“โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด” เป็นการที่มอบเงินให้ครัวเรือนที่มีเด็กแรกเกิด-อายุ 6 ปีโครงการช่วงแรกๆ ให้เดือนละ 400 บาท และต่อมาเพิ่มเป็นเดือนละ 600 บาท เพื่อเพิ่มโอกาสให้เด็กได้รับการดูแลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีพัฒนาการเหมาะสมตามวัย อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อถกเถียงว่า “ควรให้แบบถ้วนหน้าหรือคัดกรองหาผู้มีรายได้น้อย” โดยปัจจุบันระบุว่าผู้ที่มีสิทธิ์คือครัวเรือนที่มีรายได้ไม่เกิน 1 แสนบาทต่อคนต่อปี
เมื่อช่วงปลายเดือนส.ค. 2563 ที่ผ่านมา มีการจัดเสวนา “วิกฤตโควิด ผลกระทบต่อเด็กเล็กที่ถูกมองข้าม” โดยคณะทำงานขับเคลื่อนนโยบายสวัสดิการเงินอุดหนุนเด็กเล็กแบบถ้วนหน้า 119 องค์กร ณ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ซึ่งสมชัย จิตสุชน นักวิชาการสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ในฐานะผู้ผลักดันโครงการนี้กล่าวว่า แนวคิดการให้เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดมีข้อถกเถียงตลอดมาว่าสมควรให้แบบใด ระหว่างให้ทุกคนกับให้เฉพาะครัวเรือนยากจนแต่ให้ในจำนวนเงินที่สูงขึ้น
แม้จะเป็นจำนวนที่ดูไม่มากในสายตาคนที่มีกำลังทรัพย์พอสมควร แต่สำหรับครัวเรือนยากจนแล้วเงินสงเคราะห์เด็กแรกเกิดและเด็กเล็ก 400-600 บาทต่อคนต่อเดือน พบว่า มีค่าอย่างยิ่ง เพราะทำให้ไม่ต้องเครียดกับการจัดสรรรายได้ที่มีน้อยอยู่แล้วมากจนเกินไปสมชัยเล่าว่า จากการศึกษาพบพ่อแม่ครัวเรือนยากจนที่ได้รับเงินส่วนนี้จะนำไปใช้เพื่อดูแลคุณภาพชีวิตลูกเช่น 1. ครัวเรือนที่ได้เงินอุดหนุนฯ เด็กจะมีพัฒนาการด้านน้ำหนักและส่วนสูงที่ดีกว่าครัวเรือนที่ไม่ได้เงิน แสดงถึงการได้รับอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการในปริมาณที่เพียงพอ
2.ครัวเรือนที่ได้เงินอุดหนุนฯ มีแนวโน้มจะมาเด็กไปพบแพทย์มากกว่าครัวเรือนที่ไม่ได้เงิน สาเหตุเพราะหลายบ้านอยู่ห่างไกลโรงพยาบาลและการไปพบแพทย์ย่อมมีค่าใช้จ่ายในการเดินทาง การไปพบแพทย์ย่อมหมายถึงพ่อแม่จะได้รับคำแนะนำในการดูแลลูกอย่างถูกวิธี รวมถึงเด็กเองจะได้รับการฉีดวัคซีนครบถ้วนซึ่งส่งผลต่อสุขภาพและพัฒนาการของเด็กด้วย
3.ครัวเรือนที่ได้เงินอุดหนุนฯ พบการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่มากกว่าครัวเรือนที่ไม่ได้เงิน ข้อค้นพบนี้สันนิษฐานว่า อาจเป็นเพราะครัวเรือนที่ได้รับเงิน เมื่อแม่คลอดลูกแล้วก็ไม่จำเป็นต้องรีบออกไปหางานทำโดยทันที แต่สามารถใช้เวลาอยู่กับลูกนานพอสมควรจึงให้นมลูกได้ และ 4.ครัวเรือนที่ได้เงินอุดหนุนฯ สถานะของผู้หญิงในครอบครัวดีขึ้น เนื่องจากผู้ได้รับเงินส่วนใหญ่คือคนเป็นแม่ เมื่อได้ถือเงินนี้ย่อมมีอำนาจต่อรองและตัดสินใจในบ้านเพิ่มขึ้น
“มีคนเคยถามว่า เงิน 600 บาท 400 บาท ทำไมมันได้ประโยชน์เยอะแยะจังเลย อันนี้ก็ต้องเรียนว่าไม่ใช่ทุกครอบครัวจะได้ประโยชน์ 4 อย่าง พร้อมๆ กันมันขึ้นอยู่กับบางครอบครัวใช้เงินนี้ในเรื่องของโภชนาการ บางครอบครัวใช้พาลูกไปหาหมอ หรือบางครอบครัวใช้เพื่อไม่ต้องรีบไปหางาน อยู่กับลูกได้นานขึ้น อันนี้คือข้อดีของการให้เป็นเงิน คือรัฐบาลไม่ได้ทำตัวเป็นคุณพ่อคุณแม่รู้ดีว่าจะต้องช่วยเหลือในเรื่องอะไร เพราะแต่ละครอบครัวมีความต้องการไม่เหมือนกัน” สมชัย ระบุ
นักวิชาการ TDRI ผู้นี้ เล่าต่อไปว่า “ส่วนข้อกังวลประเภทเดี๋ยวพ่อแม่ได้เงินไปจะเอาไปใช้ซื้อเหล้า-บุหรี่ หรือไปเล่นการพนัน งานวิจัยพบพ่อแม่ที่ใช้เงินผิดประเภทแบบนี้มีน้อยมาก เฉลี่ยพบเพียงร้อยละ 2-3 เท่านั้น” จึงไม่ควรนำข้อกังวลที่เกิดกับคนส่วนน้อยมาปฏิเสธความจำเป็นของคนส่วนใหญ่ ประการต่อมา “การให้แบบถ้วนหน้าดีกว่าการตามหาคนจน..เพราะเมื่อใดที่มีการคัดกรองเมื่อนั้นมักมีผู้ตกสำรวจเสมอ” และเป็นข้อค้นพบจากผลการศึกษาทั่วโลกไม่ใช่เฉพาะแต่ในประเทศไทย
การตรวจสอบว่าใครจนหรือไม่จนในความเป็นจริงไม่ใช่เรื่องง่าย เช่น เห็นคนมีบ้านมีรถยนต์ใช่จะการันตีได้ว่าทุกคนที่เป็นแบบนี้ชีวิตจะไม่อยู่ในภาวะที่กำลังเดือดร้อน หรือการให้ผู้นำชุมชนรับรอง หากคนจนมีเรื่องมีราวกับผู้นำชุมชนก็อาจไม่ได้รับการรับรองให้ “ผลการศึกษาในปี 2561 พบคนจนร้อยละ 70 ได้เงินอีกร้อยละ 30 ไม่ได้เงิน” ซึ่งร้อยละ 30 หากเทียบเป็นประชากรในภาพรวมก็ถือว่าไม่น้อย
อีกหนึ่งข้อทักท้วง “ไม่อยากให้เป็นถ้วนหน้าเพราะจะมีลูกคนรวยได้ด้วย” คำถามนี้ต้องพิจารณากันต่อไป 1.มองว่าเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดเป็นเรื่องของสิทธิหรือไม่? ฝ่ายที่มองว่าเป็นก็จะบอกว่าเด็กไทยทุกคนควรจะได้โดยไม่ต้องไปสนใจความยากดีมีจน แต่ฝ่ายที่คัดค้านจะมองว่าควรจะให้เฉพาะคนจน 2.อย่าลืมว่ายังมีคนจนตกหล่นด้วย ไม่ว่าจะพยายามหาวิธีใดมาคัดกรองก็ตาม
“ช่วยมองแบบนี้ได้หรือไม่? ว่าการที่เด็กร่ำรวยได้เงินก็ถือว่าเป็นการคืนภาษีให้เขา เพราะว่าอย่างไรก็ตาม ทุกคนก็เสียภาษี และความเป็นจริงของโลกก็คืออย่างไรคนรวยก็เสียภาษีมากกว่าคนจน เพราะเขามีเงินเยอะกว่าก็เสียภาษีหลากหลายประเภทมากกว่ามีการยกว่าคนจนเสีย VAT (ภาษีมูลค่าเพิ่ม) คนรวยก็เสีย VAT และเสียภาษีอื่นๆ ด้วย ช่วยมองว่าเรื่องนี้เป็นการคืนเงินกับเขาได้ไหม?
จริงๆ วิธีคิดนี้ง่ายๆ สมมุติว่าเราอยากจะผลักดันเรื่องถ้วนหน้า สมมุติต้องใช้งบประมาณสัก 3 หมื่นล้านบาทลองเก็บภาษีเพิ่มขึ้นที่เป็นเม็ดเงินเท่ากับ 3 หมื่นล้านบาทสมมุติอาจจะเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เพิ่มอัตราสัก1% สมมุติว่าเก็บแล้วเม็ดเงินเพิ่มขึ้นมา 3 หมื่นล้านบาทแล้วเราก็บอกว่าเงินส่วนนี้เอามาทำอุดหนุนเด็กถ้วนหน้าถ้าอย่างนั้นเม็ดเงินที่เพิ่มขึ้น ภาษีที่เพิ่มขึ้น 1% อย่างไรคนรวยก็จ่ายมากกว่า มันจะมีคนจนที่ไม่ต้องจ่ายตรงนี้เลยเพราะรายได้ไม่ถึงที่ต้องเสียภาษี” สมชัย กล่าว
สมชัยทิ้งท้ายไว้ด้วยอีกข้อกังวลที่พบคือ“หากใช้เงินมากขนาดนี้ภาระทางการคลังจะแบกรับไหวหรือไม่ในระยะยาว” เรื่องนี้ต้องแล้วแต่สังคมไทยจะตัดสินใจ หากเห็นว่าการอุดหนุนเด็กแรกเกิดจำเป็นมากก็สามารถไปตัดงบประมาณจากส่วนอื่นๆ ที่จำเป็นน้อยกว่าได้ ซึ่งหากไปดูงบประมาณประจำปีก็จะพบเห็นหลายเรื่องที่จำเป็นน้อยและสามารถย้ายงบมาใช้อุดหนุนเด็กแรกเกิดได้ และไม่ใช่เฉพาะเรื่องเป็นวิวาทะตลอด 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา อย่างการซื้อเรือดำน้ำเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการไปดูงานต่างประเทศด้วย
อย่าลืมว่า “เด็กคืออนาคตของชาติ” ดังนั้นการดูแลเด็กทุกคนไม่ให้ตกหล่นย่อมเท่ากับเป็นการสร้างอนาคตของชาตินั่นเอง!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี