เป็นสถานการณ์ที่ต้องจับตามองกับ “การชุมนุมประท้วงของคนรุ่นใหม่” ที่ส่วนใหญ่เป็นนิสิต-นักศึกษาตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วประเทศ ซึ่งแม้บางส่วนของผู้ชุมนุมจะมีการจัดกิจกรรมที่อ่อนไหวต่อความรู้สึกของสังคมไทย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเยาวชนเหล่านี้เคลื่อนไหวขับไล่รัฐบาลและเรียกร้องให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เป็นของประชาชนอย่างแท้จริงมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงก่อนการระบาดของไวรัสโควิด-19
อนึ่ง เป็นที่สังเกตกันมานานแล้วว่า “คนรุ่นใหม่ไม่เอาลุง” ซึ่งคำว่า “ลุง” ในที่นี้หมายถึง “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่นับตั้งแต่ดำรงตำแหน่งนายกฯ ในรัฐบาลทหารคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อปี 2557 และเปลี่ยนมาเป็นนายกฯ จากการเลือกตั้งในฐานะตัวแทนจากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ในปี 2562 ไม่ว่าจะทำอะไร พล.อ.ประยุทธ์ ดูจะไม่ถูกใจคนรุ่นลูก-รุ่นหลาน ที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปีลงมาไปเสียทั้งหมด จะขยับเขยื้อนไปทางไหนก็ถูกนำไปล้อเลียนเสียดสีอยู่เสมอ
สิ่งนี้ถูกทำให้เห็นเด่นชัดจากผลสำรวจของ“ซูเปอร์โพล (Super Poll)” เมื่อวันที่ 17 พ.ค. 2563เรื่อง “ฐานที่เปราะบาง” ชี้ให้เห็นภาพ “แก่ชอบ-หนุ่มชัง”อย่างชัดเจน โดยสัดส่วนกลุ่มตัวอย่างที่สนับสนุนรัฐบาลเพิ่มขึ้นตามจำนวนอายุ แบ่งเป็น อายุไม่เกิน 24 ปีร้อยละ 10.9 อายุ 25-39 ปี ร้อยละ 21.7 อายุ 40-59 ปีร้อยละ 38.9 และอายุ 60 ปีขึ้นไป ร้อยละ 48.7 ในทางกลับกัน กลุ่มตัวอย่างที่ไม่สนับสนุนรัฐบาล แบ่งเป็น อายุไม่เกิน 24 ปี ร้อยละ 58.9 อายุ 25-39 ปี ร้อยละ49 อายุ 40-59 ปี ร้อยละ 27.6 และอายุ 60 ปีขึ้นไปร้อยละ 31.1
เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา “ที่นี่แนวหน้า” มีโอกาสได้พูดคุยกับ ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล และเป็นผู้คร่ำหวอดในแวดวงการทำโพลล์มากว่า 2 ทศวรรษ โดย ผศ.ดร.นพดล อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นว่า “ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ และทีมงานรอบข้างทำงาน แม้จะทำงานเยอะแต่ไม่ตรงกับความต้องการของคนรุ่นใหม่ ซึ่งสิ่งที่คนรุ่นใหม่ต้องการคือความหวัง” หรืออนาคตวันข้างหน้า การสื่อสารในประเด็นนี้จึงต้องชัดเจน
“ความหวังดูเหมือนเป็นเรื่องนามธรรม แต่ในความเป็นจริงมันจะต้องมีตัวที่จับต้องได้ เอามาทำให้เป็นที่ประจักษ์ ให้เป็นการรับรู้ ไม่ใช่จับต้องได้แบบเห็นแต่งตัวแบบที่เราเห็นในช่วงเลือกตั้ง มันไม่ใช่ นี่คือการที่ไม่ตรงเป้าแล้วทำอะไรแล้วมันเละเทะ ไม่รู้เขาคิดออกมาได้อย่างไร แล้วลุงตู่ก็ไปยอมทำตัวแบบนั้นได้อย่างไร ซึ่งมาจนถึงขนาดนี้ ความเป็นตัวของตัวเองมันแมนอยู่แล้ว มันดีอยู่แล้ว เอาจุดนั้นมาทำ” ผศ.ดร.นพดล กล่าว
ประเด็นต่อมา..หากย้อนไปดูนายกรัฐมนตรีในอดีตบางคนเพียงเอ่ยชื่อก็สามารถนึกถึงโครงการเด่นๆ ได้ทันที เช่น เมื่อเอ่ยชื่อ ทักษิณ ชินวัตร ผู้คนจะนึกถึงโครงการกองทุนหมู่บ้านกับบัตรทอง 30 บาทรักษาทุกโรค หรือหากเอ่ยชื่อ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หลายคนจะนึกถึงโครงการเรียนฟรี 15 ปี กับโครงการประกันรายได้เกษตรกร คำถามคือ แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ มีผลงานอะไรที่พอจะทำให้ผู้คนนึกถึงในภายหลังหากลงจากตำแหน่งไปแล้วบ้าง
ผศ.ดร.นพดลกล่าวว่า “จริงๆ แล้ว พล.อ.ประยุทธ์เป็นผู้ผลักดันเรื่องสำคัญที่จะมีประโยชน์โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนรุ่นใหม่ด้วย แต่น่าเสียดายที่ไม่ถูกนำมาประชาสัมพันธ์เท่าที่ควร” นั่นคือ พ.ร.บ.กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พ.ศ.2561 หรือเรียกย่อๆ ว่า “กสศ.” สาระสำคัญคือเพื่อช่วยเหลือเด็กและเยาวชนชายขอบที่เผชิญปัญหาทางเศรษฐกิจจนสุ่มเสี่ยงหลุดออกจากระบบการศึกษา ให้สามารถรอดพ้นจากวิกฤติดังกล่าวไปได้
“ไปดู พ.ร.บ.กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พ.ศ.2561 มันคลุมหมดเลย ตั้งแต่เด็กที่บ้านไม่ครบ 4 ด้าน ดูแลทั้งสิ่งที่จับต้องได้คือให้ทุน ให้อาหารให้เสื้อผ้า ให้วัสดุอุปกรณ์การศึกษา จับต้องไม่ได้คือเรื่องความรู้ ทักษะวิชาชีพ ให้ทั้งพ่อแม่ผู้ปกครองและตัวเด็ก ทำไมไม่เอาเรื่องนี้ จับเรื่องนี้ชูขึ้นมาเรื่องเดียวเรียบร้อย” ผอ.สำนักวิจัยซูเปอร์โพล ระบุ
นอกจากการนำเสนออย่างไม่ตรงเป้าหมายแล้ว “วิธีการนำเสนอยังไม่โดนใจ” ประเด็นนี้มีการเปรียบเทียบกับ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่นับตั้งแต่วันแรกในการตั้งพรรควัยรุ่นจำนวนมากก็เทใจ-เทคะแนนให้ทันที และแม้ในเวลาต่อมาพรรคอนาคตใหม่จะถูกยุบ ธนาธรหันไปเคลื่อนไหวนอกสภาในนามคณะก้าวหน้า สอดประสานกับการเคลื่อนไหวในสภาโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.)ที่ยังเหลืออยู่ย้ายไปรวมกันในนามพรรคก้าวไกล คนรุ่นใหม่ก็ยังคงศรัทธาในตัวธนาธรเช่นเดิม
ซึ่ง ผศ.ดร.นพดล มีคำอธิบาย 2 ประการ คือ 1.ธนาธรและทีมงานสื่อสารตรงจุด ในที่นี้คือการทำให้คนรุ่นใหม่รู้สึกว่ามองเห็นความหวังแม้จะยังเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ตาม ในขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ และทีมงานไม่ได้เน้นนำเสนอในเรื่องนี้จนถูกมองว่าไม่ให้ความสำคัญ โดยความต้องการของคนแต่ละวัยจะไม่เหมือนกันคนรุ่นใหม่ต้องการความหวัง คนวัยทำงานต้องการความมั่นคง และคนวัยเกษียณต้องการความปลอดภัย กับ 2.รูปแบบการสื่อสารของธนาธรและทีมงานถูกจริต โดยคนรุ่นใหม่ชอบรับสารเพียงข้อความสั้นๆ ไม่นิยมอ่านหรือฟังอะไรยืดยาว
“ข้อความทางการเมือง สั้น ชัด ไม่เกิน 7 พยางค์ประมาณ 5 พยางค์ อย่างกำลังดี อย่างเช่น ให้มันจบที่รุ่นเรา เยาวชนปลดแอก คือเขาจะเล่นกับข้อความ เพราะเขารู้ว่าคนรุ่นใหม่อยู่กับมือถือ อยู่กับโซเชียล ฉะนั้นปล่อยข้อความสั้นๆ อย่าเยอะแยะไปหมด อย่างลุงตู่ปล่อยอะไรออกมาก็ยาวเหยียด พูดเป็นชั่วโมงตอนผมเข้าไปตอนยึดอำนาจใหม่ๆ บอกแล้วอย่าเกิน5 นาที ไม่เชื่อ ไปพูดเป็นชั่วโมงๆ แล้วสุดท้ายก็มาปวดหัวกับเรื่องที่ตัวเองทำ ตัวเองเป็นคนก่อทั้งสิ้น ดังนั้นก็ต้องรับกรรมกันไป” ผศ.ดร.นพดล อธิบาย
สุดท้ายแม้ พล.อ.ประยุทธ์ อาจจะมีผลงานอย่าง “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” ที่น่าจะเป็นนโยบายในการมัดใจผู้สูงวัยจนเป็นที่มาของเสียงสนับสนุนจากคนกลุ่มนี้เพราะสามารถลดค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน แต่ ผศ.ดร.นพดล มองว่า ในอนาคตใช่ว่าคะแนนนิยมของ พล.อ.ประยุทธ์ จะไม่มีโอกาสลดลง โดยเฉพาะจากการที่พล.อ.ประยุทธ์ ปล่อยให้ในพรรคพลังประชารัฐมีการกดดัน สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และกลุ่ม “4 กุมาร”อันประกอบด้วย อุตตม สาวนายน, สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์,สุวิทย์ เมษินทรีย์, กอบศักดิ์ ภูตระกูล ซึ่งอยู่เบื้องหลังโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐออกไป
“สุดท้ายตัวเอง (พล.อ.ประยุทธ์) ก็ไปเอาทางแก้มันดีกว่าอันเก่าไหม?” ผศ.ดร.นพดล ฝากคำถามทิ้งท้าย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี