เมื่อได้ฟังการอภิปรายงบประมาณปี 2563 คำพูดหนึ่งของรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ “ศ.ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน” คือคำพูดที่ว่า พระราชบัญญัติงบประมาณฉบับนี้ จะต้องเป็นฉบับ “รอยยิ้มของประชาชน”ซึ่งหมายถึงว่า การใช้จ่ายเงินทุกบาททุกสตางค์ของชาติ ต้องมุ่งหมายแก้ไข “ความทุกข์” ให้แก่ประชาชนอย่างแท้จริง เพื่อให้ประชาชน “มีรอยยิ้ม” ให้ได้ เป็นคำพูดที่ “ตรึงใจ” มาก
คำพูดนี้ชี้ชัดว่า ผู้พูดมีความเป็นห่วงประชาชน และหวังผลให้ พ.ร.บ.งบประมาณประจำปี ไปให้ถึงจุดที่จะ “เปลี่ยนทุกข์เป็นสุข” ให้จงได้ จึงพยายามอภิปรายเตือนว่า อย่าเอาแค่งบที่ “ข้าราชการ” เสนอมา โดยไม่ดูให้ถี่ถ้วนว่า ได้แก้ปัญหาให้ประชาชน ปัญหาของประชาชน จริงหรือไม่
นี่คือ “กัลยาณมิตร” ที่รัฐบาลไม่ควรวางเฉย และนี่คือนักการเมืองคุณภาพคนหนึ่งที่สภาผู้แทนราษฎรมี
ความห่วงใยเช่นนั้น กลับมาอีกครั้ง เมื่อพูดถึง “เงินกู้”ที่รัฐบาลขอกู้ เพื่อนำมาแก้ปัญหา ฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจและชีวิตของประชาชนหลังโควิด-19 ระบาด ทว่า “วิธีการ” กลับเหมือนเดิม คือให้ “ข้าราชการ” เสนอโครงการมา “ขอเงิน” ไปลงมือทำ
ศ.ดร.กนก ได้เขียนบทความสั้นๆ ขึ้นมาบทหนึ่งที่ผมอยากให้ทุกคน “บรรจงอ่าน” คือ อ่านอย่างใส่ใจ จะพบความห่วงใยมากมาย ผ่านบทความนี้
“เงินกู้ 1.9 ล้านล้าน ต้องตรวจสอบผ่านตัวแทนประชาชน”
1. พระราชกำหนดเงินกู้ 1.9 ล้านล้านบาท ผ่านสภาผู้แทนราษฎรไปเรียบร้อยแล้ว จากนี้ไปจะเป็นเรื่องของการใช้จ่ายเงินกู้ก้อนมหาศาลนี้ เพื่อแก้ไขวิกฤติและผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19
ประเด็นการอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรของรัฐบาล และ สส. ที่กล่าวอ้างว่าเงินกู้ 1.9 ล้านล้านนี้ จะแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน และพลิกฟื้นเศรษฐกิจและสังคมของประเทศได้นั้น สมควรจะต้องติดตามและประเมินผลว่าเป็นเช่นที่รัฐบาล และสส. ได้อภิปรายไว้ในสภาฯ หรือไม่ ดังนั้น การมีกลไกของสภาฯ คือ คณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อติดตามและประเมินผลการใช้เงินกู้ก้อนนี้ จึงเป็นเรื่องที่มีเหตุผลและความสำคัญ
ในเวลาเดียวกันภาคประชาชน สื่อมวลชน และสถาบันการศึกษาก็ควรที่จะจัดตั้งคณะทำงานเพื่อติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการใช้เงินก้อนใหญ่นี้อย่างเป็นระบบ มีหลักวิชา ไม่ใช่ทำเพียงการออกแบบสอบถาม (ทำโพลล์)ว่าพอใจกับการใช้เงินกู้ก้อนนี้หรือไม่ เพราะผลโพลล์มีลักษณะให้คำตอบเพียงความรู้สึกนึกคิดของประชาชนเท่านั้น
แต่สิ่งที่ประเทศชาติต้องการมากกว่านั้น คือ เราอยากทราบปัญหาการใช้เงินกู้ การบรรลุเป้าหมายของการใช้เงินกู้ เหตุผลที่ทำให้การใช้เงินกู้สำเร็จหรือไม่สำเร็จในเรื่องต่างๆ ไปจนถึงข้อเสนอแนะเพื่อช่วยให้การใช้เงินกู้ในอนาคต และการใช้งบประมาณปกติในอนาคตบรรลุเป้าหมาย คือการแก้ไขปัญหาของประชาชนได้จริง และขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้าได้จริง
2. ผมอยากชวนให้พวกเรามาช่วยกันคิด ติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการใช้เงินกู้ 1.9 ล้านล้าน ว่าเป็นไปตามเป้าหมายที่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบอกไว้หรือไม่ และเพราะเหตุใดจึงมีความสำเร็จหรือล้มเหลว
สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจกันก่อนก็คือ เมื่อพูดถึงการติดตามและตรวจสอบ ประชาชนส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับเรื่องของความซื่อสัตย์สุจริตในการใช้เงินกู้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการใช้เงินกู้ก้อนนี้ไปเอื้อประโยชน์กับใคร หรืออาจไปเกิดผลประโยชน์อันพึงไม่ชอบกับใคร กลุ่มไหน ดังนั้น เรื่องของความโปร่งใส และการเปิดเผยข้อมูลให้เป็นสาธารณะจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะการตรวจสอบที่เกิดขึ้นได้ง่ายและมีอย่างเข้มข้นในทุกภาคส่วน ก็จะเป็นการสกัดกั้นการทุจริตคอร์รัปชั่นได้อย่างเด็ดขาด ซึ่งก็เป็นกลไกการบริหารที่มีธรรมาภิบาลตามปกติที่ได้รับการยอมรับโดยทั่วไป
ฉะนั้น การมีคณะบุคคลที่น่าเชื่อถือเข้าไปประมวล วิเคราะห์ ตั้งประเด็นต่างๆ ที่น่าสงสัยเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินกู้มาเปิดเผยและอธิบายให้ประชาชนรับทราบ ก็เป็นเรื่องที่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อสังคม และประเทศชาติ ภายใต้กระบวนการของการตรวจสอบ และติดตาม
3. แต่ประเด็นที่อยากให้ลงลึกกันไปอีกก็คือ เรื่องของ “การประเมินผล” หรือการวัดผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการทำงานว่าบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ก่อนการทำงานหรือไม่ เพราะเหตุใด และมีข้อเสนอแนะเพื่อการปรับปรุงและพัฒนาให้การทำงานในเวลาต่อไปบรรลุเป้าหมายมากยิ่งขึ้น ซึ่งในเรื่องของการประเมินผลนี้ ประสิทธิภาพจะเกิดขึ้นได้อย่างสมบูรณ์ต้องประกอบด้วย 3 เรื่อง ดังต่อไปนี้
3.1. เป้าหมายของแผนงานโครงการการใช้เงินกู้ 1.9 ล้านล้านบาท ยังขาดการชี้แจงในเรื่องของเป้าหมายว่าคืออะไร และมีการวัดผลอย่างไร ซึ่งต้องไม่ใช่แค่การวัดความพึงพอใจในเชิงคุณภาพเท่านั้น แต่ต้องเป็นการวัดผลสัมฤทธิ์ในเชิงปริมาณต่อการใช้จ่ายเงินกู้ออกไปด้วย เช่น เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น 10,000 บาทต่อเดือน ต่อครอบครัวอย่างยั่งยืน พื้นที่การเกษตรนอกเขตชลประทานมีน้ำใช้เพื่อการเกษตรตลอด 12 เดือน จำนวน 450,000 ไร่ เป็นต้น เพราะเป้าหมายเชิงปริมาณเช่นนี้ สามารถวัดผลได้เป็นรูปธรรม และนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายเชิงคุณภาพได้ด้วย ดังนั้น การกำหนดเป้าหมายที่แน่ชัดในเชิงปริมาณต่อการใช้เงินกู้ในแต่ละโครงการ จะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยกำกับให้การใช้เงินกู้เกิดประโยชน์กับประชาชนอย่างแท้จริง
3.2. ผลลัพธ์ของแผนงานโครงการการใช้เงินกู้ 1.9 ล้านล้านบาท จะสำเร็จตามกรอบหรือเป้าหมายที่วางเอาไว้หรือไม่ นั่นคือประชาชนจะสามารถพ้นจากความเดือดร้อนได้หรือไม่ ตัวอย่างคือ ถ้าเป้าหมายกำหนดว่าเกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น 10,000 บาทต่อเดือนต่อครัวเรือน แต่ผลลัพธ์ของแผนงานโครงการคือการจัดหาน้ำให้เกษตรกรสามารถทำการเกษตรได้ตลอดทั้งปี นั่นหมายถึงเมื่อมีน้ำในการเพาะปลูกย่อมหมายถึงรายได้ที่เพิ่มขึ้น 10,000 บาทต่อเดือนต่อครัวเรือน ตามมาหรือไม่ หรืออาจต้องมีอีกโครงการเชื่อมโยงที่จะเข้ามาทำในเรื่องของการเพาะปลูก การพลิกฟื้นดิน หรือแม้แต่การตลาดเพื่อยกระดับรายได้
ดังนั้น เป้าหมายที่วางเอาไว้ แค่ผลลัพธ์จากบางโครงการอาจไปไม่ถึง จึงต้องมีการบูรณาการโครงการต่างๆ เข้าด้วยกันเพื่อที่จะครอบคลุมกระบวนการที่มีประสิทธิภาพในการพาไปสู่ความสำเร็จของการใช้จ่ายเงินกู้ที่ได้กำหนดเอาไว้
3.3 ในทางที่เทียบเคียงผลลัพธ์และผลสัมฤทธิ์ของโครงการแล้วไม่สำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนด เป็นการเบี่ยงเบนไปจากเป้าหมาย ตรงนี้ต้องเป็นหน้าที่ของรัฐบาล และคณะที่ติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการใช้เงินกู้ 1.9 ล้านล้านบาท หาสาเหตุและคำอธิบาย ว่าการเบี่ยงเบนนั้นเกิดขึ้นด้วยเหตุผลอะไร เพื่อนำมาแก้ไข ปรับปรุง พัฒนาการปฏิบัติแผนงานโครงการต่อไปให้บรรลุเป้าหมายมากขึ้น ส่วนในทางที่สำเร็จตามเป้าหมาย ก็ต้องมีหน่วยงานวิเคราะห์หาเหตุผลของความสำเร็จด้วยเช่นกัน เพื่อนำผลลัพธ์ที่ได้นั้นมาปรับใช้กับการปฏิบัติแผนงานโครงการต่อไปให้ครบถ้วน เพื่อยกระดับประสิทธิภาพในการปฏิบัติที่มากยิ่งขึ้น
3.4 การติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการใช้เงินกู้ 1.9 ล้านล้านบาท ด้วยกรอบแนวคิด 3 ประการนี้ จะทำให้เราเห็นภาพของการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลบนข้อมูลจริง ที่ไม่ถูกบิดเบือนด้วยอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ ในทางการเมือง ที่สำคัญ เราจะได้ทราบถึงปัญหา อุปสรรค ที่ทำให้ไปไม่ถึงเป้าหมาย เพื่อนำมาเป็นบทเรียนในการพัฒนาแก้ไขต่อไป รวมไปถึงระบบที่มีประสิทธิภาพต่องานที่เกิดความสำเร็จ เพื่อนำมายึดเป็นรูปแบบตัวอย่างในภายภาคหน้า
ดังนั้น การใช้จ่ายที่เกิดขึ้นต่อการตรวจสอบ ติดตาม และประเมินผล ก็จะเกิดประโยชน์อย่างสูงสุด เพราะนอกจากป้องกันการทุจริตประพฤติมิชอบแล้ว ยังส่งเสริมให้เกิดการใช้จ่ายอย่างมีคุณค่า และสร้างประสิทธิภาพตามเป้าหมายที่วางกรอบเอาไว้อย่างแม่นยำ ที่สำคัญ เรายังได้ข้อมูลต่างๆ ในการสร้างระบบและกระบวนการทำงานจากภาครัฐลงสู่พื้นที่เป้าหมายอย่างถูกต้อง ชัดเจน และเห็นผล
เมื่อไล่เลียงตามนี้แล้ว ผมไม่เห็นเหตุผลอะไรที่จะไม่ให้มีการตรวจสอบ ติดตาม และประเมินผล การใช้เงินกู้ 1.9 ล้านล้านบาทนี้เกิดขึ้นในระบบนิติบัญญัติของประเทศไทยเลยสักนิด จึงขอฝากมาให้ช่วยกันคิดและพิจารณาครับ” นี่คือ ข้อเขียนของ ศ.ดร.กนก ครับ
ในการติดตาม ตรวจสอบ ศ.ดร.กนก ได้รับการเสนอชื่อจากพรรคร่วมรัฐบาล ได้รับความสนับสนุนจากตัวแทนฝ่ายค้าน ชิงตำแหน่งประธานกรรมาธิการติดตามตรวจสอบฯ ทว่าก็ไม่อาจสู้กับเสียงฝั่งรัฐบาลที่บรรจงส่ง “ไพบูลย์ นิติตะวัน”ไปรอนั่งเก้าอี้ดังกล่าวแล้ว ถึงขนาดนายชินวรณ์ บุณยเกียรติ โทรเข้ามือถือของ สส.ราชบุรี นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.น้ำดีคนหนึ่ง ที่อยู่ในกรรมาธิการชุดดังกล่าว แต่ ศ.ดร.กนก ไม่รับ
“ผมยึดหลักว่า พรรคไม่เคยมีมติเรื่องนี้ ถ้าหากก่อนหน้านี้พรรคมีมติว่า เราจะไม่ชิงตำแหน่งประธานกรรมาธิการ ผมก็จะทำตาม แต่พรรคไม่เคยมีมติแบบนี้ และเราซึ่งอยู่ในพรรคประชาธิปัตย์ เราถือว่า การตรวจสอบเงินของแผ่นดิน เงินของประชาชน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชนนั้น เป็นหน้าที่ของเรา เป็นอุดมการณ์ของเรา และเป็นพันธกิจของเรา ที่จะทำให้กรรมาธิการชุดนี้เป็นที่เชื่อมั่น เชื่อใจที่อยากเห็นความซื่อสัตย์สุจริต และพรรคร่วมรัฐบาลเป็นผู้เสนอ เราคงถอนตัวไม่ได้” ผลออกมา “ไพบูลย์ นิติตะวัน” เป็นประธานกรรมาธิการตามกระบวนการที่ตระเตรียมกันมา
แต่สำหรับ ศ.ดร.กนก นี่คือ “นักการเมืองน้ำดี” ซื่อตรงต่อหลักการ ทะนงในเกียรติ และสุภาพต่อการทำหน้าที่
และหากศึกษาลึกลงไป จะพบว่า ศ.ดร.กนกมีทั้งความรู้และ “การปฏิบัติ” อยู่ในตัวเอง ถึงเวลาแล้วครับ ที่ประชาชนจะต้องจดจ่อต่อการมองหานักการเมืองที่ดี ติดตาม สนใจ และให้ความสนับสนุน และถึงเวลาแล้วครับ ที่พรรคควรภาคภูมิใจและผลักดันให้เป็น“แนวหน้า” ของคนทำงานตัวจริง!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี