นักร้อง นักดนตรีตามร้านอาหาร ผับ บาร์ สถานบันเทิงต่างๆ ในยามค่ำคืน เป็นหนึ่งในอาชีพที่ได้รับผลกระทบโดยตรง จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ภาครัฐต้องออกมาตรการป้องกัน กิจการที่สุ่มเสี่ยงจะเกิดการแพร่ระบาดเพราะผู้คนเข้าไปแออัดใกล้ชิดต้องปิดชั่วคราว
1. พนักงาน รวมถึงนักร้อง นักดนตรีตามร้านอาหาร ผับ บาร์ สถานบันเทิงต่างๆ ที่ถูกปิดชั่วคราว มีสิทธิได้รับได้การช่วยเหลือ “เราไม่ทิ้งกัน” ซึ่งขณะนี้ จ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประกอบอาชีพอิสระที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ไปแล้วราว 16 ล้านคน
เงินช่วยเหลือ 5,000 บาท/เดือน เป็นระยะเวลา 3 เดือน รวม 15,000 บาท แน่นอนว่าเทียบไม่ได้กับรายได้ตามปกติ แต่นี่คือเงิน “ช่วยเหลือเยียวยา” เหมือนการช่วยเหลือ“ผู้ประสบภัย” เปรียบกับน้ำท่วม ไฟไหม้ แผ่นดินไหว ฯลฯ เพียงเพื่อประคับประคองเยียวยาเฉพาะหน้า ควบคู่ไปกับการช่วยเหลือลดรายจ่ายอื่นๆ
ในจำนวนนี้ น่าจะมีนักร้องนักดนตรีกลางคืน ได้รับความช่วยเหลืออยู่จำนวนหลายพันหรืออาจจะเรือนหมื่นคน
2. หลังจากนี้ ทราบว่า กระทรวงการคลัง โดยนโยบายของรัฐบาลลุงตู่ ก็เตรียมจะเร่งเข้าไปเพิ่มเติมความช่วยเกลือแก่ “กลุ่มเปราะบาง” อีกจำนวนนับ 10 ล้านคน ไม่ว่าจะเป็นเด็กแรกเกิด ผู้สูงอายุ คนพิการ คนชายขอบ ฯลฯ
และทราบว่า จะรวมถึงกลุ่มผู้ประกอบอาชีพด้านกีฬาอาชีพต่างๆ ด้านศิลปวัฒนธรรม การแสดงพื้นบ้าน หมอลำ ลิเก ฯลฯ ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ด้วย นับเป็นเรื่องที่ควรเข้าไปช่วยเหลือโดยเร็วอย่างยิ่ง
3. ผู้คนในกลุ่มอาชีพ “อิสระ” ซึ่งมีข้อดี คือ เป็นอิสระ มีความสะดวกในการใช้ชีวิตแต่ก็มีจุดอ่อน คือ ความเปราะบางในแง่ของความมั่นคงทางอาชีพและรายได้
น่าคิดว่า ในชุมชนผู้ประกอบอาชีพนักดนตรีกลางคืนเช่นนี้ จะสามารถสร้างโครงข่ายทางสังคมที่ทำให้มีเกราะป้องกันตนเอง หรือมี “ตาข่ายเอาไว้รองรับ” ยามเกิดวิกฤติที่คาดไม่ถึง มากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันได้หรือไม่?
ในประเด็นนี้ ได้อ่านข้อเขียนของ บก.นิตยสารสีสัน คุณทิวา สาระจูฑะ ให้มุมมองและข้อคิดแนวทางไว้อย่างน่าสนใจ บนพื้นฐานความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจคนในแวดวงดนตรีที่ตนเองมีประสบการณ์ได้พบเห็นมาหลายสิบปี
ข้อเขียนนี้ ต้นฉบับพิมพ์ในเฟซบุ๊ค ชื่อ Tiva Sarachudha เนื้อความบางตอนว่า
“….ความจริงผมอยากจะเขียนเรื่องนี้มานาน แต่อีกใจก็ยั้งเอาไว้ เพราะมีเพื่อนฝูงพี่น้องอยู่ในวงการดนตรีเยอะ กลัวว่าเขียนไปแล้วจะตีความเจตนาเป็นอย่างอื่น เปลืองตัวเปล่าๆ
แต่คิดไปคิดมาก็บอกตัวเองว่า จะเป็นไรไปเล่า ในเมื่อเราก็รักวงการดนตรีไทย คลุกคลีมายาวนาน และถึงพร้อมแล้วด้วยเหตุผล 2 ประการ
ประการแรก-สารตั้งต้นของเราคือความหวังดี และอีกประการหนึ่ง-อายุมากแล้ว ไม่ต้องห่วงใครรักใครเกลียดอีกแล้ว และจะเขียนแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว ไม่ต้องซ้ำซาก ใครจะคิดยังไงก็แล้วแต่สติปัญญา
ในสถานการณ์ไวรัสระบาดทั้งโลกคราวนี้ อาชีพหนึ่งที่บ่นกันมากก็คืออาชีพทางดนตรี โดยเฉพาะพวกเล่นดนตรีประจำตามร้านอาหารหรือผับบาร์ ซึ่งตอนหลังก็อาจจะต้องรวมศิลปินที่เคยมีผลงานอัลบั้มด้วย เพราะรายได้ทุกวันนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นโชว์ ไม่ใช่เปอร์เซ็นต์จากยอดขาย เมื่อไม่ได้โชว์ รายได้ก็ขาดหายไปเป็นธรรมดา
แต่ระหว่างที่ยังไม่มีกลุ่มอาชีพทางดนตรีปรากฏอยู่ในมาตรการช่วยเหลือของรัฐ และผมไม่รู้ด้วยว่า สมาคมดนตรีไทยฯ มีรายชื่อทะเบียนสมาชิกมากน้อยแค่ไหน นอกจากจัดคอนเสิร์ตการกุศลออนไลน์ไปเมื่อเร็วๆนี้ และเริ่มประชุมหาแนวทางช่วยเหลือกัน จากนั้นจะเป็นอย่างไร
ผมกลับไม่เห็นมีใครในอาชีพนักดนตรีประจำ ทำอะไรให้เกิดรูปธรรมขึ้นมา
จะขอข้ามเรื่องวิถีชีวิตส่วนตัวของแต่ละคนว่า ใครรู้จักเก็บหอมรอมริบ, ใครรู้จักการดูแลตัวเอง และใครรู้จักการจัดระเบียบชีวิตเพื่อให้มีเงินสำรองไว้ใช้ยามตกงานหรือไม่ เพราะเชื่อว่า ถ้าไม่โกหกตัวเอง ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าตัวเองเป็นคนยังไง และทุกคนก็รู้อยู่แล้วว่า ความไม่แน่นอนในอาชีพนี้มีอยู่สูง แม้จะไม่มีโรคระบาดหรือสถานการณ์อื่นใดเกิดขึ้นก็ตาม
ในประเทศยักษ์ใหญ่ที่ธุรกิจดนตรีก้าวหน้ามาก่อนเรากว่าครึ่งศตวรรษ กว่าจะเรียนรู้ว่าลิขสิทธิ์พึงมีพึงได้เป็นอย่างไร, สิทธิของคนในอาชีพนี้เป็นอย่างไร, การยอมรับระดับต่างๆในอาชีพ ฯลฯ ก็ผ่านปัญหาอุปสรรค ผ่านการต่อสู้มาอย่างแสนสาหัส กว่าจะได้กฎหมายมาแต่ละฉบับ
ยิ่งประเทศใหญ่ มีการแข่งขันสูง ทุกคนต้องดูแลตัวเอง และหาวิธีรวมกลุ่มเพื่อสร้างพลังทางสังคม ซึ่งหมายถึงว่า ต้องตัดอัตตา หรือ ego ออกไปก่อนเป็นอย่างแรก
เวลามีคอนเสิร์ต หากเขาประกาศแนะนำว่า “ขอเชิญพบกับศิลปินบันทึกเสียง...” นั่นบ่งบอกถึงสถานะที่แตกต่างจากนักดนตรีกลางคืน หรือนักดนตรีรับจ้างตามงานสังสรรค์
นักดนตรีบ้านเรารับสถานะที่เป็นจริงอย่างนี้ได้หรือไม่
ถ้าตามคลับบาร์มีการจัดระดับนักดนตรีเป็น เอ, บี, ซี, ดี... เงินรายได้ต้องไม่เท่ากัน ตามฝีมือ เหมือนฟุตบอลแบ่งดิวิชั่น นักดนตรีบ้านเรารับได้ไหม ถ้ารับได้ การสร้างองค์กรหรือสหภาพเล็กๆก็จะมีโอกาสทำได้
สองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา Billboard สื่อสำหรับธุรกิจดนตรีที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก ลงเรื่อง A State-by-State Resource Guide for Music Professionals Who Need Help During Coronavirus Crisis เป็นการแนะนำผู้อยู่ในอาชีพดนตรีที่มีความเดือดร้อนจากสถานการณ์ โควิด-19 ในสหรัฐอเมริกาว่า จะไปขอความช่วยเหลือจากใครได้บ้าง และให้รายชื่อองค์กรต่างๆ ซึ่งเป็นสมาคมและชมรมที่มีอยู่ทุกภูมิภาค โดยไม่มีองค์กรของรัฐมาเกี่ยวข้อง ความยาวถอดมาลงกระดาษ เอ4 ด้วยตัว 14 พอยน์ท รวมแล้ว 70 กว่าหน้า! (ใครอยากอ่านไปเปิดดูเอาเองทางเว็บไซต์ของ Billboard)
ในอเมริกาหรืออังกฤษก็มีองค์กรใหญ่เหมือนสมาคมดนตรีฯ บ้านเรา แต่พวกเขาก็มีองค์กรขนาดกลางและขนาดเล็กกระจายอยู่ตามพื้นที่ต่างๆด้วยมากมาย เพราะบางทีอะไรที่ใหญ่มากๆก็ไม่สามารถครอบคลุมรายละเอียดเล็กๆได้ ฉะนั้นไม่ต้องไปว่ากัน
เหตุที่มีหน่วยงานเอกชนหรือองค์กรเอกชนในอาชีพดนตรีมากมายขนาดนี้ (แบบที่บิลบอร์ด นำมาลง) เพราะคนอยู่ในอาชีพนี้เขารวมตัวกันตั้งขึ้นมาเองเป็นกองทุน ซึ่งมีวิธีหารายได้หลายทาง ได้แก่ จากการจัดงาน, การหาสปอนเซอร์ที่เห็นดีเห็นงามด้วย, จากคนในอาชีพดนตรีเองที่เสียสละเงินเล็กน้อยเพื่อเป็นสมาชิก และคนทั่วไปที่รักดนตรี รวมถึงอดีตเพื่อนร่วมวงที่ได้ดิบได้ดีไปเป็นศิลปินบันทึกเสียงที่ประสบความสำเร็จ ก็อาจจะใส่เงินมาให้กองทุน
องค์กรเหล่านี้ไม่ได้มีเฉพาะศิลปินที่มีผลงานบันทึกเสียง, นักแต่งเพลง หรือโปรดิวเซอร์ ในบริษัทใหญ่ แต่มีสหภาพนักดนตรีท้องถิ่น, สหภาพนักดนตรีอิสระ มีกระทั่งสหภาพของคนขนเครื่อง หรือแรงงานจัดตั้งเวที
บางองค์กรก็มีเงินมากมายโดยการเรียกเก็บจากสมาชิก บางองค์กรก็นำเงินส่วนหนึ่งไปเพิ่มมูลค่าด้วยการลงทุนบางอย่าง และถึงเวลาจำเป็น-อย่างปัจจุบัน-ก็สามารถนำเงินเหล่านั้นมาช่วยเหลือเจือจานกัน
ส่วนใครจะจัดงานเพื่อช่วยเพื่อนที่ตกทุกข์ได้ยากหรือเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นวาระพิเศษ นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ผมจำได้ว่า หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 เคยมีความพยายามจัดตั้ง สหภาพนักดนตรี โดยมี พี่วิน คัมภีร์ แห่งวง วี.ไอ.พี. เป็นหนึ่งในแกนนำ รู้สึกมีการจัดงานกันด้วยที่โรงแรมอินทรา แต่สหภาพก็ไม่ได้เดินหน้าถึงไหน และเงียบหายไป
หลังจาก พี่วิน กลับจากต่างประเทศ และเลิกยึดอาชีพดนตรี เราได้พบกันบ่อยขึ้น เพราะชอบคุยกันเรื่องสังคมและการเมือง ผมเคยถาม พี่วิน เรื่องสหภาพนักดนตรีในตอนนั้น แกบอกเพียงว่า “วา อย่าไปพูดถึงมันเลย”
ผมก็ถามต่อแบบคนช่างซัก แต่ขออนุญาตไม่เล่าตรงนี้ เพราะ พี่วิน ก็เสียชีวิตไปแล้ว
พี่เต๋อ-เรวัต พุทธินันทน์ ก็เคยคุยเรื่องนี้กับผมระหว่างรอขึ้นเวทีอภิปรายด้วยกันที่หอประชุม เอ.ยู.เอ. ตอนนั้น พี่เต๋อ เป็นผู้นำวง ดิ โอเรียนเต็ล ฟั้งค์ เล่นที่โรงแรมมณเฑียร ยังไม่ได้เปิดบริษัท แกรมมี่ คำหนึ่งที่ พี่เต๋อ พูดแล้วผมจำได้แม่นคือ “พี่ว่าบ้านเรามันรวมกันยาก”
และต่อมา คนในวงการดนตรีก็ตั้ง ชมรมนกฮูก ขึ้นมา ชื่อของกลุ่มก็บอกแล้วว่ามาจากนักดนตรีที่เล่นกลางคืน เจตนารมณ์เพื่อความสามัคคีและหาเงินช่วยเหลือนักดนตรีที่เจ็บไข้ได้ป่วยและขาดรายได้ที่จะรักษาตัวเอง จัดงานเปิดตัวกันที่ มิวสิค วิลล่า หรือ ดารา วิลล่า ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ นี่แหละ ชักเลือนๆ ซึ่งนักดนตรีรุ่นพี่ๆก็ชวนผมไปร่วมด้วยทั้งๆที่ไม่ได้เป็นนักดนตรี เป็นงานที่อบอุ่นมาก บ่ายวันนั้นทำให้ผมมองเห็นอนาคตของคนที่ใช้ชีวิตนักดนตรีอาชีพ ไม่ว่าจะในระดับไหน
ทุกวันนี้ ผมคิดว่า ชมรมนกฮูก ก็น่าจะยังมีอยู่ เพราะพี่ๆหลายคนที่เป็นหัวขบวนตอนนั้นยังมีชีวิตอยู่ แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้เคลื่อนไหวอะไรบ้าง ไม่ได้ติดตามข่าว
เล่าให้เพื่อนพี่น้องในวงการดนตรีอ่านจากประสบการณ์ตรง เพื่อเราจะต้องเริ่มต้นมองและยอมรับอาชีพนี้ในมิติที่จริงจัง ไม่ใช่แค่เสียงตบมือของคนเมาในร้านเหล้าบันดาลให้เราเป็นวีรบุรุษวีรสตรี แล้วก็จบอยู่เท่านั้น
ผมจะเน้นพรรคพวกพี่น้องที่ยังเล่นดนตรีกลางคืน หรือที่เป็นนักดนตรีอิสระอยู่
ลองสร้างโมเดลขึ้นมาสักโมเดลหนึ่ง กลุ่มเล็กๆนี้อาจจะจัดตั้งตามพื้นที่ก่อนเช่น ชมรมพระราม 2 หรือ ชมรมเมืองนนท์ หรือ สมาคมอีสานเหนือ อะไรก็ว่าไป
พูดคุยไถ่ถามกันในกลุ่มเล็กๆก่อนว่า ถ้ามาร่วมลงทะเบียนเป็นกิจจะลักษณะขอคนละ 100 บาทต่ออาทิตย์ เท่ากับวันละ 14 บาทกว่า ใครมีรายได้มากกว่าหรือฐานะไม่ลำบาก อยากให้เยอะกว่านี้ก็ไม่ขัด “เอาไหม?”
สมมุติว่า เล่นดนตรีได้คืนละ 500-800 บาทต่อคนต่อชั่วโมง (ประเมินคร่าวๆ) บางคนอาจจะได้มากกว่านี้ บางคนอาจจะได้น้อยกว่านี้ มีเบื้องต้นสัก 20 คน เดือนหนึ่งก็มีเงินเป็นกองทุน 8,000 บาท ปีหนึ่งสหภาพเล็กๆนี้ก็มีแล้ว 96,000 บาท
ถ้าทำได้ก็เชื่อว่าจะมีคนในอาชีพนี้เห็นดีด้วย ขยายตัวเพิ่มขึ้น และยังจะหารายได้พิเศษเพิ่มจากการจัดงานต่างๆอย่างที่บอกไว้ตอนต้นๆ กองทุนนี้ก็จะเป็นประโยชน์เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย หรือมีสถานการณ์อย่างที่กำลังเกิดขึ้นนี้
แต่ถ้าคำตอบคือ “ไม่เอา” ก็จบกันแค่นี้
สิ่งที่ผมเขียนนี้คือ การมองไปเผื่ออนาคตข้างหน้า ไม่ใช่เวลานี้ เพราะสภาวะวิกฤติก็เหมือนชีวิตคน จะเกิดจะตายเมื่อไหร่ไม่มีใครรู้ วิกฤติยังจะมีมาอีกได้เรื่อยๆ
อาชีพในธุรกิจสิ่งพิมพ์ของผมหนักกว่าอาชีพนักดนตรี และไม่ได้อยู่ในกลุ่มอาชีพตามมาตรการช่วยเหลือของรัฐเหมือนกัน เพียงแต่ว่า ตอนนี้ผมยังมองไม่เห็นวิธีในอนาคตของอาชีพตัวเองเท่านั้น
ใครมีความคิดเห็นไม่ตรงกับผมก็ไม่ต้องคอมเม้นท์แย้งกับผม เอาสิ่งที่คิดแล้วว่า “เห็นด้วย” หรือ “เห็นแย้ง” ลองไปพูดคุยต่อยอดกันเอง เพราะผมไม่ได้มีอาชีพนักดนตรี”
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี