ในขณะที่โลกของเรายังคงเผชิญกับวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19 ซึ่งทำให้มนุษยโลกต้องประสบปัญหานานัปการ ทั้งในด้านสุขภาวะอนามัย และด้านเศรษฐกิจ แล้วก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 จะจบสิ้นลงในวันใด แต่ในขณะที่เชื้อโรคชนิดนี้ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ของมนุษยชาติ ก็พบว่าได้บังเกิดความร่วมมือของประเทศต่างๆ เพื่อจะค้นคิดผลิตวัคซีนเพื่อใช้ป้องกันโรคร้ายตัวนี้ ซึ่งก็เป็นที่น่ายินดีว่าได้มีการร่วมมือกันอย่างกว้างขวาง ซึ่งก็ทำให้เกิดความหวังว่าในอนาคตอันใกล้นี้ มนุษย์จะสามารถผลิตวัคซีนเพื่อใช้ป้องกันโรคโควิด-19 ได้
ในโอกาสนี้ Dr. Ying-Yuan Lee ซึ่งเป็นผู้แทนของสำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของไต้หวัน ประจำประเทศไทย(Representative Taipei Economic and Cultural Office in Thailand) ได้สนทนากับหนังสือพิมพ์แนวหน้า ถึงประเด็นการร่วมมือกันระหว่างนานาชาติเพื่อผลิตวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 และได้มอบบทความพิเศษให้กับแนวหน้า เพื่อเน้นย้ำให้เกิดความร่วมมือระหว่างนานาชาติเพื่อให้มนุษยชาติผ่านวิกฤติโรคร้ายนี้ในเร็ววัน โดยเนื้อหาในบทความมีดังต่อไปนี้
นับจากต้นปี พ.ศ. 2563 มวลมนุษยโลกต่างได้รับผลกระทบอย่างสาหัสจากเชื้อโรคร้ายที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ นั่นคือเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19 วิกฤตินี้ส่งผลให้วงการสาธารณสุขทั่วโลกได้รับผลกระทบอย่างมากอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน เชื้อโรคนี้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชีวิตของผู้คนในทุกๆ วงการ มีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ทั่วโลกรวมประมาณ 9.5 แสนคน มีจำนวนผู้ติดเชื้อประมาณ 30.2 ล้านคน รักษาหายแล้วประมาณ 20.5 ล้านคน ซึ่งในปัจจุบันโรคนี้ยังคงเป็นปัญหาอยู่ต่อไป และยังไม่สามารถหยุดยั้งได้อย่างเด็ดขาด
ดังนั้น ประชาคมโลกจึงจำเป็นต้องร่วมมือกันเพื่อหาทางขจัดโรคนี้ให้หมดสิ้นไปโดยเร็ว ต้องร่วมมือกันอย่างจริงจังและเป็นรูปธรรม เพื่อสร้างอนาคตที่ดีกว่าและยั่งยืนกว่าให้กับมนุษยโลก ตามที่สหประชาชาติ (ยูเอ็น) และประเทศสมาชิกได้ร่วมกันทำข้อตกลงไว้ สำหรับไต้หวันเอง มีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง และมีความพร้อมอย่างมากกับร่วมมือกับยูเอ็นและนานาชาติในการทำให้บรรลุเป้าหมายสำคัญนี้
เมื่อพิจารณาตัวเลขสะสมของผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในไต้หวัน พบว่ามีจำนวนต่ำกว่า 500 ราย มีผู้เสียชีวิตเพียง 7 ราย ทำให้เห็นได้ชัดเจนว่าไต้หวันมิได้ถูกเชื้อโรคโควิด-19 เข้าไปสร้างปัญหาวิกฤติเหมือนกับที่หลายฝ่ายเคยแสดงความวิตกกังวลตั้งแต่ช่วงที่มีเหตุการณ์ระบาดใหม่ๆ แต่ที่สำคัญคือไต้หวันประสบความสำเร็จในการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19ได้เป็นอย่างดี สามารถควบคุมการระบาดของโรคได้โดยไม่ต้องปิดประเทศ ส่วนในโรงเรียนนั้น ก็ระงับการเรียนการสอนแค่เพียง 2 สัปดาห์ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ส่วนการแข่งขันกีฬาเบสบอลของประเทศก็สามารถกลับมาจัดงานได้อีกครั้งในเดือนเมษายน ถึงแม้ในช่วงแรกของการแข่งขันจะต้องใช้หุ่นกระดาษแข็งรูปคนแทนผู้เข้าชมก็ตาม ซึ่งในที่สุดเกมส์การแข่งขันก็ได้กลับเข้าสู่สภาวะปกติ เมื่อช่วงกลางเดือนกรกฎาคม โดยมีผู้เข้าชมในสนามเป็นจำนวนนับหมื่นคน
ความสำเร็จนี้เกิดจากมาตรการตอบโต้ที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพของรัฐบาลไต้หวัน ดังเช่น การจัดตั้งศูนย์บัญชาการควบคุมโรค การควบคุมชายแดน และมีแนวทางและขั้นตอนการตรวจโรคอย่างเคร่งครัดเอาจริงเอาจัง มีการแบ่งปันข้อมูลจำเป็นกับสาธารณะ และมีการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส นอกจากนี้ไต้หวันยังได้ดำเนินการเพื่อควบคุมโรคนี้อย่างฉับไว มีเวชภัณฑ์เพียงพอเพื่อการรองรับระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า แล้วหลังจากที่มั่นใจว่ามีเวชภัณฑ์เพียงพอสำหรับการดูแลประชาชนไต้หวันได้แล้ว ไต้หวันยังแสดงความมีน้ำใจต่อประชาคมโลก ด้วยการจัดส่งเวชภัณฑ์และอุปกรณ์การแพทย์ไปยังประเทศต่างๆ ที่กำลังขาดแคลนเวชภัณฑ์อย่างหนัก
สำหรับประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศพันธมิตรที่สำคัญอันดับต้นของไต้หวัน ภายใต้ “นโยบายมุ่งใต้ใหม่” โดยเมื่อเดือนเมษายน และสิงหาคม ปี พ.ศ. 2563 หน่วยงานภาครัฐและเอกชนของไต้หวันได้ร่วมบริจาคหน้ากากอนามัยให้รัฐบาลไทยจำนวน 1.2 ล้านชิ้น ซึ่งเป็นการแบ่งปันน้ำใจของชาวไต้หวันให้กับเพื่อนคนไทย อันแสดงถึงมิตรภาพที่แน่นแฟ้นระหว่างไต้หวันกับไทย และเป็นการดำเนินการตามแนวคิด “ไต้หวันกำลังให้ความช่วยเหลืออยู่” (Taiwan is helping!) ทั้งนี้เมื่อถึงช่วงสิ้นเดือนมิถุนายน ไต้หวันได้บริจาคหน้ากากอนามัย จำนวน 51 ล้านชิ้น หน้ากาก N 95 จำนวน 1.16 ล้านชิ้น ชุดป้องกันส่วนบุคคล (พีพีอี)จำนวน 600,000 ชุด เครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรด จำนวน 35,000 เครื่อง และเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ต่างๆ ให้กับกว่า 80 ประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศที่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับไต้หวัน และประเทศอื่นๆ ในทวีปยุโรปด้วย
นอกจากนี้ ไต้หวันยังร่วมพัฒนาชุดทดสอบแบบรวดเร็ว (Rapid Test) ยาและวัคซีนร่วมกับประเทศที่มีแนวคิดร่วมกัน เพื่อร่วมกันเอาชนะเชื้อโรคโควิด-19 ให้ได้โดยเร็ว
ในพิธีเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 75 ปี การลงนามในกฎบัตรสหประชาชาติ บรรดารัฐบาลและผู้นำประเทศต่างยอมรับว่า การจะเอาชนะโควิด-19 นั้นทุกชาติต้องร่วมมือเพื่อต่อสู้กับโรคนี้อย่างจริงจังและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเท่านั้น จึงจะสามารถยุติการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19ได้อย่างเป็นรูปธรรม และมีประสิทธิภาพที่ดี ดังนั้น บรรดาผู้นำชาติต่างๆ จึงให้คำมั่นว่าจะทำให้ยูเอ็นเป็นองค์กรที่เปิดกว้างและหวังว่าทุกประเทศจะฟื้นตัวจากปัญหาจากโรคระบาดนี้โดยเร็ว
นายอันโตนิโอ กูเตอร์เรส (António Guterres) เลขาธิการองค์กรสหประชาชาติ กล่าวในการประชุมระดับสูงของคณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมแห่งองค์การสหประชาชาติ (United Nations Economic and Social Council: ECOSOC) เมื่อเดือนกรกฎาคม ว่า การสร้างเครือข่าย การเปิดกว้าง และการยึดหลักพหุภาคีนิยมที่มีประสิทธิภาพ จะเป็นประโยชน์มากและจะช่วยให้ทั่วโลกฟื้นตัวจากวิกฤติการแพร่ระบาดของโรคนี้และจะสามารถบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals)
ในความเป็นจริงนั้น ไต้หวันตระหนักถึงปัญหาของโรคโควิด-19 มาโดยตลอด แต่ถึงแม้ว่าไต้หวันจะเห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าวของยูเอ็นเป็นอย่างยิ่ง แต่ไต้หวันซึ่งเป็นมีอย่างของระบอบประชาธิปไตยและได้ประสบความสำเร็จในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างดียิ่ง แต่กลับยังคงถูกกีดกันไม่ให้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในระบบของยูเอ็น โดยเฉพาะในการแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสบการณ์ จึงอาจจะกล่าวได้ว่าวิสัยทัศน์ของยูเอ็นในเรื่องสำคัญนี้น่าจะยังไม่กว้างไกลเพียงพอ อีกทั้งการที่ยูเอ็นไม่ให้ไต้หวันเข้าร่วมการทำงานสำคัญสำหรับมนุษยชาติ นับได้ว่าเป็นการสูญเสียโอกาสของประชาคมโลก ซึ่งจะส่งผลกระทบด้านลบต่อเป้าหมายการกลับสู่สภาวะปกติ และการดำเนินไปสู่เป้าหมาย “วาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030”
ทั้งนี้ไต้หวันมั่นใจว่าสามารถใช้ประสบการณ์ที่มีอยู่นำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน และเพื่อความสำเร็จที่แท้จริงไปช่วยเหลือให้ประเทศต่างๆ ที่ประสบวิกฤติจากเชื้อโควิด-19 สามารถกลับฟื้นคืนจากสภาวะวิกฤติอันเกิดจากผลของโรคระบาดตัวนี้ เพราะว่าไต้หวันได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเศรษฐกิจของไต้หวันสามารถฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่งอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (ADB)คาดการณ์ว่าในปี พ.ศ. 2563 เศรษฐกิจไต้หวันจะดีที่สุดในบรรดาสี่เสือเอเชีย (Four Asian Tigers) และเป็นเพียงประเทศเดียวที่มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเชิงบวก ยิ่งไปกว่านั้น ผลการพัฒนาอย่างยั่งยืนอื่นๆ อาทิ ความเท่าเทียมทางเพศ การเติบโตทางเศรษฐกิจ การจัดการน้ำ และระบบสุขาภิบาล ฯลฯ ล้วนอยู่ในระดับเดียวกันกับประเทศในกลุ่มองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ(Organization for Economic Co-operation and Development, OECD)
ทำให้เห็นได้ชัดเจนว่าความพยายามอย่างต่อเนื่องของไต้หวันเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ประกอบกับความสำเร็จในการเอาชนะการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าไต้หวันมีศักยภาพเพียงพอ และสามารถให้ความช่วยเหลือประชาคมโลกเพื่อให้รับมือกับความท้าทายที่มนุษยชาติกำลังเผชิญได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไต้หวันได้ให้การช่วยเหลือเพื่อพัฒนาด้านต่างๆ กับประเทศในแอฟริกา เอเชีย แคริบเบียน ลาตินอเมริกาและแปซิฟิก มาช้านานแล้ว โดยเฉพาะในเรื่องพลังงานสะอาด การจัดการขยะ และการป้องกันภัยพิบัติ ซึ่งเป็นที่ประจักษ์ว่าไต้หวันได้ให้ความช่วยเหลือนานาชาติมาโดยตลอดซึ่งไต้หวันจะสามารถช่วยเหลือนานาชาติได้เป็นรูปธรรมมากกว่านี้ถ้าหากมีโอกาสร่วมเป็นส่วนหนึ่งในกลไกการทำงานของสหประชาชาติอย่างชัดเจน
แต่เป็นที่น่าเสียดายยิ่งที่ชาวไต้หวันจำนวน 23.5 ล้านคนถูกปฏิเสธการเข้าร่วมยูเอ็น ขณะเดียวกันสื่อมวลชนไต้หวันก็ไม่สามารถเข้าร่วมรายงานข่าวการประชุมต่างๆ ของยูเอ็นได้ ซึ่งทำให้มองได้ว่าเป็นการเลือกปฏิบัติทั้งๆ ที่ไต้หวันมีส่วนสำคัญกับการพัฒนาโลกใบนี้ด้วย การเลือกปฏิบัตินี้นับได้ว่าขัดกับหลักความเป็นสากล และหลักความเสมอภาค อันเป็นหลักการสำคัญที่มีขึ้นในวันสถาปนาสหประชาชาติ
ไต้หวันของย้ำว่า อุดมการณ์เพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชน และเสรีภาพพื้นฐานที่กำหนดไว้ในกฎบัตรสหประชาชาติต้องไม่เป็นเพียงคำพูดลอยๆ เท่านั้น และถ้าหากยูเอ็นยืนยันว่ากำลังมองไปที่ประเด็นความก้าวหน้าในอีก 75 ปีข้างหน้า ยูเอ็นสมควรจะต้องพิจารณารับไต้หวันให้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของยูเอ็นด้วย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี