วันอาทิตย์ ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
เป็นสถานการณ์ที่ต้องจับตามองกับ “การชุมนุมประท้วงของคนรุ่นใหม่” ที่ส่วนใหญ่เป็นนิสิต-นักศึกษาตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วประเทศ ซึ่งแม้บางส่วนของผู้ชุมนุมจะมีการจัดกิจกรรมที่อ่อนไหวต่อความรู้สึกของสังคมไทย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเยาวชนเหล่านี้เคลื่อนไหวขับไล่รัฐบาลและเรียกร้องให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เป็นของประชาชนอย่างแท้จริงมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงก่อนการระบาดของไวรัสโควิด-19
อนึ่ง เป็นที่สังเกตกันมานานแล้วว่า “คนรุ่นใหม่ไม่เอาลุง” ซึ่งคำว่า “ลุง” ในที่นี้หมายถึง “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่นับตั้งแต่ดำรงตำแหน่งนายกฯ ในรัฐบาลทหารคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อปี 2557 และเปลี่ยนมาเป็นนายกฯ จากการเลือกตั้งในฐานะตัวแทนจากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ในปี 2562 ไม่ว่าจะทำอะไร พล.อ.ประยุทธ์ ดูจะไม่ถูกใจคนรุ่นลูก-รุ่นหลาน ที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปีลงมาไปเสียทั้งหมด จะขยับเขยื้อนไปทางไหนก็ถูกนำไปล้อเลียนเสียดสีอยู่เสมอ
สิ่งนี้ถูกทำให้เห็นเด่นชัดจากผลสำรวจของ“ซูเปอร์โพล (Super Poll)” เมื่อวันที่ 17 พ.ค. 2563เรื่อง “ฐานที่เปราะบาง” ชี้ให้เห็นภาพ “แก่ชอบ-หนุ่มชัง”อย่างชัดเจน โดยสัดส่วนกลุ่มตัวอย่างที่สนับสนุนรัฐบาลเพิ่มขึ้นตามจำนวนอายุ แบ่งเป็น อายุไม่เกิน 24 ปีร้อยละ 10.9 อายุ 25-39 ปี ร้อยละ 21.7 อายุ 40-59 ปีร้อยละ 38.9 และอายุ 60 ปีขึ้นไป ร้อยละ 48.7 ในทางกลับกัน กลุ่มตัวอย่างที่ไม่สนับสนุนรัฐบาล แบ่งเป็น อายุไม่เกิน 24 ปี ร้อยละ 58.9 อายุ 25-39 ปี ร้อยละ49 อายุ 40-59 ปี ร้อยละ 27.6 และอายุ 60 ปีขึ้นไปร้อยละ 31.1
เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา “ที่นี่แนวหน้า” มีโอกาสได้พูดคุยกับ ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล และเป็นผู้คร่ำหวอดในแวดวงการทำโพลล์มากว่า 2 ทศวรรษ โดย ผศ.ดร.นพดล อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นว่า “ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ และทีมงานรอบข้างทำงาน แม้จะทำงานเยอะแต่ไม่ตรงกับความต้องการของคนรุ่นใหม่ ซึ่งสิ่งที่คนรุ่นใหม่ต้องการคือความหวัง” หรืออนาคตวันข้างหน้า การสื่อสารในประเด็นนี้จึงต้องชัดเจน
“ความหวังดูเหมือนเป็นเรื่องนามธรรม แต่ในความเป็นจริงมันจะต้องมีตัวที่จับต้องได้ เอามาทำให้เป็นที่ประจักษ์ ให้เป็นการรับรู้ ไม่ใช่จับต้องได้แบบเห็นแต่งตัวแบบที่เราเห็นในช่วงเลือกตั้ง มันไม่ใช่ นี่คือการที่ไม่ตรงเป้าแล้วทำอะไรแล้วมันเละเทะ ไม่รู้เขาคิดออกมาได้อย่างไร แล้วลุงตู่ก็ไปยอมทำตัวแบบนั้นได้อย่างไร ซึ่งมาจนถึงขนาดนี้ ความเป็นตัวของตัวเองมันแมนอยู่แล้ว มันดีอยู่แล้ว เอาจุดนั้นมาทำ” ผศ.ดร.นพดล กล่าว
ประเด็นต่อมา..หากย้อนไปดูนายกรัฐมนตรีในอดีตบางคนเพียงเอ่ยชื่อก็สามารถนึกถึงโครงการเด่นๆ ได้ทันที เช่น เมื่อเอ่ยชื่อ ทักษิณ ชินวัตร ผู้คนจะนึกถึงโครงการกองทุนหมู่บ้านกับบัตรทอง 30 บาทรักษาทุกโรค หรือหากเอ่ยชื่อ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หลายคนจะนึกถึงโครงการเรียนฟรี 15 ปี กับโครงการประกันรายได้เกษตรกร คำถามคือ แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ มีผลงานอะไรที่พอจะทำให้ผู้คนนึกถึงในภายหลังหากลงจากตำแหน่งไปแล้วบ้าง
ผศ.ดร.นพดลกล่าวว่า “จริงๆ แล้ว พล.อ.ประยุทธ์เป็นผู้ผลักดันเรื่องสำคัญที่จะมีประโยชน์โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนรุ่นใหม่ด้วย แต่น่าเสียดายที่ไม่ถูกนำมาประชาสัมพันธ์เท่าที่ควร” นั่นคือ พ.ร.บ.กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พ.ศ.2561 หรือเรียกย่อๆ ว่า “กสศ.” สาระสำคัญคือเพื่อช่วยเหลือเด็กและเยาวชนชายขอบที่เผชิญปัญหาทางเศรษฐกิจจนสุ่มเสี่ยงหลุดออกจากระบบการศึกษา ให้สามารถรอดพ้นจากวิกฤติดังกล่าวไปได้
“ไปดู พ.ร.บ.กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พ.ศ.2561 มันคลุมหมดเลย ตั้งแต่เด็กที่บ้านไม่ครบ 4 ด้าน ดูแลทั้งสิ่งที่จับต้องได้คือให้ทุน ให้อาหารให้เสื้อผ้า ให้วัสดุอุปกรณ์การศึกษา จับต้องไม่ได้คือเรื่องความรู้ ทักษะวิชาชีพ ให้ทั้งพ่อแม่ผู้ปกครองและตัวเด็ก ทำไมไม่เอาเรื่องนี้ จับเรื่องนี้ชูขึ้นมาเรื่องเดียวเรียบร้อย” ผอ.สำนักวิจัยซูเปอร์โพล ระบุ
นอกจากการนำเสนออย่างไม่ตรงเป้าหมายแล้ว “วิธีการนำเสนอยังไม่โดนใจ” ประเด็นนี้มีการเปรียบเทียบกับ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่นับตั้งแต่วันแรกในการตั้งพรรควัยรุ่นจำนวนมากก็เทใจ-เทคะแนนให้ทันที และแม้ในเวลาต่อมาพรรคอนาคตใหม่จะถูกยุบ ธนาธรหันไปเคลื่อนไหวนอกสภาในนามคณะก้าวหน้า สอดประสานกับการเคลื่อนไหวในสภาโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.)ที่ยังเหลืออยู่ย้ายไปรวมกันในนามพรรคก้าวไกล คนรุ่นใหม่ก็ยังคงศรัทธาในตัวธนาธรเช่นเดิม
ซึ่ง ผศ.ดร.นพดล มีคำอธิบาย 2 ประการ คือ 1.ธนาธรและทีมงานสื่อสารตรงจุด ในที่นี้คือการทำให้คนรุ่นใหม่รู้สึกว่ามองเห็นความหวังแม้จะยังเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ตาม ในขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ และทีมงานไม่ได้เน้นนำเสนอในเรื่องนี้จนถูกมองว่าไม่ให้ความสำคัญ โดยความต้องการของคนแต่ละวัยจะไม่เหมือนกันคนรุ่นใหม่ต้องการความหวัง คนวัยทำงานต้องการความมั่นคง และคนวัยเกษียณต้องการความปลอดภัย กับ 2.รูปแบบการสื่อสารของธนาธรและทีมงานถูกจริต โดยคนรุ่นใหม่ชอบรับสารเพียงข้อความสั้นๆ ไม่นิยมอ่านหรือฟังอะไรยืดยาว
“ข้อความทางการเมือง สั้น ชัด ไม่เกิน 7 พยางค์ประมาณ 5 พยางค์ อย่างกำลังดี อย่างเช่น ให้มันจบที่รุ่นเรา เยาวชนปลดแอก คือเขาจะเล่นกับข้อความ เพราะเขารู้ว่าคนรุ่นใหม่อยู่กับมือถือ อยู่กับโซเชียล ฉะนั้นปล่อยข้อความสั้นๆ อย่าเยอะแยะไปหมด อย่างลุงตู่ปล่อยอะไรออกมาก็ยาวเหยียด พูดเป็นชั่วโมงตอนผมเข้าไปตอนยึดอำนาจใหม่ๆ บอกแล้วอย่าเกิน5 นาที ไม่เชื่อ ไปพูดเป็นชั่วโมงๆ แล้วสุดท้ายก็มาปวดหัวกับเรื่องที่ตัวเองทำ ตัวเองเป็นคนก่อทั้งสิ้น ดังนั้นก็ต้องรับกรรมกันไป” ผศ.ดร.นพดล อธิบาย
สุดท้ายแม้ พล.อ.ประยุทธ์ อาจจะมีผลงานอย่าง “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” ที่น่าจะเป็นนโยบายในการมัดใจผู้สูงวัยจนเป็นที่มาของเสียงสนับสนุนจากคนกลุ่มนี้เพราะสามารถลดค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน แต่ ผศ.ดร.นพดล มองว่า ในอนาคตใช่ว่าคะแนนนิยมของ พล.อ.ประยุทธ์ จะไม่มีโอกาสลดลง โดยเฉพาะจากการที่พล.อ.ประยุทธ์ ปล่อยให้ในพรรคพลังประชารัฐมีการกดดัน สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และกลุ่ม “4 กุมาร”อันประกอบด้วย อุตตม สาวนายน, สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์,สุวิทย์ เมษินทรีย์, กอบศักดิ์ ภูตระกูล ซึ่งอยู่เบื้องหลังโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐออกไป
“สุดท้ายตัวเอง (พล.อ.ประยุทธ์) ก็ไปเอาทางแก้มันดีกว่าอันเก่าไหม?” ผศ.ดร.นพดล ฝากคำถามทิ้งท้าย

‘รถขนฝัน’ยาแรงกระตุ้นผู้บริหาร-ตบหน้าความจริงของ Ecosystem ฟุตบอลไทย
เปิดไทยเฮาส์! ใช้วิทยาศาสตร์การกีฬาช่วยสู้ซีเกมส์เต็มที่
‘ผบช.ภ.1’ลุยตรวจ‘น้ำท่วมอยุธยา-อ่างทอง’ ช่วยเหลือชาวบ้านผู้ประสบภัย
‘ปชป.สุราษฎร์ธานี’มติเอกฉันท์ เลือก‘วัชระ เพชรทอง’เป็น‘หัวหน้าสาขา’คนใหม่
‘จักรพล’จี้สว.เร่งผ่าน พ.ร.บ.อากาศสะอาด หลัง PM 2.5 กลับมา

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี