วันพฤหัสบดี ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2569
ช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ สมาคมเพศวิถีศึกษา จัดงานเสวนา “ยุทธศาสตร์สุขภาวะ LGBTIQN+ ฉบับแรกของประเทศไทย” ณ รร.แมนดาริน สามย่าน กรุงเทพฯ ซึ่ง ภรณี ภู่ประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักงานสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ (สำนัก 9) สสส. กล่าวว่า สสส. นั้นมีภารกิจหลักด้านการสร้างเสริมสุขภาพ เช่น ประเด็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์-ยาสูบ รวมถึงการออกกำลังกาย
แต่ สสส. จะมีกลุ่มงานหนึ่งที่ทำหน้าที่ส่งเสริมสุขภาพของประชากรกลุ่มเฉพาะ ซึ่งคำว่า “ประชากรกลุ่มเฉพาะ” หน่วยงานอื่นๆ อาจเรียกกลุ่มเปราะบางบ้างกลุ่มชายขอบบ้าง กลุ่มด้อยโอกาสบ้าง โดยการจัดบริการหรือการให้ความรู้ด้านสุขภาพสำหรับคนทั่วไปอาจเข้าไม่ถึงกลุ่มคนเหล่านี้ เพราะระบบในภาพรวมไม่ได้คำนึงถึงอย่างละเอียดอ่อนเพียงพอ เช่น แรงงานนอกระบบ ผู้หญิงผู้สูงอายุ เป็นต้น
ทำให้ สสส. เชิญนักวิชาการมาวิเคราะห์ปัญหาและโอกาสในประเด็นกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ เนื่องจากต้องการบทวิเคราะห์ที่เป็นวิชาการ เป็นธรรมและมองอย่างรอบด้าน รวมถึงต้องการทราบว่าหน่วยงานภาครัฐและภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้องกับประเด็นนี้ ใครทำอะไรส่วนไหนบ้าง เพื่อวางบทบาทของ สสส. ได้อย่างถูกต้องว่าควรเข้าไปเสริมในเรื่องใด
ดร.ชเนตตี ทินนาม อาจารย์ภาควิชาการสื่อสารมวลชน คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะหนึ่งในคณะผู้วิจัย “(ร่าง) ยุทธศาสตร์สุขภาวะ LGBTIQN+ พ.ศ.2564-2566” อธิบายว่า กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ หรือ LGBTIQN หมายถึงผู้ที่มีเพศกำเนิดกับเพศสภาพไม่ตรงกันตามวิธีคิดแบบการแบ่งเพศชาย-หญิง ส่วนการใส่เครื่องหมายบวกไว้ด้านหลังLGBTIQN หมายถึงบุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศมีอัตลักษณ์ที่ไม่ตายตัว จึงต้องการทำให้นิยามในการศึกษาครั้งนี้เปิดกว้าง สามารถลื่นไหลต่อไปได้ในอนาคต
สำหรับผลการศึกษานั้น คณะผู้วิจัยมีคำแนะนำถึง สสส. ในเรื่องที่ควรทำอย่างเร่งด่วน ได้แก่ 1.การคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สสส. ควรเปลี่ยนฐานคิดของบุคลากรด้านสาธารณสุขในประเด็นสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้รับบริการที่เป็นผู้มีความหลากหลายทางเพศก่อนรวมถึงสนับสนุนการผลักดันกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับประเด็นสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อันเกี่ยวเนื่องกับสุขภาวะของผู้มีความหลากหลายทางเพศ
2.การจัดทำฐานข้อมูลผู้มีความหลากหลายทางเพศในแต่ละกลุ่ม (LGBTIQN) ซึ่งปัจจุบันยังไม่มี ทำให้การเข้าถึงข้อมูลด้านสุขภาวะทำได้ลำบาก นอกจากนี้ยังพบว่า งานวิจัยที่เคยปรากฏในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2493-2559 เกี่ยวกับประชากรผู้มีความหลากหลายทางเพศ ซึ่งมีอยู่ทั้งสิ้น 417 เรื่อง ส่วนใหญ่เป็นการศึกษาเกี่ยวกับกลุ่มชายรักชาย (เกย์) หรือไม่ก็กลุ่มหญิงข้ามเพศ
(สาวประเภทสอง)
ขณะที่งานวิจัยเกี่ยวกับกลุ่มหญิงรักหญิง (ทอม ดี้เลสเบี้ยน) ยังมีจำนวนน้อย เช่นเดียวกับการรวบรวมงานวิจัยตั้งแต่ปี 2553-2563 พบว่ามีงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับประชากรผู้มีความหลากหลายทางเพศ จำนวน 159 เรื่อง ในจำนวนนี้ส่วนใหญ่เป็นการศึกษาในภาพรวมเป็นกลุ่มเดียวกัน ถึงกระนั้นงานวิจัยที่เน้นเจาะจงเป็นรายกลุ่มก็ยังมีที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มหญิงรักหญิง รวมถึงกลุ่มที่รักได้ทั้งชายและหญิงจำนวนน้อย ที่สำคัญคือยังไม่พบงานวิจัยที่ศึกษาประชากรกลุ่ม I Q และ N
ดังนั้นในช่วง 1 ปีแรก สสส. ควรสร้างองค์ความรู้ในส่วนที่ขาดหายไป และอีก 2 ปีหลัง สสส. ควรรวบรวมฐานข้อมูลความรู้ที่กระจัดกระจายให้เป็นแหล่งเดียวกัน เพื่อให้ง่ายในการเข้าถึงและนำไปใช้ประโยชน์ได้ 3.การสร้างระบบสุขภาพที่เป็นธรรมและเข้าถึงได้ สสส. ต้องพัฒนาระบบสุขภาพที่เป็นมิตรกับ LGBTIQN โดยคำนึงถึงลักษณะเฉพาะและอัตลักษณ์ที่ทับซ้อนของคนกลุ่มนี้ด้วย ตลอดจนส่งเสริมการเข้าถึงบริการสาธารณสุขสำหรับประชากรกลุ่มดังกล่าว
4.การสร้างความเข้มแข็งของเครือข่ายและชุมชนกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ ในปีแรก สสส. ควรสร้างความเข้มแข็งและความร่วมมือกับเครือข่ายเหล่านี้ก่อน ส่วนอีก 2 ปีหลัง จึงให้เครือข่ายที่เข้มแข็งแล้วไปสร้างชุมชนที่ปลอดภัยและเป็นมิตรกับกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศต่อไป และ 5.การพัฒนาศักยภาพเยาวชน เรื่องเร่งด่วนคือยังมีเยาวชนที่อยู่ในครอบครัวซึ่งพ่อแม่ผู้ปกครองใช้ความรุนแรงกับบุตรหลานที่เป็นผู้มีความหลากหลายทางเพศ การจะพัฒนาศักยภาพของเยาวชน สิ่งแรกที่ต้องทำคือสร้างครอบครัวที่ปลอดภัย
ภายในงานยังมีการวิพากษ์ร่างยุทธศาสตร์สุขภาวะกลุ่มLGBTIQN ฉบับแรกของประเทศไทยนี้ โดย “หมอโอ๋”พญ.จิราภรณ์ อรุณากูร กุมารแพทย์เวชศาสตร์วัยรุ่นภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี และเจ้าของเพจ “เลี้ยงลูกนอกบ้าน” กล่าวในตอนหนึ่งว่า สำหรับ LGBTIQN หรือกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ ยังมีปัญหาขาดการเข้าถึงสิทธิบางประการเนื่องจากกฎหมายยังไม่เอื้อ
เช่น การรับฝากไข่หรือน้ำเชื้อของตนเองก่อนข้ามเพศ กฎหมายปัจจุบันยังไม่รับรองบุคคลที่ผ่านกระบวนการข้ามเพศไปแล้วให้สามารถใช้ไข่หรือน้ำเชื้อของตนเองเพื่อการมีบุตรได้ โรงพยาบาลจึงไม่รับฝาก จึงควรมีการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เพื่อปกป้องสิทธิของคนกลุ่มนี้ รวมถึงนิยามของคำว่าการเจริญพันธุ์ ต้องครอบคลุมถึงกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ เพื่อให้เข้าถึงบริการด้านการเจริญพันธุ์และการมีบุตร
“อีกอันคือเราอยากให้มีการตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนเรื่องการเข้าถึงบริการการข้ามเพศที่สามารถจ่ายโดย สปสช. (สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ) ตอนนี้คนข้ามเพศหลายคนไม่สามารถเข้าถึงสิทธิในการข้ามเพศของตัวเอง ให้เป็นสิทธิประโยชน์ขั้นพื้นฐาน ซึ่งเราก็คุยกันว่าไม่ง่ายเลย แต่มันก็มีอะไรที่เป็นไปได้เสมอในประเทศไทย หลายอย่างไม่ได้อยู่บนหลักการ อยู่ที่ตัวบุคคลแล้วก็จังหวะ” พญ.จิราภรณ์ กล่าว
อีกด้านหนึ่ง รศ.ดร.กฤตยา อาชวนิจกุล นายกสมาคมเพศวิถีศึกษา ให้ความเห็นว่า งานด้านLGBTIQN+ มีความคล้ายกับงานอีกชิ้นที่ทำอยู่คือประเด็น“การทำแท้ง” ซึ่งย่ำแย่กว่าประเด็นความหลากหลายทางเพศ เนื่องจากกฎหมายไทยมองว่าการทำแท้งเป็นอาชญากรรม ดังนั้นสิ่งที่ต้องแก้คือ “รากฐานทางความคิด”ให้มองว่าการทำแท้งคือบริการสุขภาพ เช่นเดียวกับความหลากหลายทางเพศ ต้องเปลี่ยนไปสู่การมองว่า..
ความรักไม่ว่าจะรูปแบบใดก็สามารถเกิดขึ้นได้!!!

'ดร.ส้ม' ลั่นไม่เคยเคลมผลงานใคร ยันลุยดัน กม.คุกคามทางเพศมาตั้งแต่ปี62
มีหนาว! คุกคามทางเพศผ่านโซเชียลมีเดีย มีผลบังคับใช้แล้ววันนี้
ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ พ.ร.บ.ปกครองท้องที่ ฉบับใหม่ กำหนดคุณสมบัติต้องห้าม ผู้ใหญ่บ้าน
สุริยะใส ย้อนเกล็ด เลือกตั้ง ไม่เอาลุง ครั้งนี้ ไม่เอาเทา คงได้ รัฐบาลเทวดา
แฉทุนจีนแย่งอาชีพคนไทย รุกธุรกิจเผาถ่านกะลามะพร้าว ทำผู้ประกอบการไทยเดือดร้อน

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี