คนไทยจำนวนไม่น้อยยังหลงเชื่อว่ามหาวิทยาลัยคือแหล่งความรู้ชั้นสูงของสังคม แล้วก็หลงเพ้อไปว่าคนที่สอนหนังสือในมหาวิทยาลัยไทยทุกคน คือคนเก่ง คนดี และแสนฉลาด แต่คนไทยอีกเป็นจำนวนมากกลับมองตรงกันข้ามกับความเชื่อข้างต้น เพราะประจักษ์แน่ชัดว่า แท้จริงแล้วคนสอนหนังสือจำนวนไม่น้อยในมหาวิทยาลัยเกือบทุกแห่งของไทย เป็นแค่เพียงคนจำพวกมีความจำดี ท่องตำราแล้วสามารถจดจำได้มากกว่าคนอื่น แล้วยังพบด้วยว่าการที่คนจำพวกนี้สามารถสอบเข้าไปเรียนต่อในสถาบันการศึกษาต่างๆ ได้ ก็เพราะอาศัยความจำดีเป็นที่ตั้ง แต่ครั้นจะให้คนจำพวกนี้ไปทำงานทำการอื่นๆ ในสังคม คนจำพวกนี้ก็อาจจะไม่มีความสามารถทำงานอื่นได้ แต่สิ่งที่คนจำพวกนี้ทำได้ดีที่สุดคือ ท่องตำรา จดจำข้อความจากตำรา แล้วก็เอามาพ่นต่อ
นอกจากนี้ สาธารณชนในสังคมไทยยังพบเป็นประจำ และพบตลอดเวลาว่า คนจำพวกนี้มีความสามารถเพียงอ่านหนังสือ แต่ทว่าคนจำพวกนี้กลับไม่เคยมีความสามารถค้นคิดหรือสร้างองค์ความรู้ใหม่ สร้างทฤษฎีใหม่ขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง ขอเน้น
ว่าคนจำพวกนี้ส่วนมากอยู่ในคณะวิชาด้านสังคมศาสตร์ มานุษยศาสตร์ ดังนั้น เมื่อคนจำพวกนี้ไม่มีปัญญาคิดสร้างทฤษฎีใหม่ได้ด้วยสติปัญญาของตน ก็จึงจำเป็นต้องลอกความคิดของผู้อื่นไปเป็นเครื่องมือในการทำมาหากิน ด้วยการบ่น พ่น เพ้อ ละเมอ และฝันฟุ้งอยู่ตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ของไทย
วิญญูชนพบด้วยว่า คนจำพวกนี้มักมองโลกแบบเพ้อฝัน เลื่อนลอย ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นฝันที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง เพราะความฝันของคนจำพวกนี้ที่มีรากฐานมาจากความไม่เป็นจริง ความดัดจริต ความเสแสร้ง และความบ้าตามประสาคนเลื่อนลอย
คนสอนหนังสือในมหาวิทยาลัยจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะพวกที่หากินอยู่ตามคณะรัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ สังคมศาสตร์ สังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มานุษยศาสตร์ นิเทศศาสตร์ วารสารศาสตร์ อักษรศาสตร์ (บางสาขาวิชา) รวมถึงพวกที่ชอบตั้งชื่อคณะให้เก๋ไก๋ด้วยคำอันไพเราะ เช่น นวัตกรรมสังคม แล้วยังรวมถึงคณะวิชาสาขาอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งไม่สามารถจะกล่าวถึงได้ครบถ้วนในที่นี่ ซึ่งต้องขอบอกตรงๆ ว่า ในคณะวิชาเหล่านั้นมีคนดัดจริตเกินงามอาศัยทำมาหากินอยู่ดาษดื่น หลายคนมีความดัดจริตที่สาธารณชนพอรับได้ แต่หลายคนก็ดัดจริตจนเกินงาม คนจำพวกนี้ชอบพล่ามเพ้อเรื่องความเสมอภาค เอะอะอะไรก็อ้างความเสมอภาคยันเต ทั้งๆ ที่คนจำพวกนี้ไม่เคยศรัทธาในความเสมอภาคโดยแท้
หากคุณยังคิดว่าคนช่างเสแสร้งจำพวกนี้รักความเสมอภาคจริงๆ ขอให้คุณย่างกรายเข้าไปในแดนที่หลายคนเชื่อว่าเป็นแดนแห่งวิชาการ แดนแห่งเสรีภาพ ขออภัยที่ต้องวิจารณ์ตรงๆ ว่า มหาวิทยาลัยบางแห่งดัดจริตจนเกินขนาด ถึงกับกล้าโกหกว่า ในที่แห่งนั้นมีเสรีภาพทุกตารางนิ้ว หรือทุกตารางมิลลิเมตร แต่สำหรับคนที่ยังมีปัญญาที่อยู่ในมหาวิทยาลัยแห่งนั้นต่างบอกว่า นั่นเป็นเพียงคำโฆษณาชวนเชื่อ เพราะในความเป็นจริงแล้วไม่มีเสรีภาพอะไรมากนัก ทุกอย่างล้วนเต็มไปด้วยชนชั้น อย่าไปหาความเสมอภาคใดๆ เลย เพราะหาให้ตายก็ไม่เจอ ยกเว้นเสรีภาพชนิดเพ้อฝันปัญญาเบา เช่น แต่งตัวแสนประหลาด จนบางรายเข้าขั้นแต่งกายไร้รสนิยม ไร้กาลเทศะ ไม่ให้ความเคารพยำเกรงต่อสถานที่ จนทำให้วิญญูชนมองเห็นแล้วอดวิจารณ์ตรงๆ ไม่ได้ว่า ช่างแต่งกายได้สถุล ไร้รสนิยมสิ้นดี
หากไม่เชื่อลองเข้าไปดูได้ แล้วจะพบว่าคนที่อ้างตัวว่าเป็นปัญญาชนชั้นฟ้า แต่สวมกางเกงขาสั้น ที่สั้นแสนสั้นเข้าไปเดินเยื้องกรายอยู่ในสถาบันการศึกษาที่อ้างว่าเป็นสถาบันการศึกษาชั้นสูง และเก่าแก่ติดอันดับของประเทศไทย ไม่แค่เพียงนิสิตนักศึกษาบางรายเท่านั้นที่แต่งกายได้แสนสถุล แต่คนสอนหนังสือจำนวนไม่น้อยในบางคณะวิชาก็แต่งกายได้สถุลไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน โดยบางรายสวมกางเกงที่หลายคนเรียกว่ากางเกงเล เข้าไปสอนหนังสือ (โดยเฉพาะวิชาที่อยู่ใน Lab ปฏิบัติการด้านวิชาชีพบางสาขา) แต่การแต่งกายด้วยกางเกงเลคงไม่น่ารังเกียจ หากวิชานั้นสอนอยู่กลางไร่ กลางนา กลางท้องทุ่ง หรือในป่าโกงกาง หรือสอนวิชาด้านการแสดงละคร ที่ต้องแต่งกายด้วยเสื้อผ้าให้เข้ากับบทบาท แต่การสอนหนังสือใน Lab อื่นๆ ของมหาวิทยาลัยจำเป็นต้องแต่งกายให้เหมาะสม ต้องเคารพสถานที่ และต้องเคารพผู้เข้ารับการเรียนด้วย
นี่คือตัวอย่างเล็กๆ ของความไร้กาลเทศะอันเกิดจากคนสอนหนังสือ แต่ยังไม่หมดเท่านั้น คนสอนหนังสือที่ชอบตะโกนป่าวประกาศเพื่อโฆษณาชวนเชื่อว่าตนเองรักความเท่าเทียมเสียเหลือเกินนั้น ยังโกหกมดเท็จสังคมตลอดเวลา เพราะคิดว่าผู้อื่นฉลาดไม่เท่าตน
ตัวอย่างของคนโกหกมดเท็จจำพวกนี้คือ การมีห้องน้ำอาจารย์ ห้องพักอาจารย์ ที่จอดรถอาจารย์ โต๊ะกินข้าวสำหรับอาจารย์ ลิฟต์อาจารย์ พื้นที่ส่วนตัวสำหรับอาจารย์ แต่ที่สำคัญคือคนเหล่านี้ไม่เคยเข้าทำงานตามเวลาราชการเลย บางรายไปปรากฏตัวเฉพาะวันที่ตนเองมีวิชาที่ต้องสอนเท่านั้น ส่วนวันอื่นๆ นั้นหายศีรษะล่องหนไปไหนโดยไม่บอกกล่าวใคร บางรายติดปีกบินไปต่างประเทศเป็นประจำ โดยอ้างว่าไปประชุมสัมมนา แต่ไม่ขออนุญาตต้นสังกัด ส่วนต้นสังกัดก็เลวทรามพอกัน เพราะมีพฤติกรรมไม่ต่างกัน บางรายเอาเวลาราชการไปรับจ้างทำงานนอกเพื่อหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองอย่างเอิกเกริก บางรายชอบเสนอหน้าออกรายการวิทยุ และรายการโทรทัศน์ แล้วพล่ามเพ้อละเมอในเรื่องราวต่างๆ ทั้งๆ ที่รู้จริงบ้างไม่รู้จริงบ้าง โดยทำตัวราวกับคนไร้สติแต่อยากดัง บางรายแสดงอาการหยามเหยียดนักการภารโรง เจ้าหน้าที่ในคณะ ราวกับว่าตนเองนั้นเกิดมาจากสรวงสวรรค์ชั้นพรหมโลก บางรายไม่พอใจจนเกิดอาการสติแตกเมื่อเจ้าหน้าที่ไม่ยอมทำตัวเป็นคนรับใช้ บางรายใช้อภิสิทธิ์ยืมหนังสือที่มีจำนวนจำกัดจากห้องสมุดมหาวิทยาลัยหรือห้องสมุดคณะไปครอบครองเป็นเวลาหลายเดือน ครั้นนิสิต นักศึกษาจะขอยืมบ้าง ก็อ้างว่ายังใช้ไม่เสร็จ เมื่อเจ้าหน้าที่ห้องสมุดทวงถามก็แสดงอำนาจบาตรใหญ่ บางรายงดสอนเป็นประจำ แล้วหายศีรษะไปไหนก็ไม่รู้ บางรายสั่งงานต่างๆ ให้นิสิตนักศึกษาค้นหา แล้วจงใจขโมยผลงานของนิสิตนักศึกษาไปใช้เพื่อผลประโยชน์ตัวเอง บางรายทุรนทุรายตะกายหาอำนาจในคณะ และในมหาวิทยาลัย บางรายกระเสือกกระสนเสนอหน้าไปหาตำแหน่ง หาอำนาจนอกมหาวิทยาลัย โดยเอาหัวโขนความเป็นอาจารย์ไปหากิน บางรายเหยียดหยามกันเอง โดยละเมอเพ้อว่าตนเองจบการศึกษาจากสถาบันต่างประเทศที่โด่งดังมากกว่าสถาบันอื่น โอย! ขอบอกตรงๆ ว่ายังมีพฤติกรรมสามานย์อีกสารพัด แต่ไม่สามารถบรรยายได้จบสิ้นในเวลาอันสั้น แต่ขอย้ำว่า นี่คือพฤติกรรมสามานย์ของคนสอนหนังสือจำนวนไม่น้อยในมหาวิทยาลัยไทยทุกแห่ง
คนจำพวกนี้ชอบตั้งประเด็นกระแทกแดกดันบุคคลต่างๆ ในพระราชวงศ์ โดยพูดในสิ่งที่ตนเองไม่รู้จริง ไม่เคยประสบจริง ดีแต่มโนนึกและเพ้อไปเรื่อยๆ บ้างก็อ้างว่าเอาข้อมูลมาจากต่างประเทศ แต่ก็ไม่เคยถามกลับว่า หากพฤติกรรมนั้นผิดจริงๆ แล้วทำไมประเทศนั้นๆ จึงยอมให้บุคคลในพระราชวงศ์สามารถพำนักอยู่ได้ แต่ที่สำคัญคือคนพรรค์อย่างว่านั้นกลับไม่เคยมองบ้างว่า แล้วพ่อ แม่ บรรพบุรุษของตนนั้นเคยสรรสร้างคุณงามความดีอะไรให้สังคมบ้าง
คนจำพวกนี้มักปากพล่อยพูดไปเรื่อยๆ ราวกับผีเจาะปากว่าบุคคลต่างๆ ในพระราชวงศ์ไม่ต้องทำงาน แต่มีเงินทองจำนวนมหาศาล แต่ครั้นเมื่อรู้ว่าบุคคลต่างๆ ในพระราชวงศ์ทรงมีธุรกิจ ก็กล่าวหาอีกว่าเป็นผู้ทำธุรกิจโดยอาศัยอำนาจผูกขาด เมื่อมีผู้ทูลเกล้าฯ ถวายเงิน ก็กล่าวหาอีกว่าเรียกรับเงิน แล้วก็สาระแนจะเข้าไปตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินต่างๆ ของบุคคลในพระราชวงศ์ แต่ทว่าไม่เคยกล้าตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินต่างๆ ของนักการเมือง และผู้บริหารมหาวิทยาลัย และไม่กล้าบอกสังคมด้วยว่าธุรกิจของครอบครัวตนมีความโปร่งใสมากน้อยเพียงใด กล่าวโดยสรุปคือคนจำพวกนี้ต้องการแค่เพียงดึงฟ้าลงมาให้ต่ำเท่ากับตนเอง แล้วตนเองก็ยกตัวให้สูงกว่าคนที่พวกเขาเห็นว่าต่ำกว่า คนบ้าจำพวกนี้ชอบอ้างว่าจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยอันดับนำของโลก แต่หารู้ไม่ว่าความรู้จากมหาวิทยาลัยชั้นนำไม่สามารถทำให้ตนเองกลายเป็นคนดีที่แท้จริงได้ เพราะชีวิตของพวกเขาเต็มไปด้วยความลุ่มหลง ความริษยา เพราะตนมีปมด้อย
คนสอนหนังสือในมหาวิทยาลัยจำนวนไม่น้อยมีสันดานชอบพล่ามเพ้อตลอดเวลา แล้วอ้างว่าเป็นเสรีภาพ
ในการแสดงความคิดเห็นตามหลักเสรีภาพสากล แต่ดันกลับจะบีบบังคับ ลิดรอนสิทธิเสรีภาพของบุคคลในสถาบัน
พระมหากษัตริย์ว่า เมื่อจะต้องมีพระราชดำรัสใดๆ ต่อสังคม จะต้องขออนุญาตก่อนจึงจะกระทำได้ นี่คือความปัญญาอ่อนของคนสอนหนังสือในมหาวิทยาลัยที่สาธารณชนเห็นได้ชัด เพราะพูดจาไม่อยู่กับร่องกับรอย อ้างไปเรื่อยตามแต่ปาก
จะพล่ามไป
อันที่จริงยังมีเรื่องราวอีกสารพัดที่แสดงให้เห็นถึงความต่ำทรามอย่างที่สุดของคนสอนหนังสือในมหาวิทยาลัยบางจำพวก แต่บางเรื่องเป็นเรื่องส่วนบุคคล เช่น เรื่องมักมากในกาม เรื่องการทุจริตแย่งชิงทรัพย์ในครอบครัว เรื่องการกระทำละเมิดทางเพศกับนิสิตนักศึกษาทั้งชายและหญิง (แต่เรื่องนี้ต้องพิจารณาด้วยว่าหลายกรณีนิสิตนักศึกษาก็มีส่วนสนับสนุนให้เกิดเรื่องบัดสีขึ้น) ซึ่งมีปรากฏให้เห็นเป็นข่าว และปรากฏให้เห็นในสถานที่ทำงานของคนจำพวกนี้เป็นระยะๆ แต่เมื่อเป็นเรื่องส่วนตัว จึงไม่ขอเข้าไปก้าวล่วง
ขอกลับไปที่เรื่องความดัดจริตของคนสอนหนังสือบางรายบางจำพวกในมหาวิทยาลัยเพื่อสรุปบทความวันนี้ว่า การที่คนสอนหนังสือจำพวกนี้แสดงอาการดัดจริตเรียกร้องความเท่าเทียม ความเสมอภาค โดยหวังจะให้สถาบันพระมหากษัตริย์ต้องยอมสละพระราชอำนาจในหลายกรณี แล้วลดพระราชสถานะลงมา เพื่อให้คนจำพวกนี้เหยียดหยาม ถากถางได้โดยสะดวกนั้น เป็นเรื่องที่เกิดมาจากความดัดจริตของคนสอนหนังสือในมหาวิทยาลัยจำพวกหนึ่งโดยแท้ วิญญูชนฝากเตือนสติคนสอนหนังสือในมหาวิทยาลัยบางจำพวกว่า กรุณาลดระดับความดัดจริตลงบ้างเถอะ เลิกทำตัวเป็นอริยบุคคลได้แล้ว เพราะจริงๆ แล้วไม่เคยพบว่าคนพรรค์อย่างนี้มีความดีงามใดๆ แม้แต่น้อย แล้วที่สำคัญก็คือ ขอให้
เลิกโกหกหลอกลวงนิสิต นักศึกษาที่ยังเบาปัญญาให้ออกไปเคลื่อนไหวเพื่อล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ถ้าหากคนสอนหนังสือในมหาวิทยาลัยจำพวกนี้มีความเป็นคนหลงเหลืออยู่บ้าง จงออกไปก่อการด้วยตนเอง จงเลิกหลอกใช้เด็กและเยาวชน แล้วจงพาเอาคนในโคตรตระกูลของตนออกไปก่อการ ขอย้ำว่าอย่าหลอกใช้เด็กและเยาวชน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี