ผมเป็นคนไทยคนหนึ่ง ที่ไม่ปฏิเสธวลีที่ว่า “คนไทยคนจีนเป็นพี่น้องกัน” เพราะทั้งสองชนชาตินั้นมีความข้องแวะผูกพันกันมานมนานตั้งแต่สมัยสุโขทัย อีกทั้งที่ยุคจีนทุกข์ยาก ก็มีชาวจีนหนีร้อนมาพึ่งเย็นในเมืองไทยก็มาก แถมยังกลายเป็นส่วนสำคัญในการก่อสร้างรัฐชาติไทยในวันนี้ ชาวไทยชาวจีนจึงผสมผสานกันทั้งสายเลือด และขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรม กลายเป็นความสัมพันธ์อันเหนียวแน่น ชนิดไม่มีใครสามารถเปลี่ยนประวัติศาสตร์ได้ หรือปฏิเสธความจริงไม่ได้
เรื่องนี้ นับเป็นความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรม และการเป็นมนุษย์ร่วมโลก ร่วมดินแดนสุวรรณภูมิ แต่เรื่องการบ้านการเมือง นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
โดยช่วงหนึ่ง ก็มีลัทธิชาตินิยมเกิดขึ้นในสังคมไทยและจีน มีการรังเกียจรังงอนคนจีน และต่อมามีการเผชิญหน้าต่อสู้กันทางด้านอุดมการณ์ในช่วงโลกยุคสงครามเย็น เกิดการแทรกแซงในกิจการภายในของไทย ด้วยการที่จีนสนับสนุนอุ้มชูพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
จน ณ วันนี้จีนแสดงความประสงค์อย่างชัดเจน ที่จะครอบงำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และทะเลจีนตอนใต้ รวมทั้งดินแดนลุ่มแม่น้ำโขง และเพียรพยายามยัดเยียดแบบอย่างทางการเมืองการปกครอง (Model) ของการเมืองแบบพรรคเดียวเป็นใหญ่ เป็นเผด็จการ และระบบเศรษฐกิจการตลาดที่รัฐนำพา (State Capitalism) ให้กับประเทศอื่นๆ และในทศวรรษนี้เราจึงได้เห็นพฤติกรรมของจีนที่ไม่น่าพึงชอบปรากฏ เช่น
การรุกราน และยึดครองทิเบต
การแปลงสภาพฮ่องกง ให้เป็นส่วนหนึ่งของจีนโดยสมบูรณ์
การกดขี่ชนชาติพันธุ์มุสลิมอุยกูร์
การตีกรอบลงโทษไต้หวันให้มากที่สุดในเวทีประชาคมโลก
การ “ซื้อ” ผู้นำประเทศต่างๆ ให้โอนอ่อน หรืออยู่ในอาณัติ
การดำเนินนโยบายแบบข้าไปคนเดียวในทะเลจีนตอนใต้ และการใช้ประโยชน์แม่น้ำโขงตอนบน โดยไม่คำนึงถึงประเทศกลางน้ำ และปลายน้ำ เป็นต้น
นอกจากนั้น จีนยังปฏิเสธสถานะของศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ และไม่รับ ไม่ฟัง และไม่แคร์ การพิจารณาตัดสินในเรื่องข้อพิพาททะเลจีนตอนใต้ระหว่างฟิลิปปินส์กับจีน แถมยังคงส่งเครื่องบินรบและเรือรบตระเวนไปทั่วน่านทะเล เสมือนเป็นดินแดนของตนเอง
ในขณะเดียวกัน จีนได้ยกหางบรรดาประเทศเผด็จการบนโลกนี้ โดยไม่สนใจพฤติกรรมอันเลวร้ายของผู้ปกครอง ไม่ว่าจะเป็น ซีเรีย เกาหลีเหนือ อิหร่าน คิวบา รวมถึงเวเนซุเอลา และยังทำการกว้านซื้อผู้นำประเทศกำลังพัฒนารอบมหาสมุทรอินเดียและทวีปแอฟริกา ไปอย่างมันมือ ไม่ลดละ
ในวันนี้ จีนเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจระดับ 2 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา และเป็นมหาอำนาจทางด้านแสนยานุภาพทางทหารอันดับ 3 รองจากสหรัฐอเมริกา และรัสเซีย
นอกจากนั้น จีนเป็น 1 ใน 5 ประเทศสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ (United Nation Security Council - UNSC) ซึ่งมีภาระหน้าที่ที่จะต้องจรรโลงสันติภาพและความมั่นคงของโลก
ด้วยสถานะอันยิ่งใหญ่บนโลกเหล่านี้ของจีน รัฐบาลจีนจึงไม่ควรกระทำตนเป็น “ตัวปัญหา” แก่ชาวโลก
แม้ที่ผ่านๆ มา ผมจะวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลจีนมาค่อนข้างมาก แต่โดยแท้จริงแล้ว ผมมิได้มีจิตใจ หรือความประสงค์ใดๆที่จะ “แอนตี้จีน” โดยรวมก็ยังดำรงเรื่องความเป็นพี่น้องอยู่เสมอ เพียงแต่แยกแยะความสัมพันธ์ทางเชื้อชาติ ชาติพันธุ์ ออกจากพฤติกรรมของฝ่ายรัฐ หรือรัฐบาล หรือพรรคคอมมิวนิสต์จีน
ในสังคมไทย ทั้งแวดวงการสื่อ วิชาการ การเมืองและราชการต่างก็มีกลุ่มที่จีนอย่างกว้างขวางออกหน้าออกตาโดยไม่แยกแยะชาวจีน ออกจากกลุ่มผู้บริหารประเทศชุดปัจจุบัน ที่มักทำการต่างๆ เสมือนเป็น “นักเลงปากซอย”
ล่าสุดในช่วงสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 นี้ โลกได้เห็นความไร้วุฒิภาวะ ไร้สติ ของผู้นำจีน จากการที่จีนได้กีดกันไต้หวันออกจากวงการองค์การอนามัยโลก (World Health Organization - WHO) ที่ประสงค์ให้มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และกระชับความร่วมมือกัน
เรื่องโรคภัยไข้เจ็บ โดยเฉพาะโรคติดต่อนั้น ต้องถือเป็นเรื่องไร้พรมแดน ทุกประเทศทุกหมู่เหล่าจึงต้องร่วมมือกัน เป็นประเด็นที่จะต้องไม่เอาเรื่องการเมือง เรื่องความเสน่หาหรือไม่ หรือเรื่องอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง
แต่จีนไม่สนใจ และเลือกกระทำการปฏิเสธ กีดกัน ไต้หวันทุกวิถีทาง ทั้งที่ไต้หวันมีระบบการแพทย์การสาธารณสุข หรืออนามัยที่ดีที่สุดระบบหนึ่งของโลก ดูได้จากความสามารถในการควบคุมควบคู่ไปกับนโยบายผ่อนคลายทางเศรษฐกิจ ที่จัดการปัญหาโรคระบาดโควิด-19 ได้ประสบความสำเร็จเป็นประเทศแรกๆ ของโลก
แทนที่โลกจะได้เรียนรู้ ประสบการณ์การแก้ไขปัญหาโรคระบาดโควิด-19 จากไต้หวัน แต่ก็ต้องเจอกับความต่างทางความคิด และจิตใจของรัฐบาลจีน
เหตุการณ์นี้ จีนจึงเพิ่มเติมการสูญเสียความเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ในสายตาของชาวโลก
และโลกก็สูญเสียโอกาสที่จะเรียนรู้จากไต้หวันในการต่อสู้กับโรคระบาดโควิด-19 ทั้งที่โรคนี้ได้ชื่อว่าร้ายที่สุดในยุคใหม่ของมนุษยชาติ ด้วยฝีมือรัฐบาลจีน
ก็อยากขอให้ผู้นำไทยและกลุ่มผู้เชียร์ ชื่นชมจีน ได้พิจารณา และตระหนักในเรื่องนี้ เพราะที่ผ่านๆ มา จะดำเนินนโยบายอะไร ก็ดูจะเกรงอกเกรงใจรัฐบาลจีนเสียเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็น เรื่องการปิดพรมแดนทันที แต่ไทยก็รีรอในการไม่ให้เครื่องบินและนักท่องเที่ยวจีนเข้าประเทศ สะท้อนความเกรงอกเกรงใจจีนโดยใช่เหตุ
สำหรับจีนนั้น จะยิ่งใหญ่แท้จริงมิได้ ถ้ายังขาดวุฒิภาวะ และทำตัวเป็นปัญหามากกว่าผู้สร้างสรรค์
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี