เนื่องเพราะเดือนตุลาคม มีเหตุการณ์ทางการเมืองในอดีตที่เอื้อให้นักจัดกิจกรรมทางการเมือง มีความชอบธรรมที่จะจัดอีเว้นท์ได้ อย่างน้อย 2 วัน คือ 6 ตุลา กับ 14 ตุลา
ยิ่งในที่มีสปอนเซอร์ “พร้อมเพย์” เพื่อให้อีเว้นท์ทางการเมืองที่จะกระทบต่อความน่าเชื่อถือของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เกิดขึ้นไม่ขาดตอนแล้วไซร้ ไฉนเลยเดือนตุลาคมจะสงบซบเซาได้
แถมมาได้ปัจจัยหนุน จากกรณีที่รัฐสภา “ยื้อเวลา” การลงมติร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญทั้ง 6 ฉบับ ออกไปอีก 1 เดือน ซึ่งประธานวิปรัฐบาลยอมรับในรายการวิทยุรายการหนึ่งว่า “คิดไว้ก่อนแล้ว” ดังนั้น ไม่ต้องตีความ ไม่ต้องทนฟังพวก “ร้อยลิ้นกะลาวน” มาอธิบาย (ตอแหล) ว่าทำไมต้องตั้งกรรมาธิการ บลาๆๆๆ
สรุปได้ง่ายๆ ว่า ยังไม่กล้าโหวตคว่ำ ขอยืดเวลา รอเช็คกระแสสักหน่อยก่อน และยังไม่กล้าโหวตรับรอง เพราะเป็นการ “นับหนึ่ง” เร็วเกินไป บวกกับว่า โหวตคว่ำเสียวันนั้นเปิดสมัยประชุมสภา ก็ยังมีร่างของ “ไอลอว์” เข้าสู่การพิจารณาได้อีก หรือเสนอใหม่ได้อีก เพราะคนละสมัยประชุมกัน สู้ไป “ตีตก” เอาเมื่อเปิดประชุมสภาใหม่ คราวนี้ซื้อเวลาได้อีกยาวเลยครับ เพราะเรื่องที่เป็นหลักการและเหตุผลเดิม จะเสนอในสมัยประชุมเดียวกันซ้ำไม่ได้ เกมมันก็ตื้นๆ และหน้าด้านๆ แค่นี้เท่านั้นเอง
ดังนั้น มาลองวิเคราะห์กันดูครับ ว่าเดือนตุลาคมนี้ จะมีความพลิกผันทางการเมืองบ้างหรือไม่
1) การชุมนุม ไม่มีอะไรน่ากลัวครับ เพราะ ก.ไม่มีประเด็นที่แข็งแรง ดึงคนมาร่วมได้มากกว่าเก่า ข.แกนนำสุดโต่งจนคนไม่กล้าเดินตาม
นับวันการชุมนุม ก็จะยิ่งเดินเลยเงื่อนไข 3 ข้อเดิม คือ ยุบสภา แก้รัฐธรรมนูญ และหยุดคุกคามประชาชน ไปสู่ความต้องการที่แท้จริง คือ การปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ชัดเจนขึ้นมาก
ลำพังการเสนอปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น สำหรับผม ไม่ใช่เรื่องแปลก และไม่ใช่เรื่องต้องมาขุ่นข้องหมองใจ เป็นเรื่องที่เสนอได้ ส่วนจะสนองได้หรือไม่ เราก็มาคุยกัน เพียงแต่การนำเสนอเรื่องนี้ของแกนนำนั้น มีความก้าวร้าว ทั้งกิริยา และวาจา ซึ่งเป็นการด่ากราดหยาบคาย และใส่ร้ายด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จรวมอยู่ด้วย มันจึงอยู่ในสภาพเอามือทาบอก และอุทานว่า “ฉิบหายแล้ว” ของผู้ฟังและผู้เข้าร่วม
ถามว่า ม็อบ 14 ตุลานี้ จะมีเรื่องการวิจารณ์สถาบันนี้ไหม ก็ต้องไปดูว่า เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2563 นายอานนท์ นำภาทนายความด้านสิทธิมนุษยชน และแกนนำม็อบปลดแอก โพสต์ลิงก์คลิปการปราศรัยของตนเองซึ่งมีเนื้อหาพาดพิงสถาบัน เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2563 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต พร้อมข้อความผ่านเฟซบุ๊ค ระบุว่า “คลิปปราศรัยของผมเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม ที่ธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต โดนบล็อกการเข้าถึงในประเทศแล้วครับไม่เป็นไร เดี๋ยวเรียบเรียงพูดใหม่ให้เบิ้มกว่าเดิม ละเอียดกว่าเดิมชัดกว่าเดิม ตรงกว่าเดิม วันที่ 14 ตุลาคม ครับ”
ดังนั้น แกนนำม็อบยังเลือกจะชูเรื่อง “ปฏิรูปสถาบัน” ขึ้นนำ ก็ไม่อาจผลักดันการชุมนุมให้โตไปกว่านี้ได้อีกแล้ว เว้นเสียแต่จะกลับไป “ขยี้” เรื่องรัฐธรรมนูญให้ชัด ถึงเหตุผลที่จะต้องแก้ ต้องเริ่มทันทีไม่มีโยกโย้อย่างที่เป็นอยู่ ก็จะเกิดแนวร่วมทั้งทางตรงและอ้อม คนในรัฐสภาก็จะเอาไปขยี้ต่อ เพื่อกดดัน “ผู้กุมอำนาจ” ให้ฟังความต้องการของประชาชน มากกว่าดื้อรั้นเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตัวเอง (นายกฯ กับ สว.)ซึ่งต้องลดความก้าวร้าว เกรี้ยวกราด และตัดพิธีกรรมบ้าๆ บอๆ ออกไปเสีย
ส่วนวันที่ 6 ตุลาคม ซึ่งม็อบไม่มีการนัดหมาย แต่มีเวทีกิจกรรมรำลึก ซึ่งล่าสุด นายกฤษฎางค์ นุตจรัส ศูนย์ทนายเพื่อสิทธิมนุษยชนและศิษย์เก่าคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หนึ่งในคณะผู้จัดงานรำลึก 44 ปี 6 ตุลา โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ค Krisadang-Pawadee Nutcharusโดยระบุว่า
“...ผมมีเรื่องน่าเสียใจเกี่ยวกับงานครบรอบ 44 ปี6 ตุลา 19 ซึ่งจัดขึ้นที่ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ในช่วงนี้แจ้งให้ทราบ
เมื่อวานนี้ผมได้รับแจ้งว่า ผู้บริหารธรรมศาสตร์ไม่อนุญาตให้น้องเพนกวินและน้องรุ้งซึ่งเป็นนักศึกษาธรรมศาสตร์และทนายอานนท์ ซึ่งเป็นทนายสิทธิมนุษยชน มาร่วมเสวนาในงานนี้บนเวทีหอประชุมศรีบูรพาตามกำหนดที่คณะกรรมการได้เตรียมไว้
ผู้บริหารธรรมศาสตร์ให้เหตุผลสั้นๆ ว่า ไม่สบายใจโดยไม่อธิบายอะไรแถมยังสั่งว่า หากไม่ตัดทั้งสามคนนี้ออกจะไม่ยอมให้มีการแสดงบนเวทีทั้งหมดในงานนี้
ผมต้องขอโทษต่อประชาชนและสื่อมวลชนทั้งไทยและเทศทุกสาขาที่เคยแจ้งว่า เพนกวิน รุ้ง และทนายอานนท์จะมาแสดงความคิดเห็นในหัวข้อ 6 ตุลา ในทัศนะของคนรุ่นใหม่และการเมืองไทยในมุมมองของเยาวชน
ผมขอเสียใจที่จะแจ้งให้ทราบว่า เราจะไม่ได้ฟังทั้งสามพูดอีกแล้วในธรรมศาสตร์
ข้อความต่อไปนี้ ผม นายกฤษฎางค์ นุตจรัส กรรมการจัดงานปีนี้ที่ธรรมศาสตร์แต่งตั้งขอรับผิดชอบในความเห็นที่จะแสดงต่อไป
เป็นอีกครั้งที่ทำให้เราเข้าใจทัศนะ มุมมอง ความขี้ขลาดหรือความกล้าหาญของผู้บริหาร
เราจัดงานรำลึก 6 ตุลา 19 ทุกปี เพราะเราเชื่อมั่นว่าวีรชนคนหนุ่มสาวที่เสียสละชีวิตไปในเหตุการณ์ครั้งนั้นอุทิศร่างกายของตนเพื่อสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตย ฆาตกรผู้ก่ออาชญากรรมต่อพวกเขาก็เพียงเพราะเขามีความคิดที่แตกต่างออกไปจากพวกมันเท่านั้น
ที่สำคัญเราจัดงาน 6 ตุลา 19 เพราะเราเรียกร้องให้สังคมไทยในปัจจุบันรับฟังความเห็นที่แตกต่างกันมิใช่หรือ
ไม่ว่าน้องทั้งสามจะมีความคิดเห็นอย่างไรทำไมเราไม่รับฟังเขา หรือคุณกลัวที่จะฟังในสิ่งที่เขาพูด
ถ้าในทางกลับกันในงานนี้ เชิญแก้วสรร อติโพธิ หรือวรงค์ เดชกิจวิกรม มาพูดในงานนี้ผมเชื่อมั่นว่าผู้บริหารคงมีความสบายใจกระมัง
ท่านผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง อาจารย์ปรีดี พนมยงค์ เมื่อคราวก่อการปฏิวัติ 2475 ก็มีความเห็นพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินใช่ไหม ในเวลานั้นท่านก็มีอายุเพียงสามสิบปีเศษ การตั้งธรรมศาสตร์ก็เพื่อเป็นหลักคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของราษฎรทั่วไปใช่หรือไม่
การสั่งห้ามน้องทั้งสามมาพูดในงาน 6 ตุลาปีนี้ เป็นสิ่งที่ผมไม่มีทางจะรับได้ แม้ผู้บริหารอาจจะดีใจที่สามารถทำตามคำสั่งของนายได้ แต่ประวัติศาสตร์ได้จารึกไว้แล้วว่าในวันเวลานี้ท่านได้ทำอะไรไป ท่านไม่อาจลบมันออกจากส่วนหนึ่งของงานรำลึก 6 ตุลา 19 ได้ ถ้าเปรียบก็เป็นเหมือนท็อปบู๊ตที่เหยียบย่ำไปบนร่างกายของวีรชน 6 ตุลา ในวันนั้น
เรื่องในวันนี้ช่างประจวบเหมาะกับกรณีครึกโครมที่โรงเรียนอนุบาลเอกชนดังมีครูเอาถุงขยะดำครอบหัวน้องนักเรียนเพื่อสั่งสอนให้กลัวและเชื่อในสิ่งที่ครูสั่ง
ผมนึกไม่ถึงว่าในวันที่เราจัดครบรอบ 44 ปี 6 ตุลา 19ผู้บริหารธรรมศาสตร์ยังวิ่งไล่เอาถุงขยะดำครอบหัวนักศึกษาอยู่...”
นี่คือตัวอย่างของ “ความสุดโต่ง” ที่เริ่มจะไม่มีที่ให้ยืนแล้ว!!
2.รัฐบาลและการเมือง รัฐบาลมีพันธกิจหลักของตนเอง คือการจัดการกับปัญหาโรคระบาด โควิด-19(ซึ่งทำได้ดีมาก) กับปัญหาเศรษฐกิจ (ซึ่งยังจัดการได้ไม่ดีพอ)ส่วนปัญหาทางการเมือง จะบอกว่าเป็นการถูกหาเรื่องก็ใช่ จะบอกว่าเป็นกรรมเก่าก็ยิ่งใช่ เพราะ คสช. ได้ทำกฎหมายและกติกาที่เอาเปรียบคนอื่นเขาไว้ เพื่อรับประกันการได้สืบต่ออำนาจของตนเองกับพวก บัดนี้ มันถึงเวลาที่จะต้องทำให้ถูกต้องแล้ว เลิกกุมอำนาจอยู่บนกติกาที่ไม่เป็นธรรมได้แล้ว
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า จุดยืนพรรคประชาธิปัตย์วันนี้อย่างชัดเจนเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เราสนับสนุนการแก้รัฐธรรมนูญมาตรา 256โดยให้มีการตั้ง ส.ส.ร. ขึ้นมาและไม่แตะหมวด 1 กับหมวด 2ที่ว่าด้วยรูปแบบของรัฐ คือ กำหนดให้ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรและปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รวมทั้งหมวดที่ว่าด้วยพระมหากษัตริย์ ทั้งสองหมวดนี้ก็จะไม่ไปแตะ นี่คือจุดยืนของประชาธิปัตย์ และเมื่อเข้าสู่การพิจารณาในวาระที่หนึ่งนั้นพรรคประชาธิปัตย์ก็จะรับหลักการร่างที่มีหลักการทำนองเดียวกันอย่างน้อยที่สุดเป็นร่างของรัฐบาลและร่างของพรรคร่วมฝ่ายค้านที่ได้มีการบรรจุวาระเข้าสู่การพิจารณาของสภาแล้ว
สำหรับเงื่อนไขที่จะทำให้การแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้ประสบความสำเร็จได้นั้น สมาชิกวุฒิสภาก็จะมีส่วนสำคัญ เพราะการที่จะแก้รัฐธรรมนูญได้นอกจากต้องมีเสียงของพรรคร่วมรัฐบาลและเสียงของฝ่ายค้านไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ต้องมีเสียงของสมาชิกวุฒิสภาไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ประกอบด้วย หัวใจสำคัญก็คือต้องมีการพูดคุยกันสามฝ่าย ตนคิดว่าเราต้องให้เกียรติสมาชิกวุฒิสภาด้วยในการหารือเพื่อแลกเปลี่ยนฟังความเห็นและหาจุดร่วมกัน ในการที่จะทำให้การแก้รัฐธรรมนูญนั้นประสบความสำเร็จได้จริง เป้าหมายสำคัญก็คือประชาธิปัตย์อยากเห็นผลที่สำเร็จได้จริง ไม่ใช่แค่เสนอแล้วจบ
“มีประเด็นสำคัญอีกประการหนึ่งคือ มีคำถามว่าการแก้รัฐธรรมนูญนั้นจำเป็นที่จะต้องทำประชามติก่อนหรือไม่ ความจริงรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันปี’60 นั้นระบุไว้ชัดเจนว่าไม่ได้มีเงื่อนไขบังคับให้ต้องไปทำประชามติก่อนที่จะนำไปสู่การพิจารณารับหลักการในวาระที่หนึ่ง เพราะฉะนั้น เมื่อเข้าสู่การพิจารณาวาระที่หนึ่ง ขั้นรับหลักการ ก็ถือว่าสามารถรับหลักการได้” นายจุรินทร์ กล่าว
ต้องชมว่านายจุรินทร์นั้นพูดนุ่มแต่ทำจริงแรง จะเห็นได้ว่า ในการโหวตที่ผ่านมา ประชาธิปัตย์โหวตค้านการตั้งกรรมาธิการอย่างเปิดเผย เว้นไว้ 2 คน คนหนึ่งคือลูกรักของสุเทพ เทือกสุบรรณ อีกคนเป็นลูกรักของวิปรัฐบาล
ภูมิใจไทย โดยอนุทิน ชาญวีรกูล นั้น พูดจาขึงขัง ว่ายกมือเห็นด้วยกับการตั้งกรรมาธิการอย่างเจ็บปวด แต่ได้ส่งนายชาดา ไทยเศรษฐ์ ไปแจ้งแก่วิปรัฐบาลแล้วว่า คราวหน้า ภูมิใจไทยโหวตรับหลักการแน่ๆ
เทียบกัน 2 คนนี้ จุรินทร์แน่กว่าเยอะ นุ่ม แต่เอาจริงไม่ต้องพูดเยอะ แต่ทำเลย อันเป็นการส่งสัญญาณเตือนรัฐบาลว่า เรื่องนี้ “จริงจังนะ”
ในที่สุด ก็มีรายงานข่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เชิญล้อมวงคุยก่อนประชุม ครม. แล้วขอให้โหวตรับร่างที่มีหลักการเดียวกัน คือ ให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยมี ส.ส.ร. ซึ่งเป็นร่างของพรรคร่วมรัฐบาล และมีอีกร่างเสนอโดยฝ่ายค้าน นี่คือทางออกที่ดีที่สุด!
ทว่า เกมนี้อาจวางหมากไว้ให้ สว. เป็นคนคว่ำครับ สว.ที่ออกมาพูด ส่วนมากเป็นพวก “ตลกหน้าม่าน” เป็นพวกมีอาชีพเป็น สว. ชอบแอ๊กชั่นโชว์คนมีอำนาจ แต่พวกที่น่ากลัว คือ ข้าราชการตำรวจ ทหาร ที่ได้รับการเลือก จาก คสช. มานั่งเป็น สว.เยอะแยะนั้น คือมือโหวตหนุนหรือคว่ำตัวจริง ไอ้พวกออกแขกไม่ต้องไปสนใจมันมาก พวกนี้เห็นไมค์เห็นไฟได้ที่ไหน เต้นโชว์ยิกๆๆๆ
แนวโน้มจึงหนักไปทาง “คว่ำ” ซึ่งจะโยนเกมไปที่ สว. ว่า สว.ไม่หนุน โดยจะมี สว.จำนวนหนึ่ง มาโหวตหนุน เพื่อไม่ให้น่าเกลียด แต่จะไม่พอ 84 คน การเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญจึงตกไป แล้วในสมัยประชุมนั้น ก็ห้ามเสนอเรื่องนี้อีก ยาวไปปี 2564 เลยครับ
แต่ถ้าสถานการณ์ “ม็อบ” กดดันอย่างมีเหตุผล สร้างแนวร่วมที่มีเหตุผลได้มาก การณ์ก็อาจจะเปลี่ยนเป็น “เห็นชอบ” ให้มีการแก้ไข ด้วยการตั้ง ส.ส.ร. แล้วค่อยไปซื้อเวลาเรื่องวิธีการได้มาซึ่ง ส.ส.ร. การตั้งกรรมการร่างการทำประชามติ ยืดไปยืดมา รัฐบาลอยู่ได้ครบเทอมพอดีมีเวลา “ซื้อเสียงล่วงหน้า” ฝังองคาพยพที่จะช่วยให้ชนะเลือกตั้งรอบหน้าผ่านองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อสม. ฯลฯ ไว้เรียบร้อยแล้ว
หมากเกมนี้ ออกได้ 2 หน้านี้แหละครับ
ดังนั้น พรรคก้าวไกล กับม็อบ อย่ามัวแต่ไปทะลึ่งตึงตังเรื่อง “สถาบัน” แต่ควรหันมาเอาจริงเอาจังต่อการให้เหตุผลที่ครอบคลุมครบถ้วน ว่าทำไมต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ มีมาตราใดบ้าง ที่เป็นผลเสียต่อประเทศชาติและประชาชน เพื่อขยายแนวร่วมออกไปให้กว้างขวางขึ้น
3) รัฐบาลแห่งชาติ ยังไม่ต้องไปใฝ่ฝันถึงมัน เป็นแค่เรื่องมโนเพ้อบ้าของสื่อบางค่ายเท่านั้นแหละ ที่จุดประกายขึ้นมาจากการกราบของ “คุณหญิงพจมาน” พล.อ.ประยุทธ์ไม่ยอมให้มีรัฐบาลแห่งชาติแน่ เพราะนั่นคือ “ใบเสร็จแห่งความล้มเหลว” ของรัฐบาลประยุทธ์ ต่อให้เป็นรัฐบาลแห่งชาติแบบจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ด้วยการเอาพรรคเพื่อไทยมาร่วมด้วย ก็ไม่เห็นประโยชน์อะไรที่จะต้องทำ เพราะพรรคเพื่อไทยไม่มีแรงกระแทกเพียงพอที่จะล้มรัฐบาลได้ เมื่ออยู่ฟากฝ่ายค้าน และไม่ได้ช่วย “เสริมบารมี” ใดๆ หากมาอยู่ข้างรัฐบาล เป็นตัวประจานว่าทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ และพรรคเพื่อไทยไม่มีจุดยืนทั้งคู่การเมืองกลายเป็นปาหี่ ที่สมประโยชน์กันเมื่อไหร่ ก็สังวาสอำนาจกันได้ในทันที โดยไม่เห็นหัวประชาชน และรัฐบาลก็ไม่ได้มีผลงานดีพอที่พรรคเพื่อไทยจะต้องย้ายข้างมาร่วมด้วยให้เสียมวลชน มองไปข้างหน้าเห็นแต่แย่กับแย่ ปล่อยให้พังไปเองง่ายกว่า ที่จะเสี่ยงมาเป็นเสาค้ำยัน หรืออาศัยใบบุญ
เรื่องใหญ่ในเดือนตุลา จึงมีแค่ลุ้นว่า โควิด-19 จากประเทศเพื่อนบ้านจะทะลักเข้าไทยหรือไม่ รมว.คลังคนใหม่จะพลิกโฉมการแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้รัฐบาลได้แค่ไหน(ภายใต้หัวหน้าทีมเศรษฐกิจที่ชื่อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา) และต้องดูว่า สว. จะเหิมเกริม เอาเสียงข้างน้อยจากการแต่งตั้งมาหักหาญเสียงข้างมากจากการเลือกตั้งของประชาชนคว่ำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่
ตุลาคม...จึงไม่มีอะไร แค่กระแสโหมตีกินทางการเมืองกันไปวันๆ เท่านั้นเอง!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี