วันเสาร์ ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2568
ในปัจจุบัน ประเทศไทยมีกฎหมายต่างๆ สำหรับป้องกัน และปราบปรามการทุจริตและพฤติมิชอบในวงราชการเพิ่มมากขึ้น จนอาจพูดได้ว่ามีกฎหมายสำหรับป้องกันปราบปรามคอร์รัปชันมากที่สุดในโลกก็ว่าได้ แต่กลับปรากฎว่ากฎหมายต่างๆ เหล่านี้มิได้มีผลทำให้การทุจริตในวงราชการลดน้อยลงกว่าเดิม แต่กลับเกิดการขยายตัวคดีทุจริตต่างๆ เพิ่มมากขึ้นอีกทั้งการพิจารณาคดีทุจริตประพฤติมิชอบที่ได้มีการจัดตั้งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองขึ้นโดยเฉพาะ เพื่อให้การตัดสินลงโทษได้รวดเร็ว มาถึงปัจจุบันก็ปรากฎว่ามีถึง 2 คดี คือคดีทุจริตบ้านเอื้ออาทร และคดีทุจริตงานแสดงภาพยนตร์นานาชาติ ที่ต้องใช้เวลายาวนานเป็น 10 ปี กว่าที่กระบวนการนำผู้กระทำความผิดมาลงโทษถึงขั้นที่ศาลพิพากษาคดีเป็นที่สุดได้
ประเด็นหัวข้อบทความในวันนี้จะยกปัญหาอีกด้านหนึ่งของกฎหมาย และกฎระเบียบการขอใบอนุญาตต่างๆที่มีอยู่เป็นจำนวนมากหลายหมื่นระเบียบในประเทศไทย สะสมเพิ่มเติมออกมากลายเป็นปัญหาที่ก่อให้เกิดการทุจริตประพฤติมิชอบในวงราชการเสียเองอีกด้วย ขอยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือกรณีใบอนุญาต รง.4 ที่เคยมีปัญหาหนักกระทบต่อเศรษฐกิจอุตสาหกรรมการผลิต เพราะโรงงานทั่วประเทศที่ลงทุนสร้างโรงงาน และซื้อเครื่องจักรการผลิตมูลค่านับหลายร้อยหลายพันล้านบาท มาติดตั้งเสร็จเรียบร้อย แต่กลับผลิตไม่ได้ต้องรอจนกว่ากระทรวงอุตสาหกรรมจะออกใบอนุญาตที่เรียกว่าใบ รง.4 จึงจะสามารถเริ่มทำการผลิตได้ ในช่วงหนึ่งที่เรามีรัฐมนตรีมาจากการเลือกตั้ง โรงงานใหม่หลายร้อยโรงงาน ไม่สามารถเปิดการผลิตได้เพราะมีโต๊ะของนักการเมืองมาตั้งอยู่ที่กระทรวงอุตสากรรม ถึงแม้เขาจะไม่เรียกไม่ขออะไรทั้งสิ้น แต่เป็นที่รู้กันในวงการว่าถ้าไม่จ่าย หรือจ่ายไม่พอ ก็จะถูกแช่แข็งการออกใบอนุญาตไปเรื่อยๆ จนเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐมนตรีใหม่ ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่ขจัดปัญหาอย่างถาวร คือการกำหนดค่าธรรมเนียมออกใบ รง.4 ให้เป็นมูลค่าแน่นอนไปเลย และยกเลิกระเบียบที่ต้องต่อใบอนุญาตอีกทุกๆ 5 ปี
ขอยกอีกตัวอย่าง คือ ระเบียบของ กทม. ข้อหนึ่ง ให้ผู้มาดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นผู้ว่าฯกทม. มีอำนาจอนุมัติพิเศษ สามารถอนุมัติให้ตั้งปั๊มน้ำมันบนทางแยกได้ สมัยหนึ่ง หน้า รพ. ชื่อดังย่านสุขุมวิท จึงมีปั๊มน้ำมันเกิดขึ้นได้ ทั้งๆ ที่อยู่ในจุดที่ไม่สามารถตั้งได้และอาจเป็นอันตรายต่อโรงพยาบาลได้ เพราะเป็นที่ดินของนักการเมืองใหญ่นั่นเอง
นี่จึงชี้ให้เห็นว่า การกำจัดอำนาจรีดไถออกไปจากระเบียบ ออกจากกฎหมาย หรือยกเลิกกฎระเบียบที่ไม่มีประโยชน์ไปเลย จะช่วยลดอำนาจดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ และลดโอกาสการคอร์รัปชันได้ จึงได้มีหลายฝ่ายเสนอให้ยกเลิกกฎหมาย ระเบียบอื่นๆ ในทำนองเดียวกันนี้เพิ่มขึ้นอีก เกิดเป็น พ.ร.ฎ. การทบทวนความเหมาะสมของกฎหมาย มีชื่อเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Regulatory Guillotine เพื่อให้มีการแก้ปัญหาคอร์รัปชันในระดับโครงสร้างอย่างเป็นระบบ โดยกำหนดให้มีการทบทวนหรือยกเลิกกฎหมายที่ล้าสมัย ไม่เหมาะสมกับเศรษฐกิจ และสังคมยุคปัจจุบัน ซึ่งอาจจะยุ่งยากหรือสร้างภาระเกินจำเป็นให้แก่ประชาชน หรือกฎหมายที่เป็นช่องทางให้เกิดการทุจริตเป็นต้น โดยกำหนดให้มีการทบทวนกฎหมายเมื่อจำเป็นหรืออย่างน้อยทุก 5 ปี กฎหมายนี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 25 สิงหาคม 2558
โดยหลักสากล ก่อนการออกกฎหมายก็ควรจะต้องมีการพิจารณาผลกระทบของกฎหมาย (Regulatory Impact Assessment) ว่าจะส่งผลกระทบกับใครมากน้อยเพียงใดและเมื่อเวลาผ่านไปเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมากมายในสังคมรวมทั้งมีกฎหมายใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมาก ก็ควรที่จะมีการทบทวนกฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลาที่เหมาะสม ทางสภาพัฒน์จึงได้จัดทำคู่มือการพิจารณาผลกระทบของกฎหมาย ต่อการเกิดคอร์รัปชัน ยาว 35 หน้าออกเผยแพร่ชื่อว่า “คู่มือการประเมินผลกระทบคอร์รัปชัน” (Corruption Impact Assessment Guideline) ซึ่งจะดาวน์โหลดได้ที่ : https://www.nesdc.go.th/download/RIA/CorruptionTH.pdf ในคู่มือนี้ได้กำหนดปัจจัย 3 ประการที่จะเป็นสาเหตุของการก่อให้เกิดการคอร์รัปชันต่อไป ซึ่งต่อไปกฎหมายต่างๆ จะต้องได้รับตรวจทานก่อนออกใช้ และติดตามประเมินผลเป็นระยะๆ เมื่อนำไปใช้จริง คือ
1. ปัจจัยที่เป็นสาเหตุของคอร์รัปชันความยากง่ายในการปฏิบัติตามกฎหมาย และข้อบังคับ
l ความพอเพียงของภาระในการปฏิบัติตามกฎหมาย
l ความพอเพียงของระดับหรือขั้นตอนในการอนุมัติ
l ความเป็นไปได้ที่จะเกิดการปฏิบัติเป็นกรณีพิเศษ
2. ดุลยพินิจของการดูแลกฎหมาย และข้อบังคับตามสิทธิของผู้มีหน้าที่ตามกฎหมาย
l ความชัดเจนเกี่ยวกับอำนาจในการตัดสินใจ
l ความเหมาะสมของขอบเขตของอำนาจในการตัดสินใจ
l มีมาตรฐานเกี่ยวกับอำนาจในการตัดสินใจอย่างเป็นรูปธรรม และมีเป้าหมาย
3.ความโปร่งใสของกระบวนการบริหารจัดการ
l การเข้าถึงและเปิดให้เข้ามามีส่วนรวมจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
l สามารถคาดการณ์ได้ง่าย
l มีระบบควบคุมทุจริตคอร์รัปชัน
ความคืบหน้าล่าสุดของกระบวนการตัดทอนกฎหมายและใบอนุญาตที่ล้าสมัยหรือไม่จำเป็น หรือ ที่เรียกว่า Regulatory Guillotine ในประเทศไทยนั้น คือ เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2563 ที่ผ่านมามีการประกาศ ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการขับเคลื่อนการปฏิรูปกฎหมายในระยะเร่งด่วน พ.ศ.2563 เพื่อแต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายในระยะเร่งด่วน เพื่อขับเคลื่อนเรื่องนี้โดยตรง และในเดือนพฤศจิกายนนี้ก็มีการตั้ง คณะอนุกรรมการฯ อีก 9 คณะ เพื่อติดตามกำกับดูแลประเด็นต่างๆ ได้แก่
1. ปฏิรูปกลไกทางกฎหมายเพื่อบูรณาการการปฏิบัติทางราชการ
2. ปรับปรุงกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการประกอบอาชีพและการดำเนินธุรกิจ
3. ทบทวนกฎหมายที่ล้าสมัย
4. ปฏิรูปกฎหมายเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจหลัง COVID-19
5, ปฏิรูปกฎหมายเพื่อสนับสนุนสังคมเศรษฐกิจดิจิทัล
6. ปฏิรูปกฎหมายเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ
7. ขับเคลื่อนการเสนอร่างกฎหมายตามแผนปฏิรูปประเทศ
8. ติดตามเสนอร่างกฎหมายตาม รธน.
9. การประชาสัมพันธ์เพื่อมาดูรายละเอียดของกฎหมายแต่ละประเด็น
จึงต้องคอยติดตามดูการทำงานของคณะกรรมการฯ และคณะอนุกรรมการเหล่านี้ อย่างใกล้ชิดต่อไป เพราะนี่คือโอกาสในการตัดไฟแต่ต้นลม ลดโอกาสการคอร์รัปชันในเชิงโครงสร้างอย่างแท้จริงครับ
รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค และ ผศ.ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค

กำปั้นไทยไร้พ่าย! ลิ่ว 7 รุ่นต่อยซีเกมส์
เลขาวุฒิสภา แจ้ง สว. ยกเลิกประชุมวุฒิสภา 15- 16 ธ.ค.นี้ หลังยุบสภาแล้ว
ดร.จักษ์ ชม อนุทิน ตัดสินใจระดับรัฐบุรุษ ยุบสภาครั้งนี้ เผาพรรคส้มเหลือแต่ขี้เถ้า
กกต. กางแนวทาง ค่าใช้จ่าย สส. ช่วงเลือกตั้ง พรรคการเมืองหาเสียงได้ตั้งแต่วัน ยุบสภา
ปูติน ยกระดับชีวิตพลเมืองรัสเซีย อัตราความยากจนลดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี