การลาออกจากพรรคพลังประชารัฐของกลุ่ม 4 กุมาร คือการทิ้งไพ่ “วัดใจประยุทธ์” มิใช่การลาออกธรรมดาๆ และมิใช่ไม่มีปัญหาต่อกัน แม้จะกระทำด้วยท่าทีสุภาพ แต่ลึกๆ แล้ว รู้กันทั้งจักรวาลว่าพรรคพลังประชารัฐไม่ให้เกียรติ ไล่ส่ง และก่นด่าอยู่ทุกวี่ทุกวัน แต่ต้องเล่นบท“ผู้ดีเหนือชั้น” ลาออกแบบนุ่มๆ แต่ให้หัวหน้าพรรคคนใหม่ “ทราบจากข่าว” เอาเอง ขณะที่พลังประชารัฐก็มีหน่วยหน้าอย่าง “สิระ เจนจาคะ” ออกมาไล่ส่ง แถมบอกให้ทิ้งเก้าอี้รัฐมนตรีให้พรรคด้วยสิ ไปแล้วก็ไปให้หมดอย่ามากั๊ก
ต้องกั๊กครับ เพราะ 4 กุมารรู้ว่า พรรคพลังประชารัฐยังต้องรอให้ ป.พี่ใหญ่ คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มาเคลียร์กับ ป.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้ลงตัวเสียก่อน มิใช่จะยอมให้พลังประชารัฐมากดดันได้โดยตรง
ดังนั้นการลาออกของทั้งสี่ จึงเป็นการ “เปิดประตู” สู่จุดที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะหลบเลี่ยงการให้คำตอบไม่ได้แล้ว ว่าพวกเขาจะอยู่หรือไปในเก้าอี้รัฐมนตรี จะไม่ทำงานให้ฟรีบนความอึมครึมอีกต่อไป และเป็นการเปิดประตูให้พี่ใหญ่ เข้าประชิดนายกฯ เพื่อ “เอาคำตอบ” ไปตอบ “เสี่ยๆ ทั้งหลาย”ใน พปชร. ที่นั่งรอตาแป๋วกันอยู่ทุกวี่วัน
มาดูอาการ “ลุงตู่” หลัง 4 กุมารลาออก แล้วเจอนักข่าวกระหน่ำคำถามใส่ แต่ละคำถาม “ลุงตู่”ตอบยังไงบ้าง
... “วันที่ 9 ก.ค. 2563 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์กรณี 4 กุมาร ลาออกจากสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)ว่า เรื่องที่ถามมาเป็นประเด็นร้อนในการลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคของทั้ง 4 คน ตนก็เคารพการตัดสินใจถือเป็นเรื่องภายในพรรค
“...ส่วนผมเองก็ต้องเตรียมการพิจารณาว่า จะเดินหน้าอย่างไรต่อไป วันนี้ขอให้ท่านเชื่อมั่นระบบบริหารราชการแผ่นดินของเรา เชื่อมั่นในตัวผม และผมก็จะนำพาประเทศชาติในช่วงเวลานี้ไปให้ได้
..ในส่วนการปรับเปลี่ยนคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นวิถีทาง ทางการเมือง การเข้ามาเป็นสส. การเข้ามาเป็นรัฐมนตรี การจะเข้ามาเป็นครม. การเป็นพรรคร่วมรัฐบาล จะต้องมีการไปพูดคุยเจรจากันอีกครั้ง
...คำตอบอันนี้ ผมยังไม่มีให้ว่าใครจะเป็น ใครจะเข้า ใครจะออก เพราะเราต้องคุยกับพรรคการเมือง พรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งเป็นไปตามกลไกทางการเมือง ขอให้ใจเย็นๆ”
เมื่อถามว่า ที่มีข่าวว่ากำหนดไว้ว่าเดือนกันยายนจะปรับครม.ถึงวันนี้จะเร็วขึ้นหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ ย้อนถามว่า “ดูจากการปรับครม. ใครปรับหรือยัง ผมพูดเมื่อไหร่ว่าจะมีขึ้นในเดือนกันยายน ผมไม่เคยพูดจะปรับในเดือนกันยายนเลย พวกคุณไปตีความกันเอง”
เมื่อถามย้ำว่า ช่วงเวลาที่นายกฯ วางจะเป็นช่วงเดือนไหน
“ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น แต่ผมไม่ได้พูดว่าเป็นเดือนกันยายน”
เมื่อถามว่า นายกฯ ไม่กำหนดชัดเจนว่าจะปรับครม.เมื่อไหร่ ก็จะมีการวิ่งเต้นเพื่อขอตำแหน่งกันอีก
พล.อ.ประยุทธ์ย้อนถามว่า “วิ่งกับใคร ผมก็ยืนยันว่าใครจะวิ่ง ใครจะอะไร คนวิ่งมากๆ ก็อาจจะไม่ได้ก็ได้ แต่ขอร้องว่าอย่าทำให้เกิดความสับสนอลหม่านได้หรือไม่ใครจะวิ่งก็วิ่งไปเถอะ ผมจะตัดสินใจด้วยตัวของผมเอง และผมก็ต้องคุยกับหัวหน้าพรรคทุกพรรค”
เมื่อถามว่า 4 กุมาร ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคพปชร.แล้ว จะส่งผลต่อเก้าอี้รัฐมนตรีหรือไม่
นายกฯ กล่าวว่า เป็นเรื่องกลไกภายในพรรค เพราะสัดส่วนในการเข้ามาเป็นรัฐมนตรีมาจากพรรคการเมืองเป็นอันดับแรก โควตาคนนอกก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง อย่าลืมว่าตนก็ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคพปชร. เพราะฉะนั้น สัดส่วนรัฐมนตรีก็ต้องฟังจากพรรคเป็นหลัก การจะนำคนนอกเข้ามาก็เป็นโควตาของเขา ซึ่งตนก็ขอเขามาและเขาก็ให้ตนเข้ามาตรงนี้ รวมทั้งมีรัฐมนตรีหลายคนที่มากับตนด้วย
เมื่อถามว่า การที่ 4 คน ลาออกจากพปชร. ถือว่าเป็นโควตาของนายกฯ ใช่หรือไม่
นายกฯ กล่าวว่า เดิมก็เป็นเช่นนั้นอยู่ และเป็นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ดังนั้น วันนี้ต้องไปดูว่าโควตาเหมาะสมแล้วหรือยัง ใครจะได้เพิ่ม ใครจะได้ลดอย่างไร ก็ไปว่ากันอีกที
เมื่อถามว่า พูดได้หรือไม่ว่า การปรับครม.ครั้งหน้า จะเป็นการปรับใหญ่ หรือจะปรับเฉพาะที่จำเป็น
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ก็เท่าที่จำเป็น ใครที่เขาทำงานดีอยู่แล้ว ก็ให้เขาทำงานต่อ ที่ผ่านมาทุกคนทำงานดีทั้งหมด ตนไม่ได้ว่าใครไม่ดี เพียงแต่กลไกทางการเมืองและวิถีทางการเมือง เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เมื่อถามย้ำว่า โควตาสัดส่วนครม.ของนายกฯ คือเฉพาะตำแหน่งเดิมที่มีอยู่ใช่หรือไม่
นายกฯ กล่าวว่า “ผมถึงถามว่า เมื่อเอาเขาเข้ามาแล้ว จำเป็นจะต้องคืนเขาหรือเปล่า ต้องคืนเขาบ้างไหม จะมีคนนอกเข้ามาได้ตรงไหน ก็ต้องไปคุยกันอีก เพราะก็ผ่านมา 1 ปีแล้ว ก็ต้องคุยกันใหม่”
เมื่อถามว่า ได้มีการพูดคุยกับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ บ้างหรือยัง
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ก็มีการพูดคุยกันมาโดยตลอดนายสมคิดก็บอกว่า ท่านเองก็พร้อมทุกเรื่อง
เมื่อถามว่าแต่ที่ผ่านมามีกระแสข่าวโจมตีและขย่มนายสมคิดบ่อยครั้ง พอจะยืนยันได้หรือไม่ว่า ไม่มีปัญหาระหว่างกัน
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “ผมเองก็ต้องดู ก็มีการขย่มกันทั้ง 2 ฝ่าย สื่อก็รู้ว่าใครขย่มใคร แล้วใครขย่มกันอย่างไรวิธีไหน บางทีก็พูดกันไปเรื่อย สื่อก็เอาไปพาดหัวข่าวซึ่งผมก็ไม่รู้ ผมก็ต้องดูว่าใครขย่มใคร และใครถูกใครผิดผมก็จะตัดสินของผมเอง”
เมื่อถามว่า หากดูตามระยะเวลาแล้ว คิดว่าถึงเวลาที่จะปรับครม.แล้วหรือยัง ในขณะที่ยังมีวิกฤติหลายด้าน
นายกฯกล่าวว่า “พวกท่านก็รู้ว่ายังมีวิกฤติอยู่ ดังนั้นวันนี้ก็ต้องทำงานกันไปก่อน แล้วเมื่อไหร่ที่ต้องปรับก็จะปรับของผมไป แต่ขอให้เชื่อมั่นในกลไกของเรา การบริหารราชการแผ่นดินที่ผมได้สร้างไว้ ใครจะไปใครจะมา ก็ต้องรักษากฎระเบียบของผมที่วางไว้ ในพ.ร.บ.ต่างๆ ที่ทำไปใหม่ทั้งพ.ร.บ.งบประมาณ พ.ร.บ.การเงินการคลัง เราอาจจะยึดมั่นตัวบุคคล เป็นธรรมดาในเรื่องของความเชื่อมั่น แต่สิ่งสำคัญที่สุด ถ้าตัวบุคคลทำงานร่วมกันไม่ได้ มันก็อยู่ไม่ได้ถูกหรือไม่”
เมื่อถามว่า แสดงว่านายกฯ ยึดนโยบายที่ทุกคนต้องสามารถสานต่องานที่วางได้ ถึงจะเข้ามาเป็นรัฐมนตรี
นายกฯ กล่าวปฏิเสธว่า ตนไม่ได้ล็อกถึงขนาดนั้น ตนคิดว่าตนจะพิจารณาเอง
เมื่อถามว่า สิ่งสำคัญในการปรับครม.คืออะไร
พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า เพื่อความสงบเรียบร้อย
เมื่อถามว่าจะต้องปรับทัพ ครม. เศรษฐกิจ ใหม่ทั้งหมดหรือไม่
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ครม.ใหม่ ถ้าปรับก็ต้องปรับครม.เศรษฐกิจด้วย เพราะครม.เศรษฐกิจ มีหลายกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ตนจะประชุมที่ปรึกษาทางด้านเศรษฐกิจทั้งหมดทั้งในและนอกระบบ มาพูดคุยและรับฟังความคิดเห็นของเขา ว่ามีแนวความคิดอย่างไร ตนถึงจะนำเข้าที่ประชุมครม.เศรษฐกิจ นี่คือการริหารงานแบบนิว นอร์มอล
เมื่อถามว่า ดูจากฝีมือการทำงานของ 4 กุมารแล้ว ครั้งหน้าน่าจะได้กับเข้ามาเป็นรัฐมนตรีหรือไม่
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “คุณจะถามให้ได้สาระอะไรตรงนี้ ผมตอบไปแล้วในภาพรวมและท่านเหล่านี้ก็ทำงานกับผมมาโดยตลอด มีความสำเร็จมามากมายพอสมควร แต่ก็ต้องไปดูว่ากลไกทางการเมืองว่ากันอย่างไร”
เมื่อถามว่า หัวหน้าทีมเศรษฐกิจได้มองคนนอกไว้จริงหรือไม่
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “ก็มองไว้ ขึ้นอยู่กับว่า...”
ทั้งนี้ เมื่อพล.อ.ประยุทธ์ กล่าวหลุดมาถึงตรงนี้ก็ได้พูดต่อว่า ก็มองไว้ทั่วทุกกลุ่ม ทั้งความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคมดูไว้ทั้งหมด รวมทั้งด้านสาธารณสุขก็ดู เพราะผมต้องรับผิดชอบทั้ง ครม.
เมื่อถามว่า มั่นใจหรือไม่ว่าครม.จะเป็นที่ยอมรับ
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนพูดแล้วว่า การยอมรับเป็นเรื่องยากมากพอสมควร ต้องไปดูมิติอื่นๆ ร่วมด้วย การยอมรับไม่ยอมรับก็เป็นเรื่องของความเชื่อมั่นเชื่อถือ บางส่วนที่คนอยากให้เข้ามาทำงาน เขาก็ไม่อยากจะมา แต่เราก็ต้องเลือกคนที่ดีที่สุด ทุกกระทรวง ยืนยันว่า ยังไม่ได้ทาบใครเลย
เมื่อถามว่า ที่นายกฯ ระบุว่า จะเปลี่ยนด้านความมั่นคงสาเหตุมาจากอะไร
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ตนพูดในภาพรวมไม่ต้องมาสงสัย มันไม่เกี่ยวอะไรกับผมทั้งสิ้น ผมทำผิดพลาดอะไรในตำแหน่งรมว.กลาโหม ถ้าไม่ผิดแล้วจะเปลี่ยนทำไม”
เมื่อถามว่า วันนี้มีกระแสข่าวเสนอชื่อ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย มาเป็นรมว.กลาโหม แทน
พล.อ.ประยุทธ์ย้อนถามว่า “ใครเสนอ ถ้าบอกว่ามีการเสนอตามหน้าข่าวต่างๆ ก็ต้องถามว่าใครเป็นคนเขียนข่าว เรื่องนี้ขอให้ฟังผมก็แล้วกัน”
เมื่อถามว่ากระแสตีให้ 3 ป. แตกกัน มีความเป็นไปได้หรือไม่
พล.อ.ประยุทธ์นิ่งเงียบก่อนที่จะกล่าวพร้อมส่ายศีรษะว่า “เป็นไปไม่ได้”
ฟังแล้วจับประเด็นได้ว่า
1) ลุงตู่ยังคิดไม่ตกเรื่องปรับ ครม.
2) ลุงตู่ยอมรับว่า การตั้ง ครม. เป็นน้ำหนักของพรรคการเมืองตั้ง ตนต้องคุยกับทุกพรรคการเมือง
3) ไม่มีคำยืนยันที่หนักแน่นว่า กลุ่ม 4 กุมาร จะยังได้เป็นรัฐมนตรีหรือไม่
4) ยังไม่ได้คุยกันในกลุ่ม 3 ป. ว่าจะเอายังไง เพราะสถานการณ์พลิกไปพลิกมาตลอดเวลา
ผมคิดว่า เสี่ยๆ ทั้งหลายใน พปชร. คงไม่ยอม พล.อ.ประยุทธ์แล้วล่ะ เนื่องจากขณะนี้ อำนาจต่อรองของฝ่ายการเมืองสูงมาก พล.อ.ประยุทธ์ มีอำนาจต่อรองน้อยลง มีอาวุธในมือคือ “ยุบสภา” แต่ขืนยุบในเวลานี้ ประชาชนคงสวดยับ เพราะ “เปลืองเงิน” เอาเงินมาแก้ปัญหาชีวิตให้ประชาชนก่อนได้ไหม ทำงานแบบ “เพื่อบ้านเมือง” ก่อน “เพื่อการเมือง” ได้ไหม
ยิ่งนักการเมืองที่มาต่อรอง ก็ใช่ว่าจะมีความสามารถเอกอุ ชนิดหาตัวจับยากซะเมื่อไหร่ ก็เป็นแค่พวกอาเสี่ย นักต่อรองทางการเมือง ทั้งนั้น อาศัยว่ามีลูกหาบมากพอที่จะขอเก้าอี้รัฐมนตรีแบบระบบโควตา ระบบสัดส่วน สส. 10 คน 1 เก้าอี้รัฐมนตรี อะไรทำนองนี้ผมจึงค่อนข้างเชื่อว่า วันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ กำลัง “หัวหมุน” ในอันที่จะหาทางออก ระหว่างแรงกดดันจากฝ่ายการเมือง (ซึ่งท่านเคยรังเกียจมาก) กับคนนอกที่ชวนยังไงก็ไม่ยอมมา (ก็ใครเขาจะเอาเกียรติยศชื่อเสียงทั้งหมดมาทิ้งกับการเมืองในสภาพนี้เล่า)
ในที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ ก็คงต้องหาทางออกด้วยการรอมชอมกับนักการเมือง และใช้กลไกราชการทำงานต่อไป ซึ่งถามว่ามันเหมาะ มั่นใจ กับสภาพปัจจุบันหรือเปล่า?
ระหว่างเครียด ไม่รู้จะไปยังไง แวะไปคุยกับสื่อทีละสำนักพิมพ์ก็แล้วกัน
ก็ไม่รู้จะคุยทำไม สื่อที่เลียก็เลียท่านอยู่ไม่เว้นวาง สื่อที่ด่าท่านก็ด่าอยู่อย่างนั้น ส่วนสื่อปกติธรรมดา เขาก็เขียนคอลัมน์แนะนำติชม เสมอมา อยู่ที่ว่าท่านเอาไป “ใส่ใจ” บ้างหรือไม่
เวลานี้เราต้องการผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ ชัดเจน กระจ่างแจ้งว่าบ้านเมืองเผชิญหน้ากับปัญหาอะไรอยู่ และท่านมีเจตจำนงแน่วแน่เพียงใด ที่จะแก้ไขปัญหาพวกนั้น ดูท่านยังงงๆอยู่นะครับ
อีตอนท่านอยากทำ “อีอีซี” ตามที่ “ทีมสมคิด” แนะนำ หูยยยย... ท่านทำทุกอย่าง ออกกฎหมาย งดเว้นการบังคับกฎหมายบางฉบับ ส่งเสริมการลงทุน เกิดการประมูล ฯลฯ ที่เป็นรูปธรรม มุ่งมั่น เดินหน้า แน่วแน่
เอาวิธีคิดและกระบวนการแบบนั้นมาทำตอนนี้ครับ คิดให้ออกว่าปัญหาตอนนี้มีกี่เรื่อง แต่ละเรื่องจะแก้อย่างไร แล้วผู้นำนี่แหละที่ต้องชัดเจนก่อนใคร แล้วถือธงนำ จากนั้นในสภาออกกฎหมายส่งเสริมการแก้ปัญหาที่คิดได้ ใช้ข้าราชการทำงานก็ได้ แต่ให้กวดขัน เร่งรัด และปิดทางทุจริตเอาไว้ให้ได้
ดีกว่าลอยมาลอยไป คุยกับเศรษฐีที คุยกับเอสเอ็มอีครั้ง แล้วก็มานั่งคุยกับสื่ออีก
ทำซะทีเถอะพ่อ!!
เร่งปรับ ครม. เร่งประกาศทิศทางของประเทศ และแผนที่จะแก้ไขปัญหา แล้วเชิญชวนผู้คนมาร่วมมือกัน
นี่ดูสิ งบประมาณก็ตั้งเหมือนประเทศไม่ได้อยู่ในปัญหา เงินกู้ที่กู้มา ก็รอข้าราชการเสนอโครงการมาเอาเงินไปใช้
แล้วผู้นำของเรา รู้อะไร คิดอะไร จะบังคับเรือให้แล่นไปทางไหน ถามจริงๆ “คิดออก” บ้างหรือยัง?
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี