สัปดาห์ก่อน ได้เก็บตกเลือกตั้งสหรัฐฯ 2020 ถึงเรื่องว่าที่คณะรัฐมนตรีไบเดน-1 ว่าน่าจะมีความหลากหลายเป็นอย่างมากทั้งทางเชื้อชาติ สีผิว เพศสภาพ โดยรายชื่อรัฐมนตรีทั้ง 15 กระทรวงนั้น จะมีรัฐมนตรีทั้งหญิงและชายในอัตราส่วนที่ใกล้เคียงกัน และยังมีรัฐมนตรีกลุ่ม LGBTQ เสริมเข้าไปอีกด้วยโดยจะมีทั้งรัฐมนตรีที่มาจากเชื้อชาติต่างๆ คละเคล้ากันไป ไม่ว่าจะเป็นชนเผ่าพื้นเมืองอินเดียนแดงเม็กซิกัน-อเมริกัน อินเดียน-อเมริกัน จีน-อเมริกัน และแม้กระทั่งไทย-อเมริกันอย่าง คุณลัดดา แทมมี ดักเวิร์ธ ก็เป็นหนึ่งในแคนดิเดตด้วย
พูดถึงความหลากหลายในสถาบันการเมืองแล้ว ก็อดไม่ได้ที่ต้องชื่นชมสภาผู้แทนราษฎร นิวซีแลนด์ชุดใหม่ล่าสุดนี้ที่พึ่งมีการเลือกตั้งไปเมื่อเดือนก่อนซึ่งได้ทำให้สภาผู้เทนราษฎรชุดที่ 53 ของนิวซีแลนด์นี้กลายเป็นสภาที่มีความหลากหลายที่สุดในโลกโดยเกือบครึ่งหรือ 47% (57 คน จากจำนวน สส. ทั้งหมด 120 คน) เป็น สส.หญิงหน้าใหม่ และอีก 11% เป็นกลุ่ม LGBTQ นอกจากนั้น ยังมีผู้แทนที่เป็นชนเผ่าเมารี (Maori) ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองดั้งเดิมและผู้แทนที่เป็นชาวเลหรือกลุ่มชนเผ่าพื้นเมืองที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ตามเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก ได้รับเลือกเข้าไปในอัตราส่วนที่สูงกว่าสัดส่วนของจำนวนชนเผ่าเหล่านี้เมื่อเทียบกับจำนวนประชากรนิวซีแลนด์ทั้งหมด
ความหลากหลายดังกล่าวนี้เป็นตัวชี้วัดระดับความเป็นประชาธิปไตยของแต่ละสังคมได้ดีตัวหนึ่ง เพราะถ้าหันไปดูที่สถาบันนิติบัญญัติของประเทศที่ระดับความเป็นประชาธิปไตยต่ำหรือเป็นเผด็จการก็มักจะประกอบไปด้วยคนอยู่ไม่กี่ประเภทซึ่งส่วนใหญ่ก็คือผู้ชายที่มีอาชีพทหาร แต่ไม่ใช่ทหารหญิงหรือนายทหารอาชีพ......
ขอกลับมาเก็บตกเลือกตั้งสหรัฐฯ 2020 ต่อในประเด็นสุดท้ายคือเรื่องศึกเลือกตั้งในรัฐจอร์เจีย
ถ้าการเลือกตั้งปี 2000 ฟลอริดาเป็นรัฐชี้ขาด เพราะบุช จูเนียร์ ชนะ อัล กอร์ เพียงแค่ห้าร้อยกว่าคะแนนในรัฐนี้ หรือตั้งแต่ปี 1960 โอไฮโอก็ถือเป็นรัฐชี้ชะตาตำแหน่งประธาธิบดี สหรัฐฯ ในเชิงสถิติ เพราะ 60 ปีที่ผ่านมานี้ ไม่มีประธานาธิบดีที่ชนะการเลือกตั้งคนไหน พ่ายแพ้ในรัฐโอไฮโอ จนมาถึงปีนี้ที่โจ ไบเดน ได้หยุดสถิติดังกล่าวนี้ เพราะถึงโจจะพ่ายแพ้ในรัฐโอไฮโอ แต่ก็ยังชนะได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี
สำหรับศึกเลือกตั้งปี 2020 จอร์เจียได้กลายเป็นรัฐชี้ขาด...และจะเป็นรัฐสำคัญในทางภูมิรัฐศาสตร์ของการเมืองอเมริกันต่อไป เพราะ...
1.ด้วยคะแนนที่ห่างกันเพียงไม่ถึง 0.3% หรือหมื่นกว่าคะแนน จากจำนวนผู้มาใช้สิทธิทั้งหมดประมาณ 5 ล้านคน ในจอร์เจีย ทำให้ต้องมีการนับคะแนนกันใหม่ ซึ่งถ้าเกิดผลการนับคะแนนใหม่ของจอร์เจียพลิกกลับกลายเป็นว่าทรัมป์ชนะ ก็จะเป็นโอกาสให้ทรัมป์มีพื้นที่ในการรุกคืบต่อไป ด้วยการใช้ทั้งทีมกฎหมายต่อสู้ด้านเทคนิคและปลุกระดมผู้สนับสนุนผ่านทางทวิตเตอร์ เพื่อขอให้มีการนับคะแนนใหม่ในรัฐวิสคอนซิสและเพนซิลวาเนียต่อไปเพราะคะแนนของทั้งคู่ห่างกันไม่ถึง 1% ในสองรัฐนี้
และถ้าการนับคะแนนใหม่ในสามรัฐนี้พลิกกลับเป็นชัยชนะของทรัมป์ คะแนนคณะผู้เลือกตั้งหรือ Electoral vote ของทรัมป์ก็จะพลิกกลับมามากกว่าไบเดนทันที (ขณะเขียนบทความนี้ การนับคะแนนใหม่ที่จอร์เจียยังไม่เสร็จสิ้น แต่ผลการนับ ณ ตอนนี้ ไบเดนก็ยังมีคะแนนนำทรัมป์อยู่ประมาณหนึ่งหมื่นกว่าคะแนนเท่าเดิม ซึ่งกฎหมายเลือกตั้งจอร์เจียกำหนดเส้นตายการนับคะแนนใหม่ต้องเสร็จภายในวันพุธที่ 18 พ.ย. หรือไม่เกินเที่ยงวันของวันพฤหัสบดีที่ 19 พ.ย.เวลาที่เมืองไทย)
2.จอร์เจียไม่เพียงแต่เป็นรัฐชี้ขาดว่าใครจะได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ แล้ว ยังจะเป็นรัฐที่จะชี้ขาดว่าพรรคไหนจะได้คุมเสียงข้างมากในวุฒิสภาอีกด้วย เพราะในการเลือกตั้งครั้งนี้ จอร์เจียมีการเลือกตั้งวุฒิสมาชิก 2 ที่นั่ง ซึ่งผลการเลือกตั้งในวันที่ 3 พ.ย.นั้น ปรากฏว่าไม่มีผู้สมัครคนไหนได้คะแนนเสียงเกินกว่ากึ่งหนึ่งจึงทำให้ต้องมาเลือกตั้งกันใหม่อีกครั้งในวันที่ 5 ม.ค. ปีหน้าระหว่างผู้สมัครจากรีพับลิกันและเดโมแครต ซึ่งในตอนนี้รีพับลิกันมีวุฒิสมาชิก 50 ส่วนเดโมแครตมี 48 คน และถ้าการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 5 ม.ค. พรรคเดโมแครตชนะทั้งสองที่นั่งนี้ก็จะทำให้อัตราส่วนวุฒิสมาชิกจากสองพรรคนี้เท่ากันคือ 50 : 50
และถ้าเสียงเท่ากันแบบนี้ เมื่อมีการโหวตกันในวุฒิสภา เสียงชี้ขาดก็จะเป็นเสียงของประธานวุฒิสภา โดยกฎหมายกำหนดให้รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นประธานวุฒิสภาโดยตำแหน่ง ซึ่งก็คือนางกมลา แฮร์ริส(Kamala Harris) จากพรรคเดโมแครต และถ้าเป็นเช่นนี้พรรคเดโมแครตก็จะกุมอำนาจทั้งฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติโดยมีเสียงข้างมากทั้งสภาผู้แทนราษฎรและมีเสียงชี้ขาดในวุฒิสภาจากนางกมลา
ในรอบเกือบ 30 ปีที่ผ่านมา จอร์เจียถือว่าเป็น Red states หรือพื้นที่ของพรรครีพับลิกันมาตลอด พรรคเดโมแครตมีชัยในรัฐนี้ครั้งสุดท้ายก็ในปี 1992 ตอนที่บิล คลินตัน ลงชิงชัยกับ บุช ซีเนียร์ หลังจากนั้นเดโมแครตก็ไม่เคยชนะการเลือกตั้งระดับประธานาธิบดีในจอร์เจียอีกเลย ส่วนระดับผู้ว่าการรัฐหรือวุฒิสมาชิกส่วนใหญ่ก็จะโดนผูกขาดโดยรีพับลิกันจะชนะก็แต่การเลือกตั้ง สส. นายกเทศมนตรีหรือระดับท้องถิ่นบ้าง
การที่เดโมแครตกลับเข้ามายึดครองพื้นที่ในจอร์เจียได้นั้น ต้องให้เครดิตกับ สเตซี่ อับรามส์ (Stacey Abrams) นักการเมืองหญิงผิวสี ดีกรีนิติศาสตรบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยเยล ดาวรุ่งพุ่งแรงของพรรคที่เมื่อสองปีก่อนต้องพ่ายแพ้การเลือกตั้งในตำแหน่งผู้ว่าการรัฐจอร์เจียไปอย่างน่ากังขา ต่อนายไบรอัน คีม ผู้ว่าการรัฐจอร์เจีย สังกัดพรรครีพับลิกัน คนปัจจุบัน ที่ในตอนนั้นมีตำแหน่งเป็นรองผู้ว่าการฝ่ายกิจการของรัฐจอร์เจีย (Secretary of State) ซึ่งมีหน้าที่ดูแลการเลือกตั้งทั่วไปในจอร์เจีย
การจัดการเลือกตั้งภายใต้การดูแลของนายไบรอัน คีม นั้นถูกวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมาก เพราะเขาได้ออกกฎเกณฑ์หลายอย่างที่ทำให้การไปใช้สิทธิลงคะแนนของคนผิวสี คนยากคนจน ผู้ไร้ที่อยู่อาศัยในจอร์เจียเป็นไปด้วยความยากลำบากหรือง่ายต่อการเป็นบัตรเสีย กลุ่มคนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้สนับสนุนสเตซี่ อับรามส์ หลังจากการพ่ายแพ้อย่างไม่เป็นธรรมและมีข้อกังขาเมื่อสองปีก่อนสเตซี่ก็ออกมาจัดตั้งองค์กรเอกชนแบบไม่แสวงหากำไร (NGO) ชื่อ Fair Fight เพื่อมารณรงค์ให้ความรู้เรื่องการเลือกตั้งกับชาวจอร์เจียนโดยเฉพาะกับกลุ่มคนดังกล่าวข้างต้น พร้อมกับผลักดันให้ชาวจอร์เจียนออกไปใช้สิทธิกันมากๆ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งในระดับไหน
ผลการเลือกตั้งของจอร์เจียในครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่าสองปีที่ผ่านนี้ การทำงานของเธอนั้นไม่สูญเปล่า ซึ่งถ้าในวันที่ 5 ม.ค. 2564 พรรคเดโมแครตสามารถคว้าชัยในอีกสองที่นั่งของวุฒิสภา คนที่โจ ไบเดน และพรรคเดโมแครตต้องขอบคุณเป็นอย่างมากก็คือ สเตซี่ อับรามส์ และขอให้จับตาเธอคนนี้ต่อไปในอนาคต เพราะสเตซี่อาจจะสร้างประวัติศาสตร์ให้กับการเมืองอเมริกันเหมือนกับที่ กมลา แฮร์ริส ได้ทำไว้ในการเลือกตั้งครั้งนี้ในฐานะรองประธานาธิบดีหญิง ผิวสี เชื้อชาติอินเดียน-จาไมกา-อเมริกัน คนแรก
ดร.ธิติ สุวรรณทัต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี