วันพฤหัสบดี ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
วันที่ 2 มีนาคม 2477 คือวันที่ประวัติศาสตร์การเมืองไทยยุคใหม่จารึกไว้ว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 แห่งราชจักรีวงศ์ทรงมีพระราชหัตถเลขาเพื่อทรงประกาศสละราชสมบัติ ในขณะที่พระองค์ประทับอยู่ที่พระตำหนักโนล กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยทรงลงพระปรมาภิไธยท้ายพระราชหัตถเลขา แล้วพระราชทานให้เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ (จิตร ณ สงขลา) ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในรัฐบาลพลเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา โดยรัฐบาลในขณะนั้นแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไป เข้าเฝ้าฯ
เนื้อหาตอนหนึ่งในพระราชหัตถเลขา มีความว่า
…บัดนี้ข้าพเจ้าเห็นว่าความประสงค์ของข้าพเจ้าที่จะให้ราษฎร มีสิทธิออกเสียงในนโยบายของประเทศโดยแท้จริงไม่เป็นผลสำเร็จ และเมื่อข้าพเจ้ารู้สึกว่า บัดนี้เป็นอันหมดหนทางที่ข้าพเจ้าจะช่วยเหลือหรือให้ความคุ้มครองแก่ประชาชนได้ต่อไปแล้ว ข้าพเจ้าจึงขอสละราชสมบัติและออกจากตำแหน่งพระมหากษัตริย์แต่บัดนี้เป็นต้นไป ข้าพเจ้าขอสละสิทธิของข้าพเจ้าทั้งปวง ซึ่งเป็นของข้าพเจ้าอยู่ในฐานะที่เป็นพระมหากษัตริย์ แต่ข้าพเจ้าขอไว้ซึ่งสิทธิทั้งปวงอันเป็นของข้าพเจ้าแต่เดิมมาก่อนที่ข้าพเจ้าได้รับราชสมบัติสืบสันตติวงศ์…
ผู้ศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองไทยในช่วงนี้อย่างลึกซึ้งคงจะเข้าใจได้ดีว่า อะไรคือมูลเหตุสำคัญที่ทำให้รัชกาลที่ 7 ทรงสละราชสมบัติ และใครหรือคนกลุ่มใดที่เป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้ทรงตัดสินพระทัยสละราชสมบัติ
หากศึกษาพระราชบันทึกของพระองค์ที่พระราชทานให้รัฐบาลในขณะนั้น เมื่อเดือนธันวาคม 2477 โดยมีข้อความในพระราชหัตถเลขาดังความตอนหนึ่งว่า
“ข้าพเจ้าได้พูดไว้นานแล้วว่า ข้าพเจ้ายอมสละอำนาจของข้าพเจ้าให้แก่ราษฎรทั้งปวง แต่ไม่สมัครใจที่จะสละอำนาจให้แก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือคณะใดคณะหนึ่ง เว้นแต่จะรู้แน่ว่าเป็นความประสงค์ของประชาชนอันแท้จริงเช่นนั้น”
รวมถึงทรงมีพระราชหัตถเลขาเพื่อทรงประกาศสละราชสมบัติหลังจากนั้นในเวลาสามเดือนต่อมาคือ
“ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใด โดยเฉพาะ เพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิ์ขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร์”
แน่นอนว่า การที่ทรงประกาศสละราชสมบัตินั้น เป็นเพราะทรงทราบดีว่าจุดยืนทางการเมืองของพระองค์กับของคณะผู้เปลี่ยนแปลงการปกครอง หรือคณะราษฎรไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน และทรงเห็นว่าพระองค์ไม่อาจจะทรงให้ความดูแลและคุ้มครองพสกนิกรของพระองค์ได้อีกต่อไป
ครั้นเมื่อทรงประกาศสละราชสมบัติแล้ว ทรงใช้พระราชอิสริยยศเดิม คือ สมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์กรมหลวงสุโขทัยธรรมราชา และไม่ทรงประกาศแต่งตั้งรัชทายาทแล้วประทับ ณ พระตำหนักโนล ชานกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ พร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี และพระประยูรญาติ ทรงดำเนินชีวิตที่แสนจะเรียบง่ายครั้นเมื่อรัฐบาลในยุคนั้นพยายามบีบบังคับพระองค์ด้วยการออกคำสั่งให้ข้าราชบริพารที่ตามเสด็จฯ ต้องกลับประเทศไทย พระองค์จึงทรงตัดสินพระทัยย้ายไปอยู่ในพระตำหนักใหม่ที่มีขนาดเล็กกว่าเดิม คือพระตำหนักเกล็นเพ็มเมินต์
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคตโดยฉับพลันด้วยพระอาการพระหทัยวาย ขณะที่ทรงมีพระชนมพรรษา 48 พรรษา เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2484 สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ทรงจัดงานพระบรมศพเป็นการภายใน โดยอัญเชิญพระบรมศพประดิษฐาน ณ พระตำหนักคอมพ์ตัน งานพระบรมศพเป็นไปอย่างเรียบง่าย ไม่มีการจัดบำเพ็ญพระราชกุศลทางศาสนาพุทธเนื่องจากไม่มีพระสงฆ์ และไม่มีการประกอบพระราชพิธีอื่นๆ ตามโบราณราชประเพณีด้วยมีการจัดพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระองค์ ณ สุสานโกลเดอร์สกรีน เมื่อเสร็จสิ้นการถวายพระเพลิงพระบรมศพแล้ว พระบรมอัฐิและพระบรมราชสรีรางคารถูกอัญเชิญกลับไปประดิษฐาน ณ พระตำหนักคอมพ์ตัน
แต่เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 ทรงทราบจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดงานบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทานอุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ พระอุโบสถวันเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม โดยจัดตามโบราณราชประเพณีทุกประการ
ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2492 รัฐบาลไทยในขณะนั้นได้กราบบังคมทูลสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ในรัชกาลที่ 7 เพื่อขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ทรงอัญเชิญพระบรมอัฐิของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวกลับสู่ประเทศไทย แล้วอัญเชิญขึ้นประดิษฐานไว้รวมกับพระบรมอัฐิสมเด็จพระบูรพมหากษัตราธิราชเจ้าในพระบรมราชจักรีวงศ์ ในพระบรมมหาราชวังและในการนี้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช (พระราชอิสริยยศในขณะนั้น) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีทักษิณานุปทานอุทิศถวายตามพระราชประเพณี และหลังจากนั้นทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระบรมโกศพระบรมอัฐิขึ้นประดิษฐาน ณ หอพระบรมอัฐิ ซึ่งอยู่ชั้นบนพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ส่วนพระบรมราชสรีรางคาร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้อัญเชิญไปบรรจุไว้ ณ พระพุทธบัลลังก์ของพระพุทธอังคีรสพระประธานในพระอุโบสถวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร
นับเป็นเวลา 80 ปีกว่าแล้วที่คณะราษฎรกระทำการแย่งชิงราชสมบัติไปจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวด้วยข้ออ้างว่าเพื่อทำให้ประเทศไทยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย แต่นับจากวันนั้นจวบจนถึงวันนี้ ประเทศไทยเคยมีการปกครองตามข้ออ้างของคณะราษฎรบ้างหรือไม่
ความจริงที่วิญญูชนในสังคมไทยประจักษ์ดีคือ ประเทศไทย (สยาม) นับจากวันแรกที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาจนกระทั่งถึงวันนี้ไม่เคยมีการปกครองตามแบบประชาธิปไตยที่แท้จริงเลย แม้บางยุคบางสมัยอาจจะดูเสมือนว่ามีความเป็นประชาธิปไตยบ้าง แต่ก็เป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น
เป็นเวลากว่า 80 ปี ที่ประเทศไทยอ้างว่ามีการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย แต่ข้ออ้างก็คือข้ออ้าง ส่วนความจริงก็คือความจริง เพราะข้ออ้างกับความจริงไม่เคยสอดคล้องกัน
บ้านเมืองของเรามีการเลือกตั้ง สส. แต่การเลือกตั้ง สส. ก็เป็นเพียงพิธีกรรมที่หาความศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้แม้แต่น้อย เพราะทุกคนรู้ดีว่าการเลือกตั้งในบ้านเมืองของเรานั้นไม่ขาว ไม่สะอาด ไม่โปร่งใส และไม่บริสุทธิ์ แต่ทุกคนก็ยังคงอ้างเพื่อปลอบใจตัวเองว่าบ้านเมืองของเราเป็นประชาธิปไตย
เราจะมีประชาธิปไตยได้อย่างไร ในเมื่อระบบอุปถัมภ์ได้ฝังรากลึกในแผ่นดิน และในความสำนึกของคนไทยจำนวนไม่น้อย เราจะเป็นประชาธิปไตยไปได้อย่างไร ในเมื่อนักการเมืองไทยยังคงซื้อเสียงด้วยกลอุบายต่างๆทั้งด้วยเงิน และด้วยอำนาจเถื่อนอื่นๆ สารพัดรูปแบบ
เราจะเป็นประชาธิปไตยไปได้อย่างไร ในเมื่อคนไทยจำนวนไม่น้อยยังไม่เคยให้ความสำคัญกับผลประโยชน์สาธารณะอย่างแท้จริง แต่คนไทยจำนวนไม่น้อยกลับมุ่งเน้นผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นสำคัญ
เราจะเป็นประชาธิปไตยไปได้อย่างไร ในเมื่อนักการเมืองจำนวนไม่น้อยของไทยมีสภาพไม่ต่างไปจากเจ้าพ่อเจ้าแม่ มาเฟีย นักเลงหัวไม้ โจรห้าร้อย
สำหรับคนไทยที่ศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองในช่วงที่คณะราษฎรแย่งชิงราชสมบัติจากรัชกาลที่ 7 จะรู้ดีว่าพระมหากษัตริย์ไทยทรงถูกกระทำย่ำยีอย่างไรบ้างจากคณะราษฎร
แปดสิบกว่าปีผ่านพ้นไป ไม่เคยมีใครเรียกร้องความชอบธรรมเพื่อถวายคืนแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ส่วนกลุ่มคนที่ปล้นราชสมบัติไปจากพระองค์ก็ยังคงอ้างว่าเปลี่ยนแปลงการปกครองให้เป็นประชาธิปไตย แต่ทว่าคำอ้างของคนที่ปล้นราชสมบัติไปนั้นไม่เคยเป็นความจริงเลยแม้แต่น้อย

‘อบต.เหล่าหมี มุกดาหาร’จัดงานลอยกระทง งดพลุ แสง สี เสียง
‘นายกฯอนุทิน’ตอบเอง หลังชาวเน็ตโฟกัส‘ซิป’ งานนี้ฮาไม่เบา
วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุดรธานี แปลอักษรถวายความอาลัย'สมเด็จพระพันปีหลวง'
ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก‘อบต.นาฝาย ชัยภูมิ’นำเด็กฝึกทำกระทงใบตอง ลดค่าใช้จ่ายวันลอยกระทง
ส่งผ่าพิสูจน์! 'โลมาลายแถบ'เกยตื้นตาย'ชายหาดบาสัก' พบมีบาดแผลถลอก

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี