การออกมาตรการผ่อนคลายการควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อโควิด-19 โดยมีการผ่อนปรนในเรื่องของกิจการร้านตลาด ร้านจำหน่ายอาหาร กิจการค้าส่ง สวนสาธารณะ ร้านตัดผม/เสริมสวย ที่กำลังส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนโดยตรง ทั้งส่วนของชีวิตประจำวัน และการหมุนเวียนของระบบเศรษฐกิจที่น่าจะส่งผลเชิงบวกต่อสภาพเศรษฐกิจที่ฝืดเคืองในขณะนี้
โดยมีการคาดการณ์ว่าหากตัวเลขการแพร่กระจายของเชื้อโควิด-19 ลดลงอาจมีการคลายล็อกมากยิ่งขึ้นในลำดับต่อไป
ซึ่งมีเรื่องที่น่ากังวลต่อว่าแม้จะมีการบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ต่อไปอีกระยะหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ทำให้การเดินทางกลับภูมิลำเนาจากกรุงเทพฯ ในช่วงวันหยุดยาวลดลง จึงทำให้มีความกังวลว่าการแพร่กระจายของเชื้อจากการเดินทางข้ามจังหวัดอาจจะเพิ่มจำนวนผู้ติดเชื้ออย่างก้าวกระโดดในอีก 14 วันข้างหน้าหรือไม่? และจะทำให้มาตรการการคลายล็อกต้องหยุดลงอีกหรือไม่? ซึ่งอาจยิ่งซ้ำเติมสภาพเศรษฐกิจที่ฝืดเคืองเข้าไปอีกพร้อมไปกับความเสี่ยงที่กระบวนการทางสาธารณสุขที่กำลังดำเนินอยู่จะสะดุด
มาตรการทางเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมากำลังตกเป็นเป้าโจมตีทางการเมือง ทั้งมาตรการแจกเงินเยียวยา 5,000 บาท ที่ถูกนำมาเป็นประเด็นการเยียวยาที่ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลโจมตีว่าไม่ทั่วถึง เหมือนฝนตกไม่ทั่วฟ้า และโยงไปสู่ปัญหาการฆ่าตัวตายของประชาชนจำนวนหนึ่งในสังคม กรณีที่ชัดเจนว่าเป็นการผูกชีวิตของประชาชนเข้ากับการเมืองอย่างชัดเจน คือ กรณีที่มีการเปิดเผยว่ามีการฆ่าตัวตายเนื่องจากไม่มีเงินและไม่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาล โดยมีชื่อนายทักษิณ บิ๊กบอสใหญ่เป็นเจ้าภาพงานศพ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นความตั้งใจหรือไม่ การกระทำเช่นนี้ย่อมมีผลทางการเมืองที่ตามมา
หรือกรณีการโจมตีผ่านทวิตเตอร์ “ทำไมไม่ได้ 5,000?” ซึ่งเป็นแคมเปญของ สส. พรรคหนึ่งเรื่องมาตรการการแจกเงินเยียวยาของรัฐบาล ในสัปดาห์ก่อนแต่เมื่อเวลาผ่านไปได้ไม่นาน แกนนำกลุ่มก้าวหน้า อย่านายธนาธร นายปิยบุตร และนางสาวพรรณิการ์ ได้ออกมาทำการเรี่ยไรเงินเพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับผู้ได้รับผลกระทบโควิด-19 คนละ 3,000 บาท โดยมียอดการบริจาคกว่า 7.2 ล้านบาท ซึ่งนำมาแจกจ่ายผ่านระบบการไลฟ์เฟซบุ๊คได้ 2,427 คน ซึ่งเป็นที่ตั้งคำถามว่าการแจกเงิน 3,000 บาทนี้ เป็นการชี้ชวนให้เข้ามาฟังการปราศรัยออนไลน์ทั้งที่เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นการโจมตีการบริหารงานของรัฐบาลหรือไม่? ซึ่งทำให้มีการเข้าไปลงทะเบียนของประชาชนกว่า 5 ล้านคน ซึ่งนับว่าเกินความคาดหมายของทางกลุ่มก้าวหน้าไปมาก จนทำให้นางสาวพรรณิการ์ต้อง
ออกมาประกาศปิดโครงการ และพูดประมาณว่ากลุ่มตนเองไม่ใช่รัฐบาลไม่สามารถช่วยเหลือได้ทุกคน
แต่ก็ไม่สามารถหยุดกระแสความไม่พอใจจากประชาชนที่ไม่ได้รับเงินเป็นจำนวนมาก ทั้งเรื่องความไม่ชัดเจนของกติกาและสุดท้ายบอกว่าเป็นการสื่อสารที่ผิดพลาดของแกนนำ จากที่จะได้เป็นอัศวินขี่ม้าขาวมาช่วยคนยากจน จะกลายเป็นอัศวินตกม้าหรือไม่? ยิ่งไปกว่านั้นนายศรีสุวรรณ เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้ยื่นร้องเรียนต่อกรมการปกครอง ให้ตรวจสอบการระดมทุนรับบริจาคเมื่อครั้งที่ผ่านมาว่าได้มีการขออนุญาตตามพ.ร.บ.ควบคุมการเรี่ยไร พ.ศ.2487 หรือไม่? และบัญชีที่รับบริจาคเป็นบัญชีส่วนตัวนางสาวพรรณิการ์ต้องทำการจ่ายภาษีเงินได้หรือไม่? ซึ่งภาครัฐจะต้องมีการตรวจสอบต่อไป
ซึ่งเมื่อพูดในมุมรัฐบาลมาตรการการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ทั้งในส่วนของเงินเยียวยา 5,000 ที่ออกไปก่อนหน้านี้แล้ว ก็ยังมีมาตรการของประกันสังคม และมาตรการการเงินอื่นๆที่ออกมาเพื่อลดรายจ่ายของประชาชน ซึ่งเป็นเม็ดเงินงบประมาณที่สูง จนต้องมีมาตรการการออก พ.ร.ก. เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ที่มีบางกลุ่มออกมาพูดถึงการก่อหนี้ของรัฐบาลว่ามหาศาลมากกว่าทุกรัฐบาลที่ผ่านมา แต่เมื่อดูกันตามรายละเอียดแล้วจะเห็นว่าการกู้เงินไม่ได้เต็มจำนวน 1 ล้านล้านบาท หากแต่เป็นการอนุมัติกรอบวงเงินบางส่วนเพื่อให้ธนาคารแห่งประเทศไทย และกระทรวงการคลังสามารถออกมาตรการทางการเงินได้ตามวงเงิน
และหากพูดถึงการกู้เงินของรัฐบาลเมื่อเทียบกับรัฐบาลก่อนๆ ว่ามีการกู้มากเป็นประวัติกาล ต้องทำความเข้าใจว่าการกู้เงินเกิดขึ้นในทุกรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นการกู้เพื่อลงทุน การกู้เพื่อใช้จ่ายในเงินงบประมาณแผ่นดิน หรือการกู้เพื่อบริหารวิกฤติเศรษฐกิจอย่างเช่นในปัจจุบัน ซึ่งสาระสำคัญไม่ใช่ว่ากู้มากเพียงใดแต่สาระสำคัญคือการกู้เงินดังกล่าว กู้ไปเพื่ออะไร? หรือความสามารถในการชำระหนี้ของรัฐบาลมีมากน้อยเพียงใดที่จะไม่ก่อหนี้ผูกพันระยะยาวให้กับประเทศ ซึ่งการกู้ในปัจจุบันเป็นการกู้เพื่อบริหารสถานการณ์วิกฤติมีความจำเป็นในการกู้เพื่อช่วยเหลือประชาชน ไม่เหมือนกับในกรณีของการออกนโยบายจำนำข้าว ในสมัยหนึ่งที่ทำให้เกิดหนี้ที่ต้องจัดทำงบประมาณแผ่นดินเพื่อชำระหนี้ที่เกิดจากการบริหารงานที่ผิดพลาด และเกิดการทุจริตส่งผลกระทบต่อประเทศและประชาชนในเวลาต่อมา
โดยงบประมาณที่มีการออก พ.ร.ก. กู้เงินดังกล่าวจะมีการนำเข้าสภาในวันที่ 22 พ.ค. นี้เป็นวาระแรกเนื่องจากเป็นเรื่องเร่งด่วน และจะต้องผ่านการเห็นชอบของสภาเพื่อแปลงสภาพของ พ.ร.ก. ให้เป็น พ.ร.บ. และต่อด้วยการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 ที่มีการจัดทำไว้ข้างต้นแล้ว ซึ่งช่วงที่ผ่านมาก็ได้มีการทบทวนงบประมาณปี’64 ของรัฐบาลโดยให้แต่ละกระทรวงลดงบประมาณในส่วนที่ยังไม่เร่งด่วนเพื่อนำงบมาบริหารประเทศในสถานการณ์วิกฤติ ซึ่งก็มีแรงกระเพื่อมเล็กน้อยจากพรรคร่วมรัฐบาล ที่มีข่าวว่าหลังจากหมดโควิด-19 แล้วจะมีการปรับครม.ครั้งใหญ่ ด้วยผลงานที่ผ่านมาซึ่งนั่นทำให้พรรคร่วมหลายพรรคกำลังเตรียมตัวกับการเมืองระลอกใหม่หลังวิกฤติโควิดผ่านพ้นไป
การตัดงบประมาณของหลายกระทรวงกำลังแสดงนัยยะแอบแฝงหรือไม่? ถึงความสำคัญของพรรคการเมือง หรือรัฐมนตรีคนนั้นๆ หรือในมุมมองกลับกันการตัดหรือไม่ตัดงบประมาณ แสดงถึงความสามารถในการต่อรองของพรรคร่วมรัฐบาลว่าแต่ละพรรคมีความสัมพันธ์อันดีกับ นายกฯ และพรรคพลังประชารัฐหรือไม่? ซึ่งไม่ว่าจะอย่างไร นายกฯประยุทธ์ก็ยังสามารถควบคุมสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี มีเพียงศึกภายนอกที่ต้องเตรียมตัวในศึกการอภิปรายไม่ไว้วางใจรอบที่ 2 ซึ่งคาดการณ์ว่าน่าจะมีการหยิบยกประเด็นการบริหารในสถานการณ์ฉุกเฉินขึ้นมาเป็นประเด็นอภิปรายด้วย
โดยเฉพาะประเด็นการกักตุนหน้ากากของกระทรวงพาณิชย์ที่สร้างความสงสัยให้กับสังคมเป็นอย่างมากในช่วงแรก
ของการรับมือกับสถานการณ์โควิด ซึ่งคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตมิชอบกำลังรวบรวมหลักฐาน
การตรวจสอบ เมื่อเปิดสมัยประชุมที่ประชุมคณะกรรมาธิการจะเชิญผู้เกี่ยวข้องทั้งฝ่ายการเมือง และฝ่ายข้าราชการประจำมา
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมอีกครั้ง เรื่องนี้จะกลายเป็นเป้าโจมตีในการอภิปรายหรือไม่? และกระแสข่าวการเคลื่อนไหวของพรรคฝ่ายค้านที่ออกมาโจมตีรัฐบาล ทั้งเรื่องมาตรการ เรื่องการใช้งบประมาณ และปรับลดงบประมาณ รวมถึงการกู้เงิน หลังจากนี้รัฐบาลจะต้องรีบหาแนวทางตั้งรับให้ดี เพราะอาจช้าจากการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน จนหลงลืมเกมการเมืองที่พร้อมเขย่าเก้าอี้รัฐบาลเสมอ
การประกาศคลายล็อกในช่วงแรกช่วยให้ประชาชนบางส่วนได้กลับมาทำงานและใช้ชีวิตปกติมากขึ้น แต่ก็อาจส่งผลให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อกลับมาเพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนหน้าหรือไม่? รัฐบาลอาจจะต้องดูแลอย่างใกล้ชิด และออกมาตรการอย่างรัดกุมเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับรัฐบาลในการแก้ปัญหาครั้งนี้ รวมไปถึงโจทย์สำคัญว่าหลังจากทุกอย่างผ่านพ้นไป รัฐบาลจะมีมาตรการใดที่จะใช้ในการฟื้นฟูประเทศ เรียกความเชื่อมั่นจากทั้งประชาชนและนักท่องเที่ยวให้กลับมาคึกคักได้เหมือนดังเดิม...
“ไม่มีสิ่งใดเพียบพร้อม ซึ่งถือเป็นเรื่องธรรมดา”
ขงเบ้ง สามก๊ก ฉบับวณิพก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี