หลายคนประณามสังคมไทยด้วยความเข้าใจผิดว่าเป็นสังคมในระบบอุปถัมภ์ โดยหารู้ไม่ว่าระบบอุปถัมภ์นี้เคยเกิดขึ้นในยุโรปมาก่อนตั้งแต่สมัยคริสต์ศตวรรษที่ 5-16 แม้ในข้อเท็จจริงระบบอุปถัมภ์ของไทยกับของยุโรปจะมีความแตกต่างกันในหลายประเด็นก็ตาม (ซึ่งหากต้องการทราบรายละเอียดจะต้องเข้าไปศึกษาโครงสร้างระบบอุปถัมภ์ของไทยกับยุโรป แต่ในที่นี้จะขออนุญาตไม่ลงรายละเอียด)
เมื่อกล่าวถึงระบบอุปถัมภ์ในสังคมไทย ระบบนี้ถูกมองว่าเป็นประเด็นที่ทำให้เกิดปัญหาผู้คนมีความไม่เท่าเทียมกัน คือผู้มีสถานะทางสังคมและทางเศรษฐกิจสูงกว่าและต่ำกว่า กล่าวง่ายๆ คือมีผู้อุปถัมภ์และผู้ได้รับการอุปถัมภ์
ระบบอุปถัมภ์ไม่ใช่ระบบแห่งการช่วยเหลือเกื้อกูลกันระหว่างบุคคลด้วยใจ และด้วยมิตรภาพที่แท้จริง แต่เป็นระบบที่เต็มไปด้วยอิทธิพล และผลประโยชน์ โดยบุคคลผู้มีสถานะที่สูงกว่าจะเป็นผู้ให้การอุปถัมภ์ ส่วนผู้ที่มีสถานะต่ำกว่าจะต้องรอรับการอุปถัมภ์ แต่เมื่อมองเผินๆ ก็อาจจะเห็นว่าต่างฝ่ายต่างได้ผลประโยชน์เป็นเครื่องตอบแทน แต่เมื่อพิจารณาให้ลึกกลับพบว่าเป็นเรื่องของการเอารัดเอาเปรียบกันมากกว่า เนื่องจากผู้รับการอุปถัมภ์เป็นผู้ที่ด้อยกว่า อ่อนแอกว่าในทุกด้าน ทั้งด้านอำนาจการเมือง อำนาจเศรษฐกิจ และอำนาจในประเด็นอื่นๆ
สิ่งสะท้อนความเป็นระบบอุปถัมภ์ที่ชัดเจนที่สุดในสังคมไทยคือระบบการเล่นพรรคเล่นพวก การเล่นเส้นเล่นสาย โดยไม่ยึดมั่นในหลักความสามารถของบุคคล ดังนั้นเรื่องของความรู้ความสามารถของบุคคลจึงเป็นประเด็นรองลงไปจากหลักความสัมพันธ์ส่วนบุคคล
สังคมใดก็ตามที่ละเลยหลักความรู้ความสามารถของบุคคล แล้วให้ความสำคัญกับหลักความสัมพันธ์ส่วนบุคคล สังคมนั้นจะไม่มีวันเจริญก้าวหน้า และพัฒนาได้อย่างแท้จริง ต่อให้ดูเสมือนว่ามีความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจก็ตาม แต่ก็เป็นเพียงภาพลวงตา
เครื่องแสดงความเป็นระบบอุปถัมภ์ในสังคมไทยมีหลายประการ อาทิ การฝากลูกหลานและคนในครอบครัวของใครบางคนเข้าทำงานในหน่วยงานใดๆ ไม่ว่าจะเป็นงานราชการหรือเอกชน โดยผ่านกระบวนการคัดเลือกที่ได้มาตรฐานอย่างเข้มข้น การฝากลูกหลานเข้าเรียนในโรงเรียนต่างๆ โดยเฉพาะโรงเรียนดังระดับประเทศ การเปิดหลักสูตรอบรมต่างๆ นานาสารพัดหลักสูตร (ขออนุญาตไม่ระบุชื่อหลักสูตร) โดยการคัดเลือกบุคคลเข้าอบรมในหลักสูตรเหล่านั้น ไม่ได้เกิดมาจากการคัดสรรบุคคลที่มีความรู้ความสามารถที่เหมาะสมโดยแท้จริง แต่ใช้การเลือกโดยดูจากระบบเส้นสาย และระบบการยัดเงินให้กับผู้มีอำนาจคัดเลือก
อย่างไรก็ตาม หากจะมองอีกมุมหนึ่ง ระบบอุปถัมภ์อาจจะไม่ผิดมากนัก ถ้าหากผู้ให้การอุปถัมภ์มีความคิด มีสติปัญญา และมีความลุ่มลึกในวิจารณญาณในการคัดเลือกคนอย่างแท้จริง โดยเน้นการคัดเลือกผู้มีความรู้ความสามารถเหมาะสมที่แท้จริง แต่ทว่าในความเป็นจริงของสังคมไทย มักไม่ค่อยปรากฏว่าผู้ให้การอุปถัมภ์คือผู้มีสติปัญญา และมีวิจารณญาณที่แท้จริง แต่มักเป็นพวกบ้าอำนาจ และใช้อำนาจแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบเข้าพกเข้าห่อของตนเอง ดังนั้นระบบอุปถัมภ์ของไทยจึงก่อความเลวทรามและความวิบัติให้กับสังคมมาโดยตลอด
เครื่องประจานว่าสังคมไทยคือสังคมแห่งระบบอุปถัมภ์ มีหลากอย่าง อาทิ การคัดเลือกผู้รับตำแหน่งรัฐมนตรีการคัดเลือกผู้รับตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงในระบบราชการการคัดเลือกผู้เข้าอบรมหลักสูตรอภิสิทธิ์ชนสารพัดหลักสูตรยิ่งประเทศไทยมีหลักสูตรอภิสิทธิ์ชนมากเท่าไร ก็คือเครื่องประจานว่าสังคมไทยเป็นสังคมอุปถัมภ์มากเท่านั้น ดังนั้นขอให้โปรดกลับไปค้นหาว่าในเมืองไทยมีหลักสูตรที่ประจานความเป็นระบบอุปถัมภ์กี่สิบหลักสูตร แล้วขอให้ดูด้วยว่าผู้เข้าอบรมหลักสูตรอภิสิทธิ์ชนมีชื่อซ้ำๆ กันมาแล้วกี่หลักสูตร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี