สัปดาห์นี้ “ที่นี่แนวหน้า” ขอนำเสนอเรื่องราวจากงานสัมมนา “กิโยตินกฎหมาย: ฟื้นเศรษฐกิจได้ ไม่ต้องใช้เงิน” เมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2563 จัดโดย สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ซึ่งคำว่ากิโยตินกฎหมาย อาจใช้คำไทยว่า “สังคายนากฎหมาย” ก็ได้ หมายถึงการนำกฎหมายทั้งระดับกฎหมายแม่ (เช่นพระราชบัญญัติ) และกฎหมายลูก (เช่น กฎหรือประกาศกระทรวง) ที่มีอยู่มาพิจารณาว่าฉบับใดบ้างสมควรยกเลิกหรือปรับแก้ให้เข้ากับบริบทสังคมที่เปลี่ยนไป เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อการบริหารประเทศและการดำรงชีวิตของประชาชน
กิรติพงศ์ แนวมาลี นักวิชาการอาวุโส TDRI เล่าว่า เมื่อ 2 ปีก่อน TDRI ทำงานร่วมกับ คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) ทบทวนกฎหมายที่เกี่ยวกับใบอนุญาตต่างๆ ใช้เวลาประมาณ8 เดือน ทบทวนได้ 1,094 กระบวนงาน ครอบคลุมหน่วยงานใน 16 กระทรวง 47 กรม ผ่านการหารือกับฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องจนออกมาเป็นข้อเสนอแนะ
“การศึกษาครั้งนั้นได้ผลที่น่าสนใจ จาก 1,094 กระบวนงาน เราพิจารณาโละทิ้งถึง 39% ปรับปรุงอีก 43%สร้างใหม่หรือยุบรวมกฎหมายที่สามารถยุบรวมกันได้ 4%และคงไว้เช่นเดิมเพราะเราเห็นว่าของเดิมดีอยู่แล้วอีก 15% จากการทบทวนและประเมินต้นทุนกระบวนงานทั้งหมด จะก่อให้เกิดต้นทุนกับภาคเอกชนประมาณ
2 แสนล้านบาท/ปี แต่ถ้าหน่วยงานภาครัฐสามารถดำเนินการตัดลดได้ตามที่เราเสนอ ก็จะลดไปได้ถึง 1.3 แสนล้านบาทต่อปี ซึ่งคิดเป็น 0.8% ของ GDP (ผลิตภัณฑ์มวลรวม) ต้นทุนนี้คำนวณจากต้นทุนที่ต้องจ่ายจริง และต้นทุนเสียโอกาสของธุรกิจที่ต้องรอคอย หรือว่าไม่สามารถดำเนินการตามแผนได้ จึงออกมาสูงขนาดนี้” กิรติพงศ์ กล่าว
ทั้งนี้ การยกเลิกกฎหมายที่ไม่จำเป็น สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้โดยที่ภาครัฐไม่ต้องใช้จ่ายงบประมาณ กิรติพงศ์ กล่าวต่อไปว่า การกระตุ้นเศรษฐกิจนั้นทำได้ 3 ช่องทาง คือ 1.การแก้ไขหรือปฏิรูปกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของประชาชน เพื่อให้ประชาชนมีงานทำได้ง่ายขึ้น ซึ่งเมื่อมีงานทำก็มีรายได้ไว้ใช้จ่าย อาทิ กฎหมายปัจจุบันว่าด้วยอาชีพพนักงานนวด การยื่นขอใบประกอบวิชาชีพนั้นผู้ผ่านการฝึกอบรมต้องนำหนังสือรับรองจากโรงเรียนสอนนวดไปขึ้นทะเบียนกับ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี) ด้วยตนเอง
เงื่อนไขดังกล่าวทำให้ผู้ที่ไม่ได้อยู่ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล มีภาระด้านค่าใช้จ่ายในการเดินทางไกล จึงควรแก้ไขโดยให้ทางโรงเรียนสอนนวดสามารถเดินเรื่องยื่นเอกสารของผู้ผ่านการฝึกอบรมกับกรมสนับสนุนบริการสุขภาพได้ เพื่อประหยัดต้นทุนของผู้เข้ารับการฝึกอบรม ตีเป็นมูลค่าได้ถึง 1.3 หมื่นล้านบาท จากแต่ละปีที่มีผู้ยื่นขอรับใบอนุญาตประมาณ 3.8 หมื่นคน
2.ยกเลิกกฎหมายที่สร้างต้นทุนให้ภาคธุรกิจ ทำให้ขีดความสามารถของภาคธุรกิจดีขึ้น เช่น หากใครจะทำร้านค้าปลีกแล้วต้องการใช้เครื่องบันทึกการเก็บเงินต้องขออนุญาตจึงจะติดตั้งได้ แม้กระทั่งการเคลื่อนย้ายตำแหน่งก็ต้องขอด้วยเช่นกัน กฎนี้เป็นภาระกับร้านค้าปลีกที่ในประเทศไทยมีประมาณ 1.6 หมื่นร้าน ตั้งแต่ร้านชำไปจนถึงห้างสรรพสินค้า ที่เมื่อจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายแล้วต้องมีหลายเครื่องวางตามจุดต่างๆ ของพื้นที่ร้าน
ซึ่ง 1 คำขอ จะตีเป็นภาระงบประมาณราว 3,500 บาทมี 5 เครื่อง ก็ต้องขอ 5 ใบ หรือมี 1 เครื่อง ย้ายที่ 1 ครั้งก็ต้องขอใหม่ ทั้งนี้ทาง กรมสรรพากร ก็เห็นด้วยกับการแก้ไขกฎหมายนี้ เพราะปัจจุบันมีเทคโนโลยีมากมายที่เอื้อต่อการเก็บข้อมูลโดยไม่ต้องขออนุญาตทุกครั้ง กรมสรรพากรสามารถกำหนดให้ร้านค้าเก็บข้อมูลไว้สำหรับการตรวจสอบย้อนหลังก็ได้ การแก้ไขจะทำให้ร้านค้าทำธุรกิจสะดวกขึ้น
3.แก้ไขกฎหมายเพื่อให้ธุรกิจเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูได้ดีขึ้น โดยเฉพาะสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้หลายธุรกิจเสี่ยงล้มละลาย ที่ผ่านมาหลายธุรกิจไม่สามารถเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูได้เพราะไม่อาจแบกรับค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่ายกับผู้ออกแบบแผนฟื้นฟู ซึ่งนักรับทำแผนฟื้นฟูเป็นอาชีพต้องขึ้นทะเบียนกับ กรมบังคับคดี และเงื่อนไขในการขึ้นทะเบียนก็ซับซ้อนและต้องใช้เอกสารมากมาย
อีกทั้งผู้ขึ้นทะเบียนต้องวางเงินประกันคนละ 5 แสนบาทกระทบต่อคนหน้าใหม่ที่จะเข้ามาสู่อาชีพนี้เพราะไม่มีเงินพอจึงทำให้มีผู้ขึ้นทะเบียนนักรับทำแผนฟื้นฟูน้อยมาก ทั้งประเทศมีเพียง 11 รายเท่านั้น การแก้ไขกฎหมายนี้จะทำให้มีนักทำแผนฟื้นฟูเพิ่มขึ้น เกิดการแข่งขันทั้งคุณภาพและราคา เมื่อราคาค่าจ้างทำแผนฟื้นฟูลดลง ลูกหนี้ก็มีเงินเหลือไปใช้คืนเจ้าหนี้ ส่วนเจ้าหนี้ก็นำเงินไปใช้หมุนทำธุรกิจเกิดผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ
“จาก 3 เรื่อง ที่เล่าให้ฟังนี้ เป็นที่น่ายินดีว่าหน่วยงานที่เป็นผู้ถืออำนาจในเรื่องนี้ก็เห็นด้วยกับข้อเสนอ อย่างเรื่องทำแผนฟื้นฟู ทางกรมบังคับคดีก็เห็นด้วยและมีแนวคิดที่จะตัดเรื่องนี้ออกไปจากประกาศเรื่องการต้องขออนุญาตเป็นผู้ทำแผนฟื้นฟู สุดท้ายจากที่ได้นำเสนอมา ประเทศเราสามารถที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจได้โดยที่รัฐไม่ต้องอัดฉีดเม็ดเงินลงไป เพียงแต่ตัดลดกฎเกณฑ์บางอย่างที่เป็นอุปสรรคทำให้คนมีอาชีพดีขึ้น ธุรกิจก็สามารถดำเนินการได้ดีขึ้น แล้วลดเรื่อง NPL (หนี้เสีย) ด้วย” กิรติพงศ์ ระบุ
นักวิชาการจาก TDRI ผู้นี้ กล่าวทิ้งท้ายว่า ปัจจัยที่จะทำให้การปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเกิดขึ้นได้จริง มีอยู่ 3 ข้อ คือ 1.ต้องมีคู่มือระบุหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน วางแนวทางอย่างเป็นระบบว่าเมื่อใดกฎหมายต้องถูกปรับปรุงหรือยกเลิก 2.ภาครัฐและภาคเอกชนต้องมีความร่วมมือกันอย่างเข้มแข็ง การแก้ไขหรือยกเลิกกฎหมายภาครัฐไม่อาจทำเองโดยลำพัง ต้องรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนจนได้ข้อเสนอแนะที่เป็นรูปธรรม 3.ไม่ควรพิจารณาเฉพาะกฎหมายแม่บทอย่างเดียว กฎหมายย่อยระดับรองลงไป ก็สามารถพิจารณาปรับแก้หรือยกเลิกได้เช่นกัน
หากทำแล้วดีขึ้น
รัฐธรรมนูญฉบับ 2560 มาตรา 77 นอกจากการกำหนดให้การออกกฎหมายใหม่ๆ ต้องรับฟังความเห็นจากภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องแล้ว แม้แต่กฎหมายที่มีอยู่เดิมก็ต้องถูกนำมาพิจารณาด้วยว่าสมควรปรับปรุงหรือยกเลิกเพื่อให้สอดคล้องกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป รวมถึงระบบการขออนุญาตและดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ให้มีเท่าที่จำเป็น โดยมี พ.ร.บ.หลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ.2562 ออกมาเพื่อให้สามารถนำหลักการดังกล่าวของรัฐธรรมนูญไปปฏิบัติได้จริง
คงต้องรอดูกันต่อไปว่าสุดท้ายแล้วจะดำเนินการสังคายนากฎหมายได้มากน้อยเพียงใด!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี