1. คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรออกไปอีก 1 เดือน
ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2563 – 30 มิถุนายน 2563
ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เสนอ
2. การขยายระยะเวลาการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไม่ได้หมายความว่า ข้อบังคับ ข้อห้าม เคอร์ฟิว ฯลฯ ทุกอย่างจะต้องเหมือนเดิมยาวไปจนถึง 30 มิ.ย.ด้วย
ล่าสุด ก็กำลังจะมีการลดเวลาเคอร์ฟิวลงไปอีก เพื่อผ่อนปรน
หลังจากนี้ ก็กำลังจะผ่อนปรนกิจการต่างๆ ให้กลับมาเปิดกิจการเพิ่มเติมอีก เป็นต้น
3. เดิม ประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินตั้งแต่ 26 มี.ค.-30 เม.ย.
ครั้งนั้นพรรคการเมืองฝ่ายค้านอย่างพรรคก้าวไกล รวมถึงกลุ่มการเมืองนักการเมืองที่ต่อต้านรัฐบาล ก็ออกมาคัดค้าน ไม่เห็นด้วย อ้างไม่จำเป็น แก้ปัญหาไม่ตรงจุด
บางคนกระแนะกระแหนว่า เชื้อโรคมันกลัวเคอร์ฟิวเหรอ ฯลฯ
แต่หลังจากนั้น ก็ปรากฏว่า การใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินทำให้สามารถจัดการควบคุมได้มีประสิทธิภาพขึ้นจริงๆ ปรากฏผลลัพธ์ดีขึ้นเป็นลำดับ สะท้อนผ่านตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่ควบคุมสถานการณ์ได้ดีขึ้น
ถ้าไม่เช่นนั้น ในประเทศไทยเราก็อาจจะมีคนติดเชื้อเรือนแสน หรือคนตายวันละหลายร้อยคน ตายสะสมเป็นหมื่นๆคนเหมือนในบางประเทศ (อย่าลืมว่า ขณะนั้น บ้านเราถือเป็นประเทศเสี่ยงต้นๆ เพราะคนจีนเดินทางมาเยอะที่สุด ชาวต่างชาติมาเยอะที่สุด)
หลังจากนั้น เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2563 นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ก็มีมติเห็นชอบให้การขยายระยะเวลา (คราวที่ 1) ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.-31 พ.ค.2563 ควบคุมสถานการณ์ผลลัพธ์ปรากฏดีขึ้นเป็นลำดับ
กระทั่งหลายคนที่เคยออกมาด่า เคยออกมาต่อต้านการตัดสินใจของรัฐบาล ก็ออกมาด่า ออกมาต่อต้านอีกครั้ง โดยอ้างว่าสถานการณ์ดีแล้ว เปิดบ้านเปิดเมืองกลับสู่ภาวะปกติได้แล้ว ตั้งคำถามเชิงกล่าวหาการตัดสินใจของรัฐบาลอีกครั้งว่าเป็นการตัดสินใจไม่ถูกต้อง (อีกแล้ว) ทำเสมือนว่ารัฐบาลไม่เคยตัดสินใจอะไรถูกต้องเลย ไม่เคยรับฟังประชาชนเลย ทั้งๆ ที่ หลายเรื่องรัฐบาลก็ปรับแนวทางสอดรับกับข้อท้วงติงที่สร้างสรรค์ของภาคประชาชนมาโดยตลอด
ตรงกันข้าม ถ้ารัฐบาลยอมเชื่อตามการตัดสินใจของคนกลุ่มนี้ ป่านนี้คนในบ้านเมืองอาจตายห่ากันไปเป็นหมื่นเป็นแสนคนแล้ว
4. ทำไม ครม.จึงตัดสินใจขยายระยะเวลา พ.ร.ก.ฉุกเฉินออกไปอีกครั้ง?
เมื่อวันที่ 21 พ.ค. 2563 สมช. ในฐานะสำนักงานประสานงานกลาง ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ได้เชิญหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการตามพระราชกำหนดฯ ในด้านต่างๆ ผู้แทนส่วนราชการและประชาคมข่าวกรองเข้าร่วมการประชุม เพื่อประเมินผลการปฏิบัติของส่วนราชการต่างๆ ภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉิน และพิจารณากำหนดแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมในห้วงต่อไปเพื่อลดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19
ปรากฏสาระสำคัญ น่าสนใจ และได้นำเสนอในที่ประชุม ครม.ล่าสุดด้วย ดังนี้
4.1 ที่ประชุมมีความเห็นสอดคล้องกันว่าการบังคับใช้อำนาจตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ยังมีความจำเป็น เนื่องจากจะช่วยสร้างระบบการบริหารจัดการในเชิงบูรณาการที่ดีให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อชะลอ ควบคุม และป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 และยังช่วยสนับสนุนให้การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่มีความเป็นเอกภาพ รวดเร็ว มีประสิทธิภาพและมีความต่อเนื่อง อีกทั้งยังเป็นการสร้างมาตรฐานกลางด้านสาธารณสุขและช่วยเยียวยาประชาชนได้อย่างครอบคลุมภาพรวมของประเทศอีกด้วย
4.2 ที่ประชุมให้ข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันประเทศไทยอยู่ในช่วงของการพิจารณาผ่อนคลายมาตรการบังคับใช้กฎหมายสำหรับในระยะที่ 3 และระยะที่ 4 ซึ่งเป็นกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายของเชื้อโรคในระดับสูง จึงจำเป็นจะต้องมีการดำเนินการอย่างเป็นระบบ และอยู่ในห้วงระยะเวลาที่เหมาะสม นอกจากนี้ ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจะต้องมีมาตรการด้านกฎหมายเพื่อกำกับ ดูแล และบริหารจัดการ ให้เป็นไปตามมาตรฐานด้านสาธารณสุขได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น จึงมีความจำเป็นจะต้องอาศัยอำนาจตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 บังคับใช้ต่อไปอีกระยะหนึ่ง
4.3 นอกจากนี้ ปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ยังไม่สิ้นสุด โดยมีข้อมูลปรากฏในหลายประเทศว่ายังพบการระบาดและมีจำนวนผู้ติดเชื้อในระดับสูง ดังนั้น เมื่อประเทศไทยได้ดำเนินการมาตรการผ่อนคลายการบังคับใช้กฎหมายครบทั้ง 4 ระยะ และพร้อมจะเปิดประเทศแล้ว อาจมีความเสี่ยงที่โรคติดเชื้อโควิด-19 จะกลับมาแพร่ระบาดได้อีกครั้งหากไม่มีการเตรียมมาตรการรองรับที่ดีอย่างเพียงพอ ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องมีระยะเวลาเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนการเปิดประเทศในภารกิจที่สำคัญ อาทิ 1) การเตรียมความพร้อมด้านกฎหมายภายหลังยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และ 2) การเตรียมแผนการบริหารวิกฤตการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น ที่ประชุมจึงเห็นควรให้คงการบังคับใช้อำนาจตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ต่อไป เนื่องจากจะมีส่วนช่วยให้เจ้าหน้าที่มีเวลาเตรียมความพร้อมรองรับกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น และยังมีส่วนช่วยซักซ้อมทักษะด้านการบริหารจัดการวิกฤตการณ์ให้กับเจ้าหน้าที่ได้อีกทางหนึ่งด้วย
4.4 ที่ประชุมได้เสนอแนะแนวทางดำเนินการควบคู่ไปกับการขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในห้วงที่สอง โดยเห็นควรให้ 1) กำหนดมาตรการผ่อนคลายการบังคับใช้กฎหมายเพิ่มเติมเพื่อให้ประชาชนสามารถประกอบอาชีพได้อย่างเป็นปกติยิ่งขึ้นและ 2) มีการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการบังคับใช้กฎหมายอย่างเหมาะสมและทั่วถึง ทั้งนี้ ต้องดำเนินการให้ได้อย่างเป็นรูปธรรมและมีการชี้แจงประชาชนอย่างชัดเจน
4.5 สมช.ได้นำผลการประชุมส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดังกล่าวเข้าพิจารณาในที่ประชุมคณะกรรมการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ 6/2563 เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2563 ซึ่งที่ประชุมได้ให้ความเห็นชอบผลการประชุม และมีมติให้นำเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อมีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรต่อไป
5. จะเห็นได้ว่า ก่อนจะพิจารณาขยายระยะเวลา พ.ร.ก.ฉุกเฉินออกไปนั้น ได้มีการพิจารณาประเมินสถานการณ์ ความจำเป็น และผลกระทบ พร้อมหาแนวทางรองรับเป็นขั้นเป็นตอนเอาไว้ด้วย
มิใช่เป็นการเอาใบรับรองแพทย์มาต่ออายุเผด็จการ เหมือนที่พวกสักแต่ว่ามีปาก หรือปากไม่มีหูรูด พูดจาโดยปราศจากความรับผิดชอบ ประดิษฐ์คำด่า สร้างวาทกรรมขึ้นมาปลุกปั่นไปวันๆ มุ่งด้อยค่าการทำงานของผู้เกี่ยวข้องอยู่ตลอดเวลา โดยไม่ต้องรับผิดชอบต่อชีวิตความเป็นความตายของใครเลย เพราะพูดผิด-คิดผิดมาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง แต่ไม่เคยละอายตัวเองเลยแม้แต่ครั้งเดียว
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี