ในการออกนโยบายและพัฒนาประเทศต่อไป ที่ผ่านมาประชาชนให้ความร่วมมืออย่างดีกับมาตรการต่างๆของรัฐอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องคำนึงถึงระยะยาวว่าจะทำเช่นไรต่อไปเพื่อให้ประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปได้....
“ความโกรธความยินดี มิได้ปรากฏออกมาภายนอก”
เล่าปี่ สามก๊ก ฉบับวณิพก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี