ช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ สมาคมเพศวิถีศึกษา จัดงานเสวนา “ยุทธศาสตร์สุขภาวะ LGBTIQN+ ฉบับแรกของประเทศไทย” ณ รร.แมนดาริน สามย่าน กรุงเทพฯ ซึ่ง ภรณี ภู่ประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักงานสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ (สำนัก 9) สสส. กล่าวว่า สสส. นั้นมีภารกิจหลักด้านการสร้างเสริมสุขภาพ เช่น ประเด็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์-ยาสูบ รวมถึงการออกกำลังกาย
แต่ สสส. จะมีกลุ่มงานหนึ่งที่ทำหน้าที่ส่งเสริมสุขภาพของประชากรกลุ่มเฉพาะ ซึ่งคำว่า “ประชากรกลุ่มเฉพาะ” หน่วยงานอื่นๆ อาจเรียกกลุ่มเปราะบางบ้างกลุ่มชายขอบบ้าง กลุ่มด้อยโอกาสบ้าง โดยการจัดบริการหรือการให้ความรู้ด้านสุขภาพสำหรับคนทั่วไปอาจเข้าไม่ถึงกลุ่มคนเหล่านี้ เพราะระบบในภาพรวมไม่ได้คำนึงถึงอย่างละเอียดอ่อนเพียงพอ เช่น แรงงานนอกระบบ ผู้หญิงผู้สูงอายุ เป็นต้น
ทำให้ สสส. เชิญนักวิชาการมาวิเคราะห์ปัญหาและโอกาสในประเด็นกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ เนื่องจากต้องการบทวิเคราะห์ที่เป็นวิชาการ เป็นธรรมและมองอย่างรอบด้าน รวมถึงต้องการทราบว่าหน่วยงานภาครัฐและภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้องกับประเด็นนี้ ใครทำอะไรส่วนไหนบ้าง เพื่อวางบทบาทของ สสส. ได้อย่างถูกต้องว่าควรเข้าไปเสริมในเรื่องใด
ดร.ชเนตตี ทินนาม อาจารย์ภาควิชาการสื่อสารมวลชน คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะหนึ่งในคณะผู้วิจัย “(ร่าง) ยุทธศาสตร์สุขภาวะ LGBTIQN+ พ.ศ.2564-2566” อธิบายว่า กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ หรือ LGBTIQN หมายถึงผู้ที่มีเพศกำเนิดกับเพศสภาพไม่ตรงกันตามวิธีคิดแบบการแบ่งเพศชาย-หญิง ส่วนการใส่เครื่องหมายบวกไว้ด้านหลังLGBTIQN หมายถึงบุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศมีอัตลักษณ์ที่ไม่ตายตัว จึงต้องการทำให้นิยามในการศึกษาครั้งนี้เปิดกว้าง สามารถลื่นไหลต่อไปได้ในอนาคต
สำหรับผลการศึกษานั้น คณะผู้วิจัยมีคำแนะนำถึง สสส. ในเรื่องที่ควรทำอย่างเร่งด่วน ได้แก่ 1.การคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สสส. ควรเปลี่ยนฐานคิดของบุคลากรด้านสาธารณสุขในประเด็นสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้รับบริการที่เป็นผู้มีความหลากหลายทางเพศก่อนรวมถึงสนับสนุนการผลักดันกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับประเด็นสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อันเกี่ยวเนื่องกับสุขภาวะของผู้มีความหลากหลายทางเพศ
2.การจัดทำฐานข้อมูลผู้มีความหลากหลายทางเพศในแต่ละกลุ่ม (LGBTIQN) ซึ่งปัจจุบันยังไม่มี ทำให้การเข้าถึงข้อมูลด้านสุขภาวะทำได้ลำบาก นอกจากนี้ยังพบว่า งานวิจัยที่เคยปรากฏในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2493-2559 เกี่ยวกับประชากรผู้มีความหลากหลายทางเพศ ซึ่งมีอยู่ทั้งสิ้น 417 เรื่อง ส่วนใหญ่เป็นการศึกษาเกี่ยวกับกลุ่มชายรักชาย (เกย์) หรือไม่ก็กลุ่มหญิงข้ามเพศ
(สาวประเภทสอง)
ขณะที่งานวิจัยเกี่ยวกับกลุ่มหญิงรักหญิง (ทอม ดี้เลสเบี้ยน) ยังมีจำนวนน้อย เช่นเดียวกับการรวบรวมงานวิจัยตั้งแต่ปี 2553-2563 พบว่ามีงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับประชากรผู้มีความหลากหลายทางเพศ จำนวน 159 เรื่อง ในจำนวนนี้ส่วนใหญ่เป็นการศึกษาในภาพรวมเป็นกลุ่มเดียวกัน ถึงกระนั้นงานวิจัยที่เน้นเจาะจงเป็นรายกลุ่มก็ยังมีที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มหญิงรักหญิง รวมถึงกลุ่มที่รักได้ทั้งชายและหญิงจำนวนน้อย ที่สำคัญคือยังไม่พบงานวิจัยที่ศึกษาประชากรกลุ่ม I Q และ N
ดังนั้นในช่วง 1 ปีแรก สสส. ควรสร้างองค์ความรู้ในส่วนที่ขาดหายไป และอีก 2 ปีหลัง สสส. ควรรวบรวมฐานข้อมูลความรู้ที่กระจัดกระจายให้เป็นแหล่งเดียวกัน เพื่อให้ง่ายในการเข้าถึงและนำไปใช้ประโยชน์ได้ 3.การสร้างระบบสุขภาพที่เป็นธรรมและเข้าถึงได้ สสส. ต้องพัฒนาระบบสุขภาพที่เป็นมิตรกับ LGBTIQN โดยคำนึงถึงลักษณะเฉพาะและอัตลักษณ์ที่ทับซ้อนของคนกลุ่มนี้ด้วย ตลอดจนส่งเสริมการเข้าถึงบริการสาธารณสุขสำหรับประชากรกลุ่มดังกล่าว
4.การสร้างความเข้มแข็งของเครือข่ายและชุมชนกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ ในปีแรก สสส. ควรสร้างความเข้มแข็งและความร่วมมือกับเครือข่ายเหล่านี้ก่อน ส่วนอีก 2 ปีหลัง จึงให้เครือข่ายที่เข้มแข็งแล้วไปสร้างชุมชนที่ปลอดภัยและเป็นมิตรกับกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศต่อไป และ 5.การพัฒนาศักยภาพเยาวชน เรื่องเร่งด่วนคือยังมีเยาวชนที่อยู่ในครอบครัวซึ่งพ่อแม่ผู้ปกครองใช้ความรุนแรงกับบุตรหลานที่เป็นผู้มีความหลากหลายทางเพศ การจะพัฒนาศักยภาพของเยาวชน สิ่งแรกที่ต้องทำคือสร้างครอบครัวที่ปลอดภัย
ภายในงานยังมีการวิพากษ์ร่างยุทธศาสตร์สุขภาวะกลุ่มLGBTIQN ฉบับแรกของประเทศไทยนี้ โดย “หมอโอ๋”พญ.จิราภรณ์ อรุณากูร กุมารแพทย์เวชศาสตร์วัยรุ่นภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี และเจ้าของเพจ “เลี้ยงลูกนอกบ้าน” กล่าวในตอนหนึ่งว่า สำหรับ LGBTIQN หรือกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ ยังมีปัญหาขาดการเข้าถึงสิทธิบางประการเนื่องจากกฎหมายยังไม่เอื้อ
เช่น การรับฝากไข่หรือน้ำเชื้อของตนเองก่อนข้ามเพศ กฎหมายปัจจุบันยังไม่รับรองบุคคลที่ผ่านกระบวนการข้ามเพศไปแล้วให้สามารถใช้ไข่หรือน้ำเชื้อของตนเองเพื่อการมีบุตรได้ โรงพยาบาลจึงไม่รับฝาก จึงควรมีการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เพื่อปกป้องสิทธิของคนกลุ่มนี้ รวมถึงนิยามของคำว่าการเจริญพันธุ์ ต้องครอบคลุมถึงกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ เพื่อให้เข้าถึงบริการด้านการเจริญพันธุ์และการมีบุตร
“อีกอันคือเราอยากให้มีการตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนเรื่องการเข้าถึงบริการการข้ามเพศที่สามารถจ่ายโดย สปสช. (สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ) ตอนนี้คนข้ามเพศหลายคนไม่สามารถเข้าถึงสิทธิในการข้ามเพศของตัวเอง ให้เป็นสิทธิประโยชน์ขั้นพื้นฐาน ซึ่งเราก็คุยกันว่าไม่ง่ายเลย แต่มันก็มีอะไรที่เป็นไปได้เสมอในประเทศไทย หลายอย่างไม่ได้อยู่บนหลักการ อยู่ที่ตัวบุคคลแล้วก็จังหวะ” พญ.จิราภรณ์ กล่าว
อีกด้านหนึ่ง รศ.ดร.กฤตยา อาชวนิจกุล นายกสมาคมเพศวิถีศึกษา ให้ความเห็นว่า งานด้านLGBTIQN+ มีความคล้ายกับงานอีกชิ้นที่ทำอยู่คือประเด็น“การทำแท้ง” ซึ่งย่ำแย่กว่าประเด็นความหลากหลายทางเพศ เนื่องจากกฎหมายไทยมองว่าการทำแท้งเป็นอาชญากรรม ดังนั้นสิ่งที่ต้องแก้คือ “รากฐานทางความคิด”ให้มองว่าการทำแท้งคือบริการสุขภาพ เช่นเดียวกับความหลากหลายทางเพศ ต้องเปลี่ยนไปสู่การมองว่า..
ความรักไม่ว่าจะรูปแบบใดก็สามารถเกิดขึ้นได้!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี