ครบ 1 ปีการเข้ารับตำแหน่งของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จากการเลือกตั้งเดือนมีนาคม 2562 ใน 1 ปีที่ผ่านมาถือว่ารัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ สอบผ่านในการบริหารประเทศในหลายด้าน และภายใต้ความกดดันของฝ่ายค้าน รัฐบาลนี้ก็ยังทำได้ดีกับการบริหารประเทศในสถานการณ์วิกฤติอย่างโควิด-19 แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ต้องปรับปรุงอย่างเร่งด่วนคือเรื่องของการบริหารเศรษฐกิจที่กำลังถดถอยจากวิกฤติโควิด-19 ที่เกิดขึ้นทั่วโลก การลดการลงทุนนอกประเทศ การเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตของผู้คน การเดินทาง การท่องเที่ยวกำลังส่งผลกระทบโดยตรงกับเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจของไทย ซึ่งการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในสถานการณ์เช่นนี้ต้องดูกันต่อไปว่าจะมีการเปลี่ยนขุนพลทางเศรษฐกิจหรือไม่? เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่แค่เพียงครั้งแรกที่มีคนพูดถึงจุดอ่อนของรัฐบาลในการบริหารเศรษฐกิจ แต่เป็นมาตลอดตั้งแต่ยุครัฐบาลคสช. จนถึงปัจจุบันใช่หรือไม่?
และกำลังจะมาเป็นเหตุให้มีการเขย่าให้นายกฯปรับ ครม. ที่มีข่าวว่าจะมีการยกเครื่องทีมเศรษฐกิจแต่ติดวิกฤติโควิด-19 เสียก่อนเลยทำให้มีการเลื่อนช่วงเวลาปรับทัพออกไปหลังวิกฤติ ซึ่งตอนนี้ดูเหมือนมีกระแสข่าวลามไปถึงการเขย่าเก้าอี้และอำนาจบริหารภายในพรรคพลังประชารัฐด้วยหรือไม่? เพราะในขณะที่วิกฤติโควิด-19 ยังไม่ผ่านพ้นไปแต่แรงเขย่าในพรรคพลังประชารัฐกลับมีท่าทีรุนแรงขึ้น มีการแบ่งฝ่ายอย่างค่อนข้างชัดเจน และแรงเขย่านั้นก็นำไปถึงจุดที่กรรมการบริหารพรรคหลายคนลาออกเป็นผลให้หัวหน้าพรรคอย่าง นายอุตตม รมว.คลัง อาจถูกบีบให้ต้องจัดการประชุมวิสามัญพรรคเพื่อเลือกกรรมการบริหารชุดใหม่ ในเร็วๆ นี้หรือไม่?
รอยแยกในพรรคพลังประชารัฐ ไม่ว่าจะเป็นตามกระแสข่าวเรื่องการเขย่าที่นั่งหัวหน้าพรรคที่จะให้มีการเปลี่ยนตัวหรือไม่? แต่ความตึงเครียดภายในพรรคพลังประชารัฐอาจกำลังเข้าทางฝ่ายซ้ายหัวก้าวหน้าอย่าปฏิเสธไม่ได้ เพราะพรรคพลังประชารัฐดำรงอยู่ในสถานะของความเป็นตัวแทนความคิดแบบอนุรักษ์นิยมที่เชื่อในความมั่นคง ปลอดภัย และความสามัคคีของคนในชาติ เมื่อวันนี้พรรคพลังประชารัฐอาจถูกมองว่ากำลังทะเลาะกันในเรื่องของผลประโยชน์ ในลาภยศ ก็อาจทำให้ภาพของการทำงานที่เสียสละเพื่อส่วนรวม การเสียสละเสรีภาพเพื่อความมั่นคง เป็นเรื่องน้ำเน่าในสายตาประชาชนหลายคนที่ต่างพูดกันว่าสุดท้ายก็ไม่ต่างกัน ซึ่งเรื่องนี้กำลังจะไปเข้าทางกับฝ่ายหัวก้าวหน้าที่อยู่ฝั่งตรงข้ามรัฐบาล เพราะเหล่านี้คือเรื่องที่คนเห็นต่างรัฐบาลโจมตีมาตลอดว่ารัฐบาลไม่ได้สนใจประชาชน แต่สนใจผลประโยชน์ตัวเองมากกว่า?
ยิ่งตอนนี้มีการเขย่าแรงในพรรคเพื่อหวังแย่งชิงเก้าอี้รัฐมนตรี พรรคพลังประชารัฐกำลังเผยจุดอ่อน ย่อมทำให้ฝ่ายตรงข้ามใช้จุดนี้โจมตีใช่หรือไม่? ประกอบกับขุนพลฝ่ายหัวก้าวหน้ากำลังเริ่มประสานเป็นรูปเป็นร่างจากการรวบรวมขุนพลยุค 14 ตุลา มาเสริมทัพซึ่งคนยุค 14 ตุลา เป็นคนที่มีประสบการณ์ในการต่อต้านความคิดแบบอนุรักษ์นิยมอยู่แล้ว จึงทำให้เรื่องการต่อต้านความเป็นอนุรักษ์นิยมสมบูรณ์มากขึ้น มีการพยายามปลุกความคิดต่อต้านทหารมากขึ้นอีกครั้ง ประกอบกับทิศทางพรรคฝ่ายรัฐบาลเองมีภาพการแย่งชิงอำนาจเหล่านี้ ก็ยิ่งจะเป็นเหตุให้โดนโจมตี หรือต่อต้านได้ง่ายขึ้น
รวมถึงยุทธศาสตร์ของฝั่งตรงข้ามรัฐบาลกำลังใช้โลกล้อมไทย กล่าวคือการดึงเอาความคิดแบบตะวันตกมาปลูกฝังปลุกปั่นให้คนต่อต้านเผด็จการรูปแบบต่างๆ แล้วโยงไปถึงกองทัพ และมีการเชื้อเชิญตัวแทนประเทศมหาอำนาจเข้ามามีบทบาทในการเมืองไทย เพื่อลดทอนความน่าเชื่อถือของรัฐบาล ซึ่งมีนัยทางการเมืองระหว่างประเทศอีกส่วนหนึ่งในยุทธศาสตร์ที่ใช้โลกล้อมไทยกำลังเข้าทางการเมืองแบบภูมิรัฐศาสตร์
ในทางภูมิศาสตร์แล้วประเทศไทยอยู่กึ่งกลางระหว่างประเทศมหาอำนาจ 2 ค่ายหลักคือ สหรัฐฯ และจีน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาไทยมีนโยบายทางการทูตกับต่างประเทศแบบไม่สร้างศัตรู ไม่เลือกฝ่ายอย่างชัดเจน ซึ่งนั่นทำให้ไทยยังเป็นพื้นที่ช่วงชิงระหว่างมหาอำนาจอยู่เสมอ แต่ด้วยความใกล้ชิดทางวัฒนธรรม เชื้อชาติ และการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนทำให้อิทธิพลจีนกำลังได้ครองสัดส่วนมากขึ้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ประกอบกับสหรัฐที่เริ่มลดความสำคัญของไทยลงหลังการรัฐประหารปี 2557 ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-สหรัฐมีความใกล้ชิดที่ลดลง ทำให้จีนมีบทบาทต่อรัฐบาลไทยมากยิ่งขึ้น แต่สภาพการเมืองภายในรัฐบาลตอนนี้ที่เปราะบางภายใน บวกกับฝ่ายต่อต้านรัฐซึ่งกำลังเชื้อเชิญต่างชาติให้เข้ามามีบทบาทในการเคลื่อนไหวทางการเมืองในรูปแบบต่างๆ อาจเป็นการเปิดช่องอีกครั้งหนึ่งให้กระแสตะวันตกสามารถกลับเข้ามาแทรกแซงในกิจการภายในไทยได้อีกครั้ง? ซึ่งไม่ว่าด้วยความตั้งใจหรือไม่ ของฝั่งหัวก้าวหน้า? แต่นั่นกำลังเป็นการบีบให้ไทยต้องอยู่ในสถานะที่ต้องเลือกข้างมากยิ่งขึ้น
การต่อสู้ระหว่างกระแสอนุรักษ์นิยม และเสรีนิยม เกิดขึ้นมานานแล้วในไทย แต่ที่เปลี่ยนไปด้วยเทคโนโลยี และวิธีการนิยามตัวเองที่แตกต่างออกไป ที่สำคัญคือ การต่อสู้ของแนวความคิด ควรอยู่บนพื้นฐานของระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ในระบบรัฐสภา ผ่านตัวแทนของประชาชน มากกว่าการมุ่งแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว หรือแม้แต่การแสวงหาอำนาจภายในพรรค ซึ่งที่ผ่านมาเอาเฉพาะในสภาชุดนี้ก็เห็นมาแล้วถึงการเปลี่ยนแปลงของพรรคต่างๆ ทั้งซีกรัฐบาลและไม่เว้นแม้แต่ซีกฝ่ายค้านจนทำให้สถาบันของพรรคการเมืองมีความอ่อนแอลงไปอย่างมาก
การปรับครม. ที่จะมีขึ้นเร็วๆ นี้ จะเป็นจุดเปลี่ยนของรัฐบาลที่จะสามารถกอบกู้ศรัทธาจากประชาชนได้หรือไม่? หรือทำให้รัฐบาลนี้เป็นเพียงภาพสะท้อนของระบบการเมืองเก่าๆ ที่ไม่พ้นวังวนของผลประโยชน์ การจัดอัตราส่วนเก้าอี้รัฐมนตรีให้กับพรรคต่างๆในครั้งนี้อาจจะมีอัตราส่วนที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทยที่มีจำนวน สส. เพิ่มขึ้น นั่นเท่ากับว่าควรได้ที่นั่งรัฐมนตรีเพิ่มหรือไม่? แต่ที่กำลังเป็นประเด็นอย่างมากคือ การแย่งเก้าอี้ในพรรคอย่างพรรคพลังประชารัฐเอง ที่อาจไม่กระทบแค่ภายในพรรคแต่อาจกระทบทั้งรัฐบาลเลยก็เป็นได้รัฐบาลที่อยู่ครบวาระ 4 ปี ไม่ใช่รัฐบาลที่สามารถควบคุมการเมืองให้มีเสถียรภาพได้เท่านั้น แต่ต้องได้รับความศรัทธาจากประชาชนในการบริหารประเทศด้วยถึงจะมีเสถียรภาพอย่างสมบูรณ์ และแน่นอนแม้ว่าจะอยู่ครบ 4 ปี อย่างไรแล้วการเมืองก็ต้องวนกลับสู่สนามการเลือกตั้ง และรับฟังเสียงของประชาชนอยู่ดี.....
“โก่งคันศรจนสุดล้า ย่อมมีเวลาที่มันจะคืนกลับ ลับดาบจนเเหลมคม ย่อมมีเวลาที่มันจะทื่อ เมื่อท่านมีทองและหยกอยู่เต็มห้อง ย่อมไม่อาจรักษาไว้ได้โดยปลอดภัย ภาคภูมิใจกับเกียรติยศและความมั่งคั่ง ย่อมโศกเศร้าเมื่อความตกต่ำมาถึงถอนตัวออก เมื่อกิจการงานได้เสร็จสิ้นลง นี่คือวิถีทางแห่งสรวงสวรรค์”
เหลาจื๊อ คัมภีร์เต้าเต๋อจิง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี