วันที่ 2 มีนาคม 2477 คือวันที่ประวัติศาสตร์การเมืองไทยยุคใหม่จารึกไว้ว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 แห่งราชจักรีวงศ์ทรงมีพระราชหัตถเลขาเพื่อทรงประกาศสละราชสมบัติ ในขณะที่พระองค์ประทับอยู่ที่พระตำหนักโนล กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยทรงลงพระปรมาภิไธยท้ายพระราชหัตถเลขา แล้วพระราชทานให้เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ (จิตร ณ สงขลา) ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในรัฐบาลพลเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา โดยรัฐบาลในขณะนั้นแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไป เข้าเฝ้าฯ
เนื้อหาตอนหนึ่งในพระราชหัตถเลขา มีความว่า
…บัดนี้ข้าพเจ้าเห็นว่าความประสงค์ของข้าพเจ้าที่จะให้ราษฎร มีสิทธิออกเสียงในนโยบายของประเทศโดยแท้จริงไม่เป็นผลสำเร็จ และเมื่อข้าพเจ้ารู้สึกว่า บัดนี้เป็นอันหมดหนทางที่ข้าพเจ้าจะช่วยเหลือหรือให้ความคุ้มครองแก่ประชาชนได้ต่อไปแล้ว ข้าพเจ้าจึงขอสละราชสมบัติและออกจากตำแหน่งพระมหากษัตริย์แต่บัดนี้เป็นต้นไป ข้าพเจ้าขอสละสิทธิของข้าพเจ้าทั้งปวง ซึ่งเป็นของข้าพเจ้าอยู่ในฐานะที่เป็นพระมหากษัตริย์ แต่ข้าพเจ้าขอไว้ซึ่งสิทธิทั้งปวงอันเป็นของข้าพเจ้าแต่เดิมมาก่อนที่ข้าพเจ้าได้รับราชสมบัติสืบสันตติวงศ์…
ผู้ศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองไทยในช่วงนี้อย่างลึกซึ้งคงจะเข้าใจได้ดีว่า อะไรคือมูลเหตุสำคัญที่ทำให้รัชกาลที่ 7 ทรงสละราชสมบัติ และใครหรือคนกลุ่มใดที่เป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้ทรงตัดสินพระทัยสละราชสมบัติ
หากศึกษาพระราชบันทึกของพระองค์ที่พระราชทานให้รัฐบาลในขณะนั้น เมื่อเดือนธันวาคม 2477 โดยมีข้อความในพระราชหัตถเลขาดังความตอนหนึ่งว่า
“ข้าพเจ้าได้พูดไว้นานแล้วว่า ข้าพเจ้ายอมสละอำนาจของข้าพเจ้าให้แก่ราษฎรทั้งปวง แต่ไม่สมัครใจที่จะสละอำนาจให้แก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือคณะใดคณะหนึ่ง เว้นแต่จะรู้แน่ว่าเป็นความประสงค์ของประชาชนอันแท้จริงเช่นนั้น”
รวมถึงทรงมีพระราชหัตถเลขาเพื่อทรงประกาศสละราชสมบัติหลังจากนั้นในเวลาสามเดือนต่อมาคือ
“ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใด โดยเฉพาะ เพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิ์ขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร์”
แน่นอนว่า การที่ทรงประกาศสละราชสมบัตินั้น เป็นเพราะทรงทราบดีว่าจุดยืนทางการเมืองของพระองค์กับของคณะผู้เปลี่ยนแปลงการปกครอง หรือคณะราษฎรไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน และทรงเห็นว่าพระองค์ไม่อาจจะทรงให้ความดูแลและคุ้มครองพสกนิกรของพระองค์ได้อีกต่อไป
ครั้นเมื่อทรงประกาศสละราชสมบัติแล้ว ทรงใช้พระราชอิสริยยศเดิม คือ สมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์กรมหลวงสุโขทัยธรรมราชา และไม่ทรงประกาศแต่งตั้งรัชทายาทแล้วประทับ ณ พระตำหนักโนล ชานกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ พร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี และพระประยูรญาติ ทรงดำเนินชีวิตที่แสนจะเรียบง่ายครั้นเมื่อรัฐบาลในยุคนั้นพยายามบีบบังคับพระองค์ด้วยการออกคำสั่งให้ข้าราชบริพารที่ตามเสด็จฯ ต้องกลับประเทศไทย พระองค์จึงทรงตัดสินพระทัยย้ายไปอยู่ในพระตำหนักใหม่ที่มีขนาดเล็กกว่าเดิม คือพระตำหนักเกล็นเพ็มเมินต์
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคตโดยฉับพลันด้วยพระอาการพระหทัยวาย ขณะที่ทรงมีพระชนมพรรษา 48 พรรษา เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2484 สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ทรงจัดงานพระบรมศพเป็นการภายใน โดยอัญเชิญพระบรมศพประดิษฐาน ณ พระตำหนักคอมพ์ตัน งานพระบรมศพเป็นไปอย่างเรียบง่าย ไม่มีการจัดบำเพ็ญพระราชกุศลทางศาสนาพุทธเนื่องจากไม่มีพระสงฆ์ และไม่มีการประกอบพระราชพิธีอื่นๆ ตามโบราณราชประเพณีด้วยมีการจัดพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระองค์ ณ สุสานโกลเดอร์สกรีน เมื่อเสร็จสิ้นการถวายพระเพลิงพระบรมศพแล้ว พระบรมอัฐิและพระบรมราชสรีรางคารถูกอัญเชิญกลับไปประดิษฐาน ณ พระตำหนักคอมพ์ตัน
แต่เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 ทรงทราบจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดงานบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทานอุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ พระอุโบสถวันเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม โดยจัดตามโบราณราชประเพณีทุกประการ
ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2492 รัฐบาลไทยในขณะนั้นได้กราบบังคมทูลสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ในรัชกาลที่ 7 เพื่อขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ทรงอัญเชิญพระบรมอัฐิของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวกลับสู่ประเทศไทย แล้วอัญเชิญขึ้นประดิษฐานไว้รวมกับพระบรมอัฐิสมเด็จพระบูรพมหากษัตราธิราชเจ้าในพระบรมราชจักรีวงศ์ ในพระบรมมหาราชวังและในการนี้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช (พระราชอิสริยยศในขณะนั้น) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีทักษิณานุปทานอุทิศถวายตามพระราชประเพณี และหลังจากนั้นทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระบรมโกศพระบรมอัฐิขึ้นประดิษฐาน ณ หอพระบรมอัฐิ ซึ่งอยู่ชั้นบนพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ส่วนพระบรมราชสรีรางคาร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้อัญเชิญไปบรรจุไว้ ณ พระพุทธบัลลังก์ของพระพุทธอังคีรสพระประธานในพระอุโบสถวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร
นับเป็นเวลา 80 ปีกว่าแล้วที่คณะราษฎรกระทำการแย่งชิงราชสมบัติไปจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวด้วยข้ออ้างว่าเพื่อทำให้ประเทศไทยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย แต่นับจากวันนั้นจวบจนถึงวันนี้ ประเทศไทยเคยมีการปกครองตามข้ออ้างของคณะราษฎรบ้างหรือไม่
ความจริงที่วิญญูชนในสังคมไทยประจักษ์ดีคือ ประเทศไทย (สยาม) นับจากวันแรกที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาจนกระทั่งถึงวันนี้ไม่เคยมีการปกครองตามแบบประชาธิปไตยที่แท้จริงเลย แม้บางยุคบางสมัยอาจจะดูเสมือนว่ามีความเป็นประชาธิปไตยบ้าง แต่ก็เป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น
เป็นเวลากว่า 80 ปี ที่ประเทศไทยอ้างว่ามีการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย แต่ข้ออ้างก็คือข้ออ้าง ส่วนความจริงก็คือความจริง เพราะข้ออ้างกับความจริงไม่เคยสอดคล้องกัน
บ้านเมืองของเรามีการเลือกตั้ง สส. แต่การเลือกตั้ง สส. ก็เป็นเพียงพิธีกรรมที่หาความศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้แม้แต่น้อย เพราะทุกคนรู้ดีว่าการเลือกตั้งในบ้านเมืองของเรานั้นไม่ขาว ไม่สะอาด ไม่โปร่งใส และไม่บริสุทธิ์ แต่ทุกคนก็ยังคงอ้างเพื่อปลอบใจตัวเองว่าบ้านเมืองของเราเป็นประชาธิปไตย
เราจะมีประชาธิปไตยได้อย่างไร ในเมื่อระบบอุปถัมภ์ได้ฝังรากลึกในแผ่นดิน และในความสำนึกของคนไทยจำนวนไม่น้อย เราจะเป็นประชาธิปไตยไปได้อย่างไร ในเมื่อนักการเมืองไทยยังคงซื้อเสียงด้วยกลอุบายต่างๆทั้งด้วยเงิน และด้วยอำนาจเถื่อนอื่นๆ สารพัดรูปแบบ
เราจะเป็นประชาธิปไตยไปได้อย่างไร ในเมื่อคนไทยจำนวนไม่น้อยยังไม่เคยให้ความสำคัญกับผลประโยชน์สาธารณะอย่างแท้จริง แต่คนไทยจำนวนไม่น้อยกลับมุ่งเน้นผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นสำคัญ
เราจะเป็นประชาธิปไตยไปได้อย่างไร ในเมื่อนักการเมืองจำนวนไม่น้อยของไทยมีสภาพไม่ต่างไปจากเจ้าพ่อเจ้าแม่ มาเฟีย นักเลงหัวไม้ โจรห้าร้อย
สำหรับคนไทยที่ศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองในช่วงที่คณะราษฎรแย่งชิงราชสมบัติจากรัชกาลที่ 7 จะรู้ดีว่าพระมหากษัตริย์ไทยทรงถูกกระทำย่ำยีอย่างไรบ้างจากคณะราษฎร
แปดสิบกว่าปีผ่านพ้นไป ไม่เคยมีใครเรียกร้องความชอบธรรมเพื่อถวายคืนแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ส่วนกลุ่มคนที่ปล้นราชสมบัติไปจากพระองค์ก็ยังคงอ้างว่าเปลี่ยนแปลงการปกครองให้เป็นประชาธิปไตย แต่ทว่าคำอ้างของคนที่ปล้นราชสมบัติไปนั้นไม่เคยเป็นความจริงเลยแม้แต่น้อย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี