องค์กรอัยการยุคนี้ อาจเข้าสู่วิกฤติแล้วจริงๆ
หลังการแถลงผลการตรวจสอบของคณะอัยการ ปรากฏว่า มีประเด็นคาใจวิญญูชนในเรื่องสำคัญๆ
ล่าสุด มีปฏิกิริยาจากนักกฎหมายอย่างน้อย 3 คน ที่ผู้เกี่ยวข้องพึงสดับรับฟัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อัยการสูงสุดคนปัจจุบัน นายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ รวมถึงอัยการทั่วประเทศรวม 3,000 คน จะปล่อยให้สถาบันอัยการถลำลึกไปในหล่มวิกฤติศรัทธามากกว่านี้ ไม่ได้อีกแล้ว
1. อาจารย์แก้วสรร อติโพธิ เขียนบทความ “คำถามที่ยังไม่มีคำตอบจากตำรวจและอัยการ ในคดี “บอส”
ประเด็นสำคัญบางส่วน ระบุว่า
“...คำถามที่ ๒ : อำนาจให้ความเป็นธรรมของอัยการสูงสุด?
๒.๑) คดีข้อหาประมาทนี้ อัยการกรุงเทพใต้สั่งฟ้องไปแล้ว รอแต่หาตัวมาส่งฟ้องต่อศาลเท่านั้น แล้วอำนาจอัยการสูงสุดยังมีอำนาจสั่งไม่ฟ้องทับลงไป ตามคำร้องขอความเป็นธรรมของผู้ต้องหาบอสได้อีกหรือ
๒.๒) ยิ่งไปกว่านั้น คำร้องขอความเป็นธรรมที่ว่านี้ เมื่อร้องไปยังอัยการสูงสุดคนก่อน ก็ได้มีการพิจารณา และใช้อำนาจอัยการสูงสุดสั่งให้ยุติกระบวนการพิจารณาคำร้องนี้แล้วอีกด้วย อัยการสูงสุดคนใหม่จะมาสั่งทับคำสั่งยุติคำร้องนี้อีกได้อย่างไร กฎหมายอัยการบอกว่าอัยการสูงสุดคนใหม่ต้องมีอำนาจสูงสุดกว่าคนก่อนอย่างนั้นหรือ อัยการประเทศไหน......
คำถามที่ ๔ : ยังทนดูกันต่อไปได้อีกหรือ ?
การเต้นตามคำร้องขอความเป็นธรรมของจำเลยหรือผู้ต้องหา (ที่มีฐานะ)อย่างยืดเยื้อ ไม่มีหยุด แล้วลงเอยเป็นการใช้อำนาจดุลพินิจสั่งไม่ฟ้องอย่างน่าคลางแคลงของอัยการ ที่ไม่มีใครตรวจสอบได้ นี้ ระเบิดเป็นคำถามตามรายทางมาหลายปี และถี่ขึ้นเรื่อยๆ จนไม่น่าจะทนกันได้อีกต่อไปแล้ว
๔.๑) ที่ส่งฟ้องไปแล้ว ก็ยังถอนฟ้องได้ เช่น คดีธัมมชโย หรือไม่ก็ไม่อุทธรณ์ไปเสียเฉยๆ เช่น คดีโอ๊ค ก็ทำมาแล้ว ทั้งๆที่ คดีนี้ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนเขาเห็นตามอัยการและดีเอสไอแล้วด้วย
๔.๒) คดีธรรมกาย คดีวิคตอเรีย สองคดีนี้กรมสอบสวนคดีพิเศษ ทุ่มเทเต็มที่ อัยการที่ร่วมสอบสวนก็ยืนหยัดเห็นด้วยจนเห็นควรเสนอให้ฟ้อง แต่อัยการในสำนักงานก็สั่งสอบเพิ่มเติมตามคำร้องจำเลยมาตลอด แล้วก็สั่งไม่ฟ้องไปในที่สุด จนไม่รู้จะให้อัยการมาร่วมสอบสวนกับดีเอสไอเขาทำไม ในเมื่อไม่ฟังเขาเลยอย่างนี้ ทำไมไม่ให้ ดีเอสไอฟ้องเองไปเลยจะไม่ดีกว่าหรือ ในเมื่ออัยการก็เข้ามาร่วมสอบสวนตั้งแต่แรก เหมือนนานาประเทศเขาแล้ว
๔.๓) มาคดีบอสนี่ บานปลายสูงสุดถึงขนาดอัยการสั่งคดีทับกันเองได้ ราวกับเป็นศาลพิพากษาทับกันเองไปมา ตามที่จำเลยจะอุทธรณ์ฎีกากะให้ถึงที่สุดเลยทีเดียว แถมชั้นฎีกายังมี กมธ.สภาร้องสอดเข้ามาอีกด้วย
พอกันทีแล้วใช่ไหม กับ “อำนาจดุลพินิจ” ที่เละเทะแบบนี้ ?
คณะกรรมการอัยการ กับ ป.ป.ช. ทนได้ไหมครับ?”
2. นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี อดีตผู้พิพากษา อดีตรัฐมนตรียุติธรรม เขียนบทความหลังฟังการแถลงของคณะอัยการ เรื่อง “ยุติธรรมค้ำจุนชาติ : ความยุติธรรม กับ ความอนาถใจ”
ใจความสำคัญบางประเด็น เช่น
“...ไม่น่าเชื่อว่าคดีขับรถชนคนตายที่เป็นความผิดที่เกิดขึ้นบ่อยๆเหมือนคดีอื่นๆ ที่เกิดขึ้นแทบทุกวันคดีนี้ จะทำให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความเชื่อถือในระบบกระบวนการยุติธรรมของประเทศ เพียงเพราะคดีนี้มีผู้กระทำผิดเป็นอภิมหาเศรษฐีไฮโซไม่ใช่ชาวบ้านร้านช่องเหมือนคดีอื่นๆ เท่านั้น มันคุ้มไหมครับกับสิ่งที่ทำๆ กันลงไป
... เหตุใดนายเนตร นาคสุข ในขณะสั่งฟ้องคดีเป็นเพียงอธิบดีอัยการธรรมดาจึงมาเกี่ยวข้องสั่งคดีนี้ได้ ทั้งๆ ที่เจ้าของสำนวนเดิมสั่งฟ้องไปแล้ว นายเนตรได้รับมอบอำนาจสั่งคดีมาจากใครตามกฎระเบียบใด มีอัยการท่านอื่นที่อาวุโสหรือมีตำแหน่งสูงกว่านายเนตรที่ควรจะเป็นผู้มีอำนาจสั่งคดีแทน อสส. หรือไม่ ทำไมเมื่อจะต้องสั่งคดีสำคัญๆ ขึ้นมาทีไรก็จะต้องมีเหตุให้ อสส. ไม่อยู่ทุกที และเมื่อ อสส. ไม่อยู่ทีไร เหตุใดคนสั่งคดีพวกนี้จึงต้องเป็นนายเนตรทุกครั้งทุกทีไป ไม่มีอัยการท่านอื่นที่มีอาวุโสหรือมีตำแหน่งสูงเหมาะสมกว่าหรือ คดีเล็กน้อยขับรถชนคนตายแค่นี้ทั้งพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะขอส่งผู้ร้ายข้ามแดนมาดำเนินคดีจริงหรือ ฯลฯ
เหล่านี้คือข้อสงสัยและเป็นปัญหาที่ต้องมีคำตอบ
ในเรื่องการใช้ดุลพินิจสั่งไม่ฟ้องหรือไม่เห็นแย้ง ก็มีข้อสงสัยว่าเหตุใดจนบัดนี้ที่สังคมจะทนไม่ไหวแล้วนั้น ทั้งนายเนตร กับ พล.ต.ท.เพิ่มพูน ซึ่งเป็นผู้ใช้ดุลยพินิจก็ยังไม่ออกมาชี้แจงอธิบายเหตุผล และเหตุใดผู้บังคับบัญชาจึงไม่สั่งการให้ออกมาชี้แจงเหตุผลด้วยตนเองเช่นกัน แต่กลับให้คนอื่นออกมาอธิบายในสิ่งที่คนทั้งสองนี้ทำลงไปเต็มไปหมด แล้วพยายามมาอธิบายให้สังคมเชื่อ พอโดนถามหนักๆ ในเรื่องการใช้ดุลยพินิจซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ ตอบไม่ได้ ก็แก้ตัวว่าไม่อาจก้าวล่วงการใช้ดุลยพินิจของท่านนั้นๆ ได้ ก็ถ้าเช่นนี้ทำไมไม่ให้เจ้าตัวออกมาชี้แจงแถลงไขเอง แทนที่จะตั้งคนอื่นมาเป็นทนายหน้าหอแก้ตัวให้ เหมือนกับไม่ต้องการให้เจ้าตัวต้องถูกซักถาม มันปกติหรือไม่ครับ...
เมื่อพูดถึงพยานที่เสียชีวิตไปแล้ว ก็บอกว่าไม่ใช่พยานใหม่ แต่มาให้การเป็นพยานตั้งแต่ 5 วันหลังเกิดเหตุ แล้วทำไมต้องรอถึง 7-8 ปี เพื่อจะให้พยานระลึกชาติย้อนหลังไปว่าเมื่อ 7-8 ปีที่แล้ว ในขณะเกิดเหตุขับรถด้วยความเร็วเท่าใด หาก “ความเร็ว” เป็นองค์ประกอบสำคัญของความผิดในคดีนี้จริงๆ แล้ว ทำไมพนักงานอัยการเจ้าของสำนวนจึงสั่งฟ้องไปแล้วได้ และทำไมต่อมาพนักงานอัยการผู้อื่นจึงค่อยเตือนสติให้พนักงานสอบสวนไปหาข้อมูลนี้มาเพิ่มหลังเวลาผ่านไป 7-8 ปี ทำไมต้องรอให้ผู้กระทำผิดร้องขอความเป็นธรรมเตือนสติอัยการก่อน แล้วอัยการจึงไปเตือนสติพนักงานสอบสวนอีกที่หนึ่ง
พยานผู้นี้ก็เก่งจริงๆ ยังจำได้เป๊ะว่าในเวลาตี 5 เมื่อ 7-8 ปี ก่อน ขับรถด้วยความเร็วเท่าใด
คนที่รู้จักผมจะรู้ว่าผมก็เป็นคนจำแม่นพอสมควร แต่ผมยังจำไม่ได้เลยว่าเมื่อวานตอน 5 โมงเย็น ผมขับรถด้วยความเร็วเท่าใด เพราะจะมีสักกี่คนที่เวลาขับรถสายตาจะจ้องมองอยู่ที่เข็มวัดความเร็ว และจะมีกี่คนที่เวลาพบอุบัติเหตุจะก้มลงไปดูทันทีเลยว่าขณะนั้นตนเองขับรถด้วยความเร็วเท่าใด
ท่านผู้อ่านจำได้ไหมครับว่าก่อนอ่านโพสต์ของผมท่านขับรถมาด้วยความเร็วเท่าใด
พนักงานสอบสวนและอัยการบอกว่ารถของพยานคนนี้อยู่ตรงที่เกิดเหตุพอดีและอยู่ในภาพวงจรปิด แต่ไม่บอกว่ามีพยานหลักฐานใดเชื่อได้ว่าพยานคนนี้เป็นเจ้าของรถหรือเกี่ยวข้องกับรถคันดังกล่าวอย่างไร มีพยานหลักฐานใดที่ทำให้เชื่อได้ว่าพยานผู้นี้เป็นคนขับรถหรืออยู่ในรถคันดังกล่าวในเวลานั้นจริง นอกจาก “คำบอกเล่า” ของพยานเอง พยานนั่งรถมากับใครที่ยืนยันข้อเท็จจริงเหล่านี้ได้ พยานกำลังจะไปที่ไหนในเวลาตี 5 ทั้งๆ ที่พยานมีภูมิลำเนาอยู่เชียงใหม่ แต่กลับมุ่งหน้าไปทางพระโขนงซึ่งเป็นเส้นทางไปชลบุรีด้วยเหตุผลใด มาทำอะไรอยู่ที่กรุงเทพฯ จะไปไหน มีธุระอะไรในเวลาตี 5 ฯลฯ เหล่านี้ที่พนักงานสอบสวนจะต้องสอบสวนให้ได้ความชัดเจนจนมีพยานหลักฐานที่หนักแน่นเพียงพอที่เชื่อได้ก่อนที่จะรับฟังข้อมูลเกี่ยวกับการเกิดเหตุว่าพยานผู้นี้เป็นประจักษ์พยานจริงมิใช่พยานบอกเล่าที่ไม่สามารถใช้เป็นพยานหลักฐานได้ตามกฎหมาย แต่แทนที่จะให้ได้ความชัดเจนเรื่องนี้ก่อนกลับไปฟังคำบอกเล่าของพยานผู้นี้เลยแล้วนำมาเป็นประโยชน์แก่ผู้กระทำผิด มันข้ามขั้นตอนที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายหรือไม่!!!
... อีกเรื่องหนึ่ง คือ เรื่องรอยเบรก อัยการแถลงว่าที่ไม่มีรอยเบรกเป็นเพราะรถเฟอร์รารี่ของผู้กระทำผิดมีระบบเบรก ABS
ความวัวยังไม่ทันหายความควายเข้ามาแทรกจริงๆ คราวก่อนตำรวจบอกว่าสารโคเคนในเลือดมาจากยาที่ใช้ในการทำฟัน หมอฟันออกมาบอกว่าไม่จริงและเลิกใช้สารนี้ในการทำฟันมาแล้วประมาณ 140 ปี
คราวนี้อัยการบอกว่าไม่มีรอยเบรกเพราะรถมีระบบเบรก ABS นี่มันปี พ.ศ. 2563 ค.ศ. 2020 แล้วนะครับ ระบบเบรก ABS มีใช้แรกๆ ประมาณ พ.ศ. 2523 หรือประมาณ ค.ศ. 1980 ประมาณ 40 ปีก่อน เกือบครึ่งศตวรรษมาแล้ว ในช่วงแรกๆ เป็นอุปกรณ์เสริมราคาแพง แต่ปัจจุบันเป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่มากับรถแทบทุกคัน แทบทุกรุ่น และแทบจะทุกประเภท ระบบเบรก ABS ไม่ใช่ระบบป้องกันไม่ให้เกิดรอยเบรกบนถนน และไม่ใช่ระบบลบรอยเบรกเหมือนยางลบดินสอนะครับ แต่เป็นระบบป้องกันการลื่นไถลเวลาเบรกครับ พูดง่ายๆ คือช่วยการทรงตัวป้องกันไม่ให้รถลื่นไถลไปซ้ายหรือขวาเวลาเบรกฉุกเฉินขณะรถมีความเร็วสูงเท่านั้น แต่ร่องรอยการเบรกบนพื้นถนนยังมีอยู่ตามความเร็วของรถเช่นเดิม ดูได้จากการเกิดอุบัติเหตุทั่วไปในปัจจุบันที่มีรอยเบรกเสมอ รถเหล่านั้นแทบทุกคันก็มีระบบเบรก ABS กันหมดแล้ว จริงๆ แล้ว ถ้าไม่มีรอยเบรกก็คือชนโดยไม่ได้เบรกนั่นเอง ไม่ประมาทก็เจตนาย่อมเล็งเห็นผลครับ
ถ้าจะสรุปว่าเป็นเหตุสุดวิสัยที่เกิดจากการขับขี่มอเตอร์ไซค์ของนายดาบที่พยายามยกขึ้นมาสร้างความชอบธรรมให้ใครสักคนหนึ่งแล้วละก็ ก็ควรพิจารณาตั้งข้อหานายดาบว่าขับรถโดยประมาทไม่หลบหลีกให้รถที่แล่นมาด้วยความเร็วสูงจนเป็นเหตุให้ตนเองถึงแก่ความตายเลยจะดีไหม
อนาถใจจริงๆ
แค่ปฏิรูปคงไม่พอแล้วครับ”
4. ถามใจจริงๆ เถิด... อัยการ-ทนายแผ่นดินทั่วประเทศกว่า 3,000 คน ท่านยังภูมิใจในบทบาทและการปฏิบัติหน้าที่ของสถาบันอัยการของท่านอยู่ หรือไม่?
ท่านจะลุกขึ้นมาทำอะไรได้หรือยัง?
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี