น่าสมเพชเวทนามาก...
หลังจากศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง คดีโกงสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นบางคดี ที่มี “นายศุภชัย ศรีศุภอักษร” และพวก เป็นจำเลย ข้อหาฉ้อโกงประชาชน
ปรากฏว่า ศิษย์ธรรมกายบางกลุ่มรีบตีปั๊บ-ฟอกขาวทันทีว่า “เมื่อศุภชัยบริสุทธิ์ หลวงพ่อธัมมชโยก็ต้องบริสุทธิ์ด้วย ปล่อยหลวงพ่อให้กลับมาเผยแผ่ศาสนาเถอะครับ”
เป็นที่น่าขบขัน และเวทนา สำหรับผู้ที่รู้ข้อมูลข้อเท็จจริง ว่า คดีโกงของศุภชัยนั้น มีมากมายหลายคดีแค่ไหน และเกี่ยวข้องอย่างไรกับคดีของธัมมชโย
1. เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 2563 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาคดีที่มีนายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด และพวก เป็นจำเลยข้อหาฉ้อโกงประชาชน 2 คดี ได้แก่ คดีหมายเลขดำที่ อ.1260/2561 และ คดีหมายเลขดำที่ อ.235/2562
คำพิพากษาศาลชั้นต้น ยกฟ้องจำเลยทั้งสองคดี
แต่ทั้งสองคดีนั้น ไม่มีคดีใดเลยที่มีอดีตพระธัมมชโย เป็นจำเลย
อีกทั้ง คดีนี้ก็ไม่มีพระ วัด หรือมูลนิธิธรรมกาย เป็นจำเลยด้วย
พอมีคำพิพากษายกฟ้องคดีเหล่านี้ กลับมีการตีฆ้องร้องป่าวว่าธัมมชโยบริสุทธิ์!!!!
จึงเป็นที่น่าเวทนาในสายตาของวิญญูชน
2. ทำไมศาลจึงยกฟ้องนายศุภชัยกับพวก ข้อหาฉ้อโกงประชาชน?
ศาลอาญาพิพากษายกฟ้องทั้งสองคดี โดยระบุว่า ยกประโยชน์แห่งความสงสัยแก่ฝ่ายจำเลย
2.1 คดีหมายเลขดำที่ อ.1260/2561 ศาลชี้ว่า โจทก์มิได้นำผู้ตรวจการสหกรณ์มาเป็นพยานยืนยันว่า สหกรณ์คลองจั่นฯ จัดทำบัญชีงบการเงินเป็นเท็จจริงหรือไม่ นอกจากนี้โจทก์ทั้ง 410 ราย มิได้นำพยานหลักฐานมาสืบให้เห็นว่าอัตราดอกเบี้ยที่สหกรณ์คลองจั่นฯตกลงจะให้เป็นอัตราที่สูงกว่าผลตอบแทนหรือดอกเบี้ยของสถาบันการเงินอื่นในขณะนั้นมากน้อยเพียงใด และสหกรณ์คลองจั่นฯไม่สามารถจ่ายดอกเบี้ยให้แก่สมาชิกในอัตราดังกล่าวได้ หรือการกำหนดอัตราดอกเบี้ยเป็นไปตามกฎหมายหรือไม่
นอกจากนี้ โจทก์นำสืบโดยไม่มีรายละเอียดถึงพฤติการณ์ของนายศุภชัยว่ากระทำการหลอกลวงอันเป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนต่อโจทก์ทั้ง 410 รายอย่างไร และโจทก์มิได้นำผู้ตรวจการสหกรณ์มาเบิกความยืนยันว่าจัดทำงบการเงินอันเป็นเท็จหรือไม่ แม้โจทก์จะมีนายไพบูลย์ นิติตะวัน (ปัจจุบันเป็น สส.พรรคพลังประชารัฐ) มาเบิกความถึงพฤติการณ์ของนายศุภชัย แต่นายไพบูลย์เป็นเพียงผู้รับมอบอำนาจให้เป็นผู้ดำเนินคดีกับสหกรณ์คลองจั่นฯ และนายศุภชัย แทนโจทก์ และไม่ได้เป็นสมาชิกสหกรณ์คลองจั่นฯ มิได้รู้เห็นเกี่ยวกับพฤติการณ์ของนายศุภชัย เพียงแต่ได้รับคำบอกเล่ามาเบิกความตามที่รับฟังมาเท่านั้น
เมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่านายศุภชัยกระทำความผิด แต่ไม่มีพยานหลักฐานชัดเจนว่าหลอกลวงอย่างไร มีเพียงพยานบุคคลซึ่งมิได้รู้เห็นมาเบิกความเพียง 3 ปากเท่านั้น
พยานหลักฐานของโจทก์ยังมีข้อสงสัยตามสมควรว่า นายศุภชัยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลย พิพากษายกฟ้อง
2.2 คดีหมายเลขดำที่ อ.235/2562 ศาลชี้ว่า โจทก์ไม่ได้นำพยานหลักฐานมาแสดงเรื่องการขาดทุน และไม่นำผู้ตรวจบัญชีมาเบิกความถึงข้อบกพร่อง มีคำเบิกความของผู้รับมอบอำนาจซึ่งไม่ใช่สมาชิก ไม่มีพยานหลักฐานแสดงว่าเป็นเท็จอย่างไร และนายศุภชัยให้การปฏิเสธมาโดยตลอด
พยานหลักฐานจึงยังฟังไม่ได้ว่าสหกรณ์คลองจั่นฯ และนายศุภชัย กระทำผิดตามฟ้อง จึงพิพากษายกฟ้องเช่นกัน
2.3 วิญญูชนพึงทราบว่า ศาลอาญานั้น ใช้ระบบกล่าวหา
ฝ่ายโจทก์จะ ต้องนำเสนอพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ฝ่ายจำเลยมีพฤติการณ์กระทำผิดตามข้อกล่าวหา โดยที่ผู้พิพากษาไม่มีอำนาจหน้าที่เรียกพยานหลักฐานเพิ่มเติมเอง หรือจะซักถามโจทก์ จำเลย และพยานเองก็ไม่ได้แตกต่างจากศาลที่ใช้ระบบไต่สวน เช่น ศาลปราบโกง และศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
น่าสงสัยว่า เหตุใดฝ่ายโจทก์จึงไม่นำพยานหลักฐานที่แน่นหนากว่านี้ เข้าไปพิสูจน์ในชั้นศาล
เป็นเพราะไม่มีพยานหลักฐานจริงๆ หรือไม่ได้เอาเข้าไปให้ศาลพิจารณา เพราะเหตุใด?
เหตุใดไม่มีการนำเอาผู้ตรวจฯ เข้าไปเบิกความยืนยันข้อเท็จจริงของการตรวจสอบ
ยังไม่ต้องกล่าวถึงข้อเท็จจริงจากการตรวจสอบของทางการ และการดำเนินคดีที่บ่งชี้พฤติกรรมต่างๆ นานาอีกมากมาย บางคดีศาลตัดสินพิพากษาคดีถึงที่สุดแล้วด้วย
ไม่นับเส้นทางการเงินที่ตรวจสอบโดย ปปง. ฯลฯ
ใครจะต้องรับผิดชอบ?
น่าติดตามว่า ในการอุทธรณ์คดี จะมีการนำเสนอพยานหลักฐานเพิ่มเติมเข้าไปอีกแค่ไหน อย่างไร?
ใครสู้คดีจริงจัง หรือใครมวยล้มต้มคนดู?
3. นายศุภชัย ยังมีคดีอีกมากมายนับสิบคดี
ก่อนหน้านี้ คดีหมายเลขดำที่ อ.1739/2558 ศาลอาญาพิพากษาจำคุก 32 ปี ฐานสั่งการให้เจ้าหน้าที่การเงินทำการเบิกจ่ายเงินของสหกรณ์ฯหลายครั้ง เป็นเงินจำนวน 22,132,000 บาท เข้าบัญชีของนายศุภชัย หรือบุคคลที่ 3 โดยทุจริตคดีดังกล่าวนายศุภชัยรับสารภาพ ศาลเมตตาลดโทษเหลือโทษจำคุก 16 ปี
ชั้นอุทธรณ์ ศาลมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2560 แก้เป็นว่าจำคุก 7 ปี
ศาลฎีกาพิพากษา ยืนตามศาลอุทธรณ์ ให้จำคุกจำเลย 7 ปี คดีถึงที่สุดแล้ว
ประการสำคัญ ยังมีคดีอาญาฐานฟอกเงินอีกมากมาย ที่ ปปง.และพนักงานสอบสวนตรวจสอบเส้นทางการเงิน พบว่ามีการยักย้ายถ่ายโอนเงิน แปลงสภาพไปที่เครือข่ายต่างๆ มากมาย อาทิ
เครือข่ายธรรมกาย ซึ่งบางคดีมีพระธัมมชโยตกเป็นผู้ต้องหา ศาลออกหมายจับ หลบคดีอยู่จนถึงวันนี้ด้วย, บางคดีเกี่ยวโยงถึงมูลนิธิ, นายทุนใหญ่ของวัด,พระสงฆ์ ฯลฯ
นอกจากนี้ ปปง.ได้ดำเนินคดีแพ่งเพื่อตามยึดทรัพย์กลับคืนมาเป็นของแผ่นดินหรือคืนสหกรณ์ ซึ่งเกือบทุกคดี ศาลตัดสินแล้วให้ทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดินหรือคืนกลับแก่สหกรณ์ บางคดีถึงที่สุดแล้วด้วย
แม้แต่มูลนิธิของธรรมกาย ที่มีทรัพย์สินและเงินหมุนเวียนนับหมื่นล้านบาท ก็ถูกดีเอสไอส่งคดีต่ออัยการเพื่อยื่นศาลแพ่งให้ยุบมูลนิธิมหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูงฯ และให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน เนื่องจากกระทำผิดกฎหมาย ปรากฏว่า ดีเอสไอได้ส่งคำร้องไปที่อัยการภาค 1 แล้ว แต่อัยการสั่งสอบเพิ่มและยังไม่ได้ยื่นศาลจนบัดนี้ ยังไม่มีคำชี้แจง ยังไม่มีใครไปติดตามอะไรต่อ
4. สำหรับธัมมชโย
การมาเรียกร้องว่า “ปล่อยหลวงพ่อกลับมาเผยแผ่ศาสนา” เป็นการเรียกร้องแบบหน้ามืดตามัว มั่วซั่วมาก
เพราะธัมมชโยได้หลบหนีหมายจับ หนีคดีไปเอง ไม่ใช่มีใครไปกักขังไว้แต่อย่างใด
จนบัดนี้ ยังเป็นบุคคลที่มีหมายจับติดตัวอยู่ ตำรวจยังตามหาตัวไม่เจอ
ธัมมชโยยังคงเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับ รวมกว่า 12 หมายจับ
นางศศิธร โชคประสิทธิ์ ผู้ต้องหาร่วมกับธัมมชโยและนายศุภชัย ในคดีฟอกเงินรับของโจร ได้ทราบว่าหลบหนีไปต่างประเทศ ดีเอสไอได้ประสานหมายจับไปยังตำรวจสากลแล้ว ทราบว่าอยู่ในขั้นตอนขอส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดน
การพยายามฉวยโอกาส “ฟอกขาวให้ธัมมชโย” โดยอ้างเหตุว่าศุภชัยถูกยกฟ้องในศาลชั้นต้นบางคดี มันจึงเป็นเรื่องที่น่าสมเพชเวทนาอย่างยิ่ง
ทางที่ดี ควรตามตัวธัมมชโยมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองในชั้นศาล จะดีกว่า
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี