ผมเป็นคนหนึ่ง ที่มีความเห็นว่า กิจกรรมฉายเลเซอร์ตามสถานที่ต่างๆ ในกรุงเทพมหานคร ที่ “คณะก้าวหน้า” ออกมายอมรับว่าเป็นเจ้าภาพงานนี้ ไม่ใช่การ “ตามหาความจริง” ที่แท้จริง
เป็นเพียงปฏิบัติการ “อำพราง” อ้างวาระครบรอบ 10 ปี เหตุการณ์การสลายการชุมนุมปี 2553 มา“หาประโยชน์” ทางการเมืองของตนเท่านั้น และฉวยโอกาสนี้ยัดเยียด “ชุดข้อมูล” ที่เลือกแล้วของตน ยัดใส่เข้าไปในหัวสาวกหรือผู้ติดตามที่ “หย่อนประสบการณ์” ไม่ได้ร่วมอยู่ในเหตุการณ์ และไม่ได้ศึกษาเหตุการณ์อย่างถ่องแท้ซึ่งมีการ “หาความจริง” ไว้แล้ว ในคณะทำงานที่เรียกว่า คอป. ที่มี ดร.คณิต ณ นคร ทำรายงานไว้อย่างละเอียดถี่ถ้วน
ยังไม่รวมการ “หาความจริง” ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ที่ก็ทำไว้ด้วย แม้จะมีข่าววงในว่า ลบบางส่วนออกไปเองบ้างก็ตาม ก็นำมาเป็นข้อมูลประกอบการ“อยากรู้ความจริง” ได้
เพียงแต่คณะทำการ “ตามหาความจริง” รอบนี้จะละวางอคติ และมี “ความจริงใจ” สักหน่อย กิจกรรมนี้ก็คงจะมีประโยชน์ ต่อการเรียนรู้ของเราทุกคน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ๆ ที่เริ่มสนใจทางการเมือง พวกเขาควรได้รับการ “ปลุกเร้าทางปัญญา” มากกว่า “ปลุกเร้าทางอารมณ์” เพื่อให้เกลียดคนนั้น และรักคนนี้
การดำเนินบทบาททางการเมืองแบบนี้ เป็นวิธีสกปรก เลวทราม และไม่ช่วยทำให้ปัญหาทั้งหลายคลี่คลายได้ เป็นการ “ฉวยโอกาส” บนความไม่รู้ของผู้ติดตาม ซึ่งนับเป็นความเห็นแก่ตัวและเป็นสันดานทรามทางการเมือง ที่เป็นต้นตอของปัญหาทั้งปวง
ในรายการ “หน้าหนึ่งที่เมืองไทย” ซึ่งออกอากาศทุกวันจันทร์ถึงวันศุกร์ เวลา 15.30-16.35 น. ทางช่อง NEW18 กับเวลา 18.00-19.00 น. ทางช่อง “ฟ้าวันใหม่”
ผมได้มีโอกาสสนทนากับอดีตนายกรัฐมนตรี ที่อยู่ในเหตุการณ์หนึ่งของคณะตามหาความจริงนี้ นั่นคือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะซึ่งประเด็นหนึ่งที่ได้ซักถามนายอภิสิทธิ์ ก็คือเรื่อง“ตามหาความจริง” นี่เอง นายอภิสิทธิ์ได้แสดงทรรศนะอะไรไว้บ้าง ลองอ่านกันดูนะครับ
โดยนายอภิสิทธิ์เริ่มจากการให้เหตุผลว่า ที่มีกิจกรรมนี้ขึ้นมา ก็พอเข้าใจได้ว่า มาตามวาระคือ
“ก็ต้องบอกว่า มันครบ 10 ปีนะครับ การรำลึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ นั้น ก็เกิดขึ้น มีอยู่ และทำกันเป็นประจำอยู่แล้ว แต่พอครบ 5 ปี 10 ปี ก็เป็นธรรมดาสำหรับคนที่อยากจะทำกิจกรรมเหล่านี้ ก็จะถือว่าเป็นโอกาสพิเศษ
...ผมต้องเรียนอย่างนี้นะครับ ว่า หลักการตามหาความจริง สำหรับผม มันเป็นสิ่งที่ดี ผมไม่ได้คิดว่า ประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะในช่วงใดก็ตาม ควรจะถูกปกปิด และผมก็เชื่อเช่นเดียวกันว่า การตามหาความจริง จะเป็นประโยชน์ ถ้าเรารู้จักใช้มันในการป้องกันเหตุในอนาคต หรือพยายามที่จะนำมันมาเป็นเครื่องมือในการสร้างความปรองดอง
...ปัญหาที่ผมเห็นในสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ ก็คือ กลุ่มที่เคลื่อนไหวเรื่องตามหาความจริงนี้ ไม่ได้มากับการเรียกร้องเรื่องการตามหาความจริงเฉยๆ แต่เริ่มมีการใช้ทั้งวาทกรรม ซึ่งพูดง่ายๆ เหมือนมีการตั้งธงว่า ความจริงเป็นอย่างนี้ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่มีการโต้แย้งกันเต็มไปหมด ผมก็เลยไม่อยากให้มันเป็นบรรยากาศที่ไปสร้างความขัดแย้ง เพราะใจผม ผมสนับสนุนอยากจะให้มันเกิดความจริง
...ต้องอธิบายด้วยว่า ผมคิดอย่างนี้มาตั้งแต่ต้น จึงเห็นได้ว่า เหตุการณ์เมื่อปี 2552 กับ 2553 ซึ่งความจริงกลุ่มที่พยายามตามหาความจริงนี้ ได้นำไปต่อเป็นชุดเดียวกันกับเหตุการณ์เดือนตุลาคมปี 2516 เหตุการณ์พฤษภาทมิฬปี 2535 แต่จะไม่นับบางเหตุการณ์ เช่น การสูญเสียของการชุมนุม กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยการสูญเสียในการชุมนุมของกลุ่ม กปปส.
...ก็ต้องบอกว่า ให้ดูให้ดีว่า เหตุการณ์ในปี2552-2553 นั้น มันมีความแตกต่างไปจากเหตุการณ์อื่นๆ ที่พยายามจะหยิบยกมาประกอบ ที่มีนัยสำคัญ ที่ผมยืนยันได้ จากการปรากฏข้อมูลในศาลก็ดี ในรายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริงก็ดี มันเป็นการชุมนุมที่มีกลุ่มก้อนของคนที่ติดอาวุธแฝงอยู่ด้วย ดังนั้น การจัดการกับการชุมนุมแบบนี้ แทบจะเรียกได้ว่า ในกรณีอื่นๆ มันไม่ได้เป็นแบบนี้
...ประการที่สอง การจัดการกับปัญหาในขณะนั้น รัฐบาลของผมซึ่งได้รับการเลือกมาจากสภา หลังจากที่มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเรื่องการยุบพรรคบางพรรคไปแล้วตามกฎหมาย ซึ่งก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ชุมนุมไม่พอใจผมเข้าใจว่า ผมน่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีคนเดียวมั้งครับที่นั่งเจรจากับแกนนำ เพื่อพยายามหาทางออกอย่างเปิดเผยมีการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ แต่ว่า ทางฝ่ายแกนนำผู้ชุมนุมเป็นฝ่ายขอเลิกกระบวนการนี้ไป
...นอกจากนั้น ผมก็ยังเป็นคนที่เสนอฝ่ายเดียวด้วย หลังจากที่เลิกเจรจาไปแล้ว ว่าข้อเรียกร้องให้มีการยุบสภานั้น ผมจะทำการยุบสภาในเดือนไหน อย่างไร ให้ได้แก้ไขปัญหาที่สำคัญๆ ของประเทศชาติและประชาชนให้ลุล่วงก่อน ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องการว่างงาน และอื่นๆ โดยที่ผมก็พยายามเจรจาอย่างต่อเนื่อง
...ขณะเดียวกัน เรื่องความสูญเสียที่ก็ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นนั้น ก็เกิดขึ้นครั้งใหญ่ครั้งแรกในวันที่ 10 เมษายน ที่สี่แยกคอกวัว ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ทางเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปผลักดันขอคืนพื้นที่ ซึ่งความสูญเสียที่เกิดขึ้นนั้น มันเริ่มจากการมีการยิงระเบิดเข้ามายังจุดที่ทหารพัก ซึ่งเป็นเวลาที่เจ้าหน้าที่รัฐหยุดการหยุดผลักดันและกำลังถอยกลับก็มาเกิดกลุ่มติดอาวุธเข้ายิง มีการต่อสู้กัน และเกิดความสูญเสียขึ้น เช่น การเสียชีวิตของพันเอกร่มเกล้าธุวธรรม ยศในขณะนั้น
...หลังจากนั้น รัฐก็ใช้มาตรการปิดล้อม แต่ไม่ได้เข้าไปในที่ชุมนุม ปัญหาสำคัญก็คือ มันมีบางจุดที่ข้อมูลว่ามีกลุ่มติดอาวุธและเป็นที่เก็บอาวุธอยู่ ก็คือ ตรงสวนลุมพินี ก็จึงเข้าไป เข้าไปจัดการตรงนั้น ไม่ได้เข้าไปสลายการชุมนุมที่แยกราชประสงค์นะครับ ซึ่งผู้นุมนุมโดยแกนนำเขาตัดสินใจเลิกการชุมนุมเอง เมื่อเขาเลิกการชุมนุม ก็มีคำสั่งอีกว่า ทหารไม่ควรเข้าไปในพื้นที่ตรงนั้น เพราะเหลือเพียงกระบวนการจัดการว่าจะทำยังไงให้คนกลับบ้านได้ แต่แล้วก็เกิดปัญหาเรื่องไฟไหม้ขึ้น แล้วก็มีปัญหาเรื่องรถดับเพลิงรถพยาบาล ที่ถูกยิงสกัดไม่ให้เข้าไปในพื้นที่นั้นได้ แล้วก็มาเกิดเหตุที่วัดปทุมวนารามขึ้น อันนี้เล่าเพื่อให้เห็นภาพนะครับว่า มันต่างจากเหตุการณ์ปี’16 ปี’35 อย่างไร
...ที่สำคัญนะครับ เมื่อเหตุการณ์จบลง รัฐบาลผมไม่เคยออกกฎหมายนิรโทษกรรม รวมทั้งไม่มีการนิรโทษกรรมให้แก่ฝ่ายรัฐเองด้วย แต่ให้มีการตรวจสอบ โดยมีการตั้งคณะกรรมการอิสระขึ้นมาสอบข้อเท็จจริง ซึ่งทำงานเลยพ้นจากรัฐบาลผมมาเสร็จสิ้นในรัฐบาลชุดต่อมา
...มีการดำเนินคดีกับผม กับคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ และมีการยื่นเรื่องกับ ป.ป.ช.ด้วย ซึ่งในที่สุดศาลยกฟ้อง ป.ป.ช.ยกคำร้อง ผมต้องบอกว่า ความจริงหลายอย่างที่ไม่ปรากฏ ส่วนหนึ่งเกิดขึ้นเพราะรัฐบาลต่อจากผม มุ่งมั่นที่จะดำเนินคดีกับผมกับคุณสุเทพเท่านั้น จึงไปตั้งรูปคดีว่าไม่ต้องไปค้นหาหรอกว่าการเสียชีวิตของแต่ละคนนั้นเกิดจากอะไร โดยอ้างรวมๆ ว่า การเสียชีวิตที่เกิดขึ้น เพราะผมมีคำสั่งตั้ง ศอฉ. มีคำสั่งของคุณสุเทพในเรื่องของการปฏิบัติการ ซึ่งก็ได้ไปพิสูจน์ความจริงกันในศาลแล้ว ว่าคำสั่งของคุณสุเทพมีอะไรอย่างไรบ้าง เช่น ให้ใช้อาวุธได้เฉพาะกรณีป้องกันตัว ถ้าจะยิงต้องยิงในจุดที่ไม่เป็นอันตรายร้ายแรง เช่น ยิงต่ำกว่าระดับเข่า เป็นต้น คดีตรงนั้นจึงจบไป เมื่อพิสูจน์ความจริงกันแต่ผมจำได้ว่า ป.ป.ช. แม้ยำคำร้องในส่วนของผมกับคุณสุเทพ แต่ก็ได้ระบุว่า คดีอื่นๆ ที่เป็นความสูญเสียรายบุคคลนั้น ต้องให้ดีเอสไอไปเริ่มดำเนินการสอบสวน เพื่อหาผู้กระทำผิดมาลงโทษต่อไป เพื่อให้ได้ความจริงว่า การเสียชีวิตตรงนั้น เป็นฝีมือของใคร เป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุหรือไม่ อย่างไร คดีในส่วนนั้นไม่ได้ยุติไปกับการยกคำร้องของ ป.ป.ช. แต่ในที่สุด เรื่องนี้ก็ไม่เกิดขึ้น เพราะรัฐบาลต่อมา มุ่งแต่จะเอาผิดผมกับคุณสุเทพ และบอกว่า เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญ นี่คือข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น
...ที่แปลกที่สุดก็คือ รัฐบาลต่อมา มีการเสนอกฎหมายนิรโทษกรรม ซึ่งเป็นการยุติการค้นหาความจริงโดยสิ้นเชิง และพยายามจะให้เรื่องทั้งหมดมันจบไปเลย ซึ่งผมเองเป็นคนคัดค้านคนหนึ่ง ว่าไม่ควรจะนิรโทษกรรม ควรจะค้นหาความจริงต่อไป และให้ความยุติธรรมแก่ผู้สูญเสียทั้งหมด และก็น่าแปลกว่า คนที่พยายามจะกล่าวหาและเอาผิดผม เอาผิดคุณสุเทพ กลับไม่คัดค้านกฎหมายนิรโทษกรรมนี้เพราะว่าพร้อมที่จะได้รับประโยชน์จากคดีอื่นๆ ที่อาจเป็นโทษแก่ตน และรวมไปถึงคดีทุจริตคอร์รัปชั่นด้วย
...เพราะฉะนั้น ผมขอบอกว่า ผมอยู่ในฝ่ายที่อยากให้มีการตามหาความจริง และผมก็อยากให้การหาความจริงนี้มันเปิดใจกัน เพราะผมคิดว่า มันไม่ควรจะมีเหตุการณ์แบบนี้อีก และผมก็พูดมาเสมอว่า ทุกคนทุกฝ่ายควรจะต้องมีส่วนรับผิดชอบ มากน้อยอาจจะต่างกัน เราไม่ปฏิเสธตรงนี้ แต่ถ้าเราเริ่มกระบวนการตามหาความจริงด้วยการกล่าวหาแต่เพียงฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ผมคิดว่ามันไม่นำไปสู่การค้นหาความจริงด้วย มันกลายเป็นการสร้างความขัดแย้งมากกว่า การสร้างความปรองดองเพื่อพบความจริง หรือมากกว่าการได้ข้อสรุปเพื่อป้องกันเหตุการณ์ทำนองนี้ในอนาคตได้ครับ จึงอยากให้ทุกฝ่ายได้ใช้แนวทางที่เป็นความพยายามตามหาความจริงที่มันจริงๆ กันน่ะครับ” นายอภิสิทธิ์กล่าว
มีผู้ชมถามว่า “นึกว่าพี่มาร์คจำไม่ได้แล้ว เพราะก่อนเลือกตั้งและเมื่อเร็วๆ นี้ ก็เห็นไปจับมือกับพรรคพวกเสื้อแดง แต่วันนี้พวกมันกลับมาลอยหน้าย้อนถาม แล้วนี่
พี่จะไปจับมือกับพวกมันอีกเปล่า?”
นายอภิสิทธิ์หัวเราะ และตอบคำถามนี้ว่า
“ผมเรียนอย่างนี้นะครับ ว่า เป็นเรื่องแปลกที่สังคมปัจจุบัน จะมีคนกลุ่มหนึ่งที่ต้องการให้มันมีการแบ่งพวก แตกแยกกันอย่างต่อเนื่อง โดยการเอาภาพมาใช้เป็นเครื่องมืออย่างปราศจากการอธิบาย ผมเห็นตอนนี้ที่พูดกันมากมีอยู่ 2 ภาพ ภาพหนึ่งก็คือ ภาพที่ผมไปออกรายการของเวิร์คพ้อยท์ เมื่อสัปดาห์หรือสองสัปดาห์ก่อน ซึ่งเขาเชิญคุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ก่อนผม โดยใช้ระบบ ZOOM แล้วเขาก็เอาผมเข้าไปก่อนที่คุณธนาธรจะออกไป แล้วเขาก็บอกว่าทักทายกันเสียหน่อย ก็มีการเอาภาพนี้ไปบิดเบือน ว่า เนี่ย เจ๊าะแจ๊ะอะไรกันไม่รู้ อย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งก็เป็นเรื่องแปลก
กับอีกภาพหนึ่ง เป็นภาพการจับมือ ในช่วงหาเสียงก่อนการเลือกตั้งที่ธรรมศาสตร์ ที่ผมไปดีเบต โดยที่ผมมีจุดยืนที่ชัดเจนมาแต่ไหนแต่ไรแล้วนะครับ ว่า นักการเมืองที่ดี ต้องพร้อมไปขึ้นเวทีดีเบต แล้วต้องสามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคนที่เห็นไม่ตรงกับเราได้ มิฉะนั้นบ้านเมืองจะเป็นประชาธิปไตยไม่ได้
บังเอิญในการดีเบตวันนั้น มีการเรียกร้องให้แสดงจุดยืนเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ผมเป็นคนที่ประกาศตั้งแต่ตอนที่รัฐธรรมนูญเขียนเสร็จ ว่าผมไม่สนับสนุน และเห็นว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ควรจะมีการแก้ไข เพราะฉะนั้นผมก็ยืนจุดยืนของผมเหมือนเดิมว่า ผมสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ผู้จัดดีเบตวันนั้นก็บอกว่า พรรคการเมืองที่ต้องการให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้ยืนขึ้น จับมือกัน เพื่อแสดงตนว่าต้องการให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งทุกพรรคที่มีจุดยืนนี้ก็ลุกขึ้นยืนและจับมือกัน เท่านั้นเองครับ ผมไม่ทราบว่ามันจะเป็นปัญหาอย่างไร อะไรที่เป็นความต่าง ก็ยังคงเป็นความต่าง ผมไม่ได้มีประเด็นที่ว่าจะต้องไปสมคบคิดอะไรกับใครทั้งนั้น เพราะฉะนั้น ผมว่าเราอยู่บนเหตุบนผลกันดีกว่า แล้วมาช่วยกันให้สังคมได้ตั้งหลัก ไม่ดีกว่าหรือครับ
มันไม่ได้แปลว่า เราจะต้องไปเห็นด้วยกับทุกคนนะครับหรือว่าทุกคนต้องมาเห็นด้วยกับเรา แต่ต้องอยู่ด้วยกันได้และอยู่แบบมีหลักการนะครับ ซึ่งผมยืนยันว่าผมทำอย่างนั้นมาตลอด”
นั่นคือความเห็นของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ครับผมอยากจะย้ำในท้ายที่สุดของบทความนี้ว่า การผลักดัน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ชินวัตร ที่มีแกนนำ นปช. เข้าไปอยู่ในสภามากที่สุดคือช่วงเวลาที่ควร “ตามหาความจริง” ให้คนรุ่นหลังได้รู้ด้วยว่า “เลวทราม” เพียงใด
เพราะเนื้อหาของกฎหมายคือการ “ยุติการค้นหาความจริงให้หมด” ชนิดที่ว่า หากคดีเข้าสู่กระบวนการของศาลแล้ว ยังใส่ให้ยุติ เลิกพิจารณาหาความเป็นธรรมเลยนะครับครอบครัวของคนตายทุกครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน ทหาร ประชาชน สื่อมวลชน ฯลฯ จงตายไปเสีย ลืมมันซะ“นิรโทษกรรม” ไปให้หมด รับเงินเยียวยาแล้วอยู่เงียบๆใช้ชีวิตต่อไป แถมแทรกการนิรโทษกรรมแกนนำด้วยและต่ำทรามที่สุด คือการยัดการนิรโทษกรรมคดีทุจริตเข้าไปด้วย อันนี้ “คณะก้าวหน้า” กล้าหาญที่จะ “ตีแผ่” บ้างสักครั้งไหม?
และคณะก้าวหน้า ผู้จุติมาจากสวรรค์ เพื่อลงมาเชิดชูระบบและระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทย กล้า “หาความจริง” และ “ตีแผ่” กระบวนการผลักดันให้ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ผ่านการพิจารณาเอาตอนตีสี่ตีห้าในสภา ให้ยุวชนคนรุ่นหลังได้รู้ไหม ว่าเลวทรามเพียงใดในการใช้เสียงส่วนใหญ่ของสภามาทำให้กฎหมายผ่าน ไอ้ที่พรรคอนาคตใหม่เจอมาในสภาเมื่อเร็วๆ นี้ แล้วมาแถลงข่าวขบกรามเดือดดาลกันนั้น มัน “ขี้ตีน” ไปเลย
แล้วช่วยตามหาความจริงให้ด้วยนะว่า แกนนำ นปช. ที่อยู่ในสภา เมียแกนนำที่ได้เสวยตำแหน่ง และลูกสาวทหารคนหนึ่งที่ “พ่อเธอตาย” ทำไมเธอทำได้แค่ “งดออกเสียง”กฎหมายที่ทำให้พ่อของเธอตายฟรี ที่ทำให้มวลชนประชาธิปไตยของพวกเขาเจ็บและตาย โดยไม่มีกระบวนการค้นหาความจริงและให้ความเป็นธรรมให้ถึงที่สุด รวมทั้งให้ความเป็นธรรมกับครอบครัว “อัคฮาด” และ “พ่อน้องเฌอ”ด้วย ที่ไม่อาจได้เข้าไปสู้ในสภาเหมือนคนพวกนั้นด้วย
นี่ต่างหาก ความจริงที่ต้องค้นหา เพราะหากไม่มี “สลิ่ม” ของพวกคุณออกมา “เป่านกหวีด” กฎหมายฉบับนั้นถูกบังคับใช้ ก็ไม่มีความจริงอะไรให้พวกคุณตามหาอีกเลย เพราะมันจะถูกฝังกลบ จบสิ้นด้วยกระบวนการของ “สภาประชาธิปไตย” ที่คุณเชิดชู!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี